ภายใต้ภาพลักษณ์ลูกคุณหนูที่ใครหลายคนมองว่าใช้ชีวิตไปกับการช้อปปิ้ง เที่ยวเล่น หรือเข้าสังคมไปวันๆ มิริน กลับมีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก—ด้านที่เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่
มูลนิธิเพื่อเด็กและสตรีในชื่อ "Hands of Hope" คือสิ่งที่เธอกับ แอนนี่ เพื่อนสนิทสุดแสบ ร่วมกันก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าต้องการใช้ทรัพยากรและความสามารถที่พวกเธอมี สร้างประโยชน์ให้กับสังคมที่พวกเธอเติบโตมา
ทุกเช้าวันทำงาน มิรินจะลุกขึ้นมาแต่เช้า เปลี่ยนจากสาวสังคมในชุดหรูหราเป็นหญิงสาวเรียบง่ายในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลคเข้ารูป และรองเท้าผ้าใบ พร้อมถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามูลนิธิด้วยท่าทางมั่นใจ
“เช้านี้มีนัดประชุมกับกลุ่มสปอนเซอร์เรื่องทุนการศึกษาใช่ไหม?” มิรินถามขึ้นทันทีที่ก้าวเข้าประตูมูลนิธิ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ใช่ ยัยท่านประธาน” แอนนี่ที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานด้านในเงยหน้าขึ้นมาตอบติดตลก พร้อมยักคิ้วให้เพื่อนรัก “แล้วบ่ายนี้เราต้องไปดูโรงเรียนที่ขอความช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์การเรียน จำไว้ด้วยนะ อย่าทำหน้านิ่งเหมือนท่านทูตสุดหล่อของเธอล่ะ เดี๋ยวเด็กจะกลัว”
“แอนนี่!” มิรินกลอกตา ขณะวางแฟ้มงานบนโต๊ะทำงาน เธอพยายามซ่อนรอยยิ้มไว้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำแซวของเพื่อนทำให้หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด
เวลาทำงาน สองสาวเปลี่ยนจากเพื่อนสาวสังคมสุดชิคกลายเป็นมืออาชีพตัวจริงที่จริงจังและใส่ใจทุกรายละเอียด พวกเธอใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับเด็กๆ การจัดการเอกสาร การลงพื้นที่สำรวจความต้องการของมูลนิธิ ไปจนถึงการนั่งวางแผนหาวิธีระดมทุนในแบบสร้างสรรค์
วันไหนที่มีงานใหญ่หรืออีเวนต์เพื่อการกุศล ทั้งสองสาวจะทำงานจนดึกดื่น ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าแต่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“เห็นไหมล่ะ พวกเราทำได้” มิรินเคยพูดพลางมองบรรยากาศงานการกุศลที่จัดขึ้นสำเร็จอย่างสวยงาม เด็กๆ ยิ้มแย้ม และแขกผู้มีเกียรติหลายคนต่างร่วมบริจาคช่วยเหลือ
แอนนี่เดินมาข้างๆ ก่อนจะกระซิบ “ก็แน่ล่ะ... ใครๆ ก็คิดว่าเราสองคนเอาแต่ซื้อกระเป๋าแพงๆ ใส่ชุดแบรนด์เนม โชว์ไลฟ์สไตล์สวยๆ ในไอจีไปวันๆ ไม่เห็นมีใครรู้เลยว่าเราเหนื่อยแทบตายกว่าจะมาถึงตรงนี้”
“ก็ไม่เป็นไรหรอก” มิรินยิ้มบางๆ พลางมองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน “แค่เราเห็นคนที่เราช่วยได้ยิ้มออกมา... แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว”
ภายนอก เธออาจจะเป็นเพียงลูกสาวตระกูลดังที่แต่งงานกับท่านทูตผู้ทรงอิทธิพล แต่ความจริงแล้ว มิรินคือผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เธอไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย แต่เลือกที่จะทำในสิ่งที่มีคุณค่าและช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
แอนนี่ยิ้มพลางยกนิ้วโป้งให้เพื่อนรัก “ท่านประธานมิรินของเราเนี่ย โคตรเท่เลย”
“แล้วเธอไม่ใช่เหรอ?” มิรินสวนกลับพร้อมหัวเราะ ทั้งสองสาวยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ ก่อนจะกลับไปลุยงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นเหมือนเช่นทุกวัน
ภายในห้องประชุมเล็กๆ ของมูลนิธิ Hands of Hope บรรยากาศคึกคักกว่าทุกวัน มิรินและแอนนี่กำลังนั่งอ่านเอกสารรายชื่อผู้สนับสนุนรายใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเยี่ยมชมมูลนิธิ เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับเลขาส่วนตัวของพวกเธอก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าดูตื่นเต้นผิดปกติ
“คุณมิริน คุณแอนนี่คะ ข่าวดีค่ะ!” เลขาสาวรายงานเสียงใส มือถือแฟ้มเอกสารแน่น
“ข่าวดีอะไรเหรอ?” มิรินเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ถามด้วยท่าทีสงบนิ่ง ขณะที่แอนนี่หยุดกินขนมในมือ พร้อมตั้งใจฟังเต็มที่
“ผู้สนับสนุนคนใหม่ของเรา...เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศเลยนะคะ! รวยล้นฟ้า มีอิทธิพลมากในวงการการเงิน แถม...” เลขายิ้มกว้างก่อนจะกระซิบอย่างลุ้นระทึก “แถมยังหล่อเหลาบาดใจสุดๆ เลยค่ะ!”
“หืม?” แอนนี่เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเป็นประกาย “นักธุรกิจใหญ่ รวย หล่อ? ฉันว่าเธอต้องพูดชื่อมาให้พวกเรารู้เดี๋ยวนี้แล้วล่ะ”
เลขายิ้มอย่างตื่นเต้นพลางเปิดแฟ้ม “ชื่อของเขาคือ คุณวาริช อัครบดินทร์ ค่ะ เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ มาพร้อมชื่อเสียงเรื่องธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และตอนนี้เขากำลังมองหามูลนิธิที่เหมาะสมจะสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”
ชื่อของเขาทำให้ทั้งมิรินและแอนนี่เงียบไปครู่หนึ่ง มิรินยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมเขาถึงเลือกมูลนิธิของเรา?”
“เห็นว่าเขาประทับใจในผลงานของเราที่ช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งค่ะ... และเขาจะเข้ามาดูงานวันนี้ตอนบ่าย”
แอนนี่ถึงกับยิ้มกว้าง วางขนมลงแล้วเอ่ยแซวเพื่อนรักทันที “โอ้โห นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาพร้อมเงินก้อนใหญ่ สนับสนุนเราเต็มที่ ฟังดูดีใช่เล่นเลยนะ ยัยมิริน”
“หยุดเลย แอนนี่!” มิรินพูดพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนรักอย่างรู้ทัน “เรื่องสำคัญคือเขามาเพื่อสนับสนุนงานของมูลนิธิเรา ไม่ใช่เรื่องหล่อหรือไม่หล่อ เข้าใจไหม?”
“ก็พูดไปสิ แต่เดี๋ยวพอบ่ายนี้เห็นหน้าคุณวาริชตัวเป็นๆ ฉันคอยดูเลยว่าเธอจะพูดอะไร” แอนนี่ยักคิ้วอย่างขบขัน
“ฉันไม่เหมือนเธอหรอก” มิรินส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ แต่ใบหน้าของเธอก็แอบมีรอยยิ้มบางๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
บ่ายวันนั้น มูลนิธิถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย ทีมงานทุกคนตื่นตัวรอการมาของแขกสำคัญ ร่างสูงสง่าของ วาริช อัครบดินทร์ ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูพร้อมกับทีมงานของเขา ชายหนุ่มในสูทสีกรมท่าสุดเนี้ยบ ใบหน้าหล่อเหลา ดูสมบูรณ์แบบราวกับนายแบบระดับโลก ดวงตาคมกริบมองไปรอบๆ อย่างสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูคล้ายหยุดนิ่ง
“ยินดีต้อนรับค่ะ คุณวาริช” มิรินกล่าวขึ้นพลางยื่นมือไปจับอย่างมืออาชีพ สีหน้าของเธอยังคงนิ่งสงบเหมือนทุกครั้ง แต่ในใจแอบตะลึงเล็กๆ กับความดูดีของชายตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณมิริน” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้หัวใจใครหลายคนแทบละลาย
แอนนี่ยืนอยู่ข้างๆ พลางกระซิบเบาๆ แต่ดังพอให้มิรินได้ยิน “โอ้โห หล่อขนาดนี้จริงๆ ด้วย เหมือนพระเอกซีรีส์เลยแฮะ”
มิรินเหลือบตาไปมองแอนนี่ พร้อมกระซิบกลับอย่างขัดใจ “เบาๆ หน่อยสิแอนนี่!”
แต่ก่อนที่บทสนทนาจะยาวไปกว่านี้ วาริชหันมายิ้มให้ทั้งสองสาว “ผมเห็นโครงการของพวกคุณแล้วน่าสนใจมากครับ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันไปอีกนาน”
สายตาของเขาจับจ้องมาที่มิรินชั่วครู่ ราวกับต้องการจะอ่านความคิดบางอย่างในใจเธอ ทำเอาเธอรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องอย่างลึกซึ้ง
“ขอบคุณค่ะ มูลนิธิของเรายินดีที่คุณให้ความสนใจ” มิรินตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกว่า ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ผู้สนับสนุนธรรมดาแน่ๆ
หลังจากการต้อนรับและนำชมมูลนิธิผ่านไปอย่างราบรื่น วาริชเดินเคียงข้างมิรินตลอดช่วงการนำเสนอ เขามีท่าทางสุภาพ อ่อนโยน และดูใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่างที่เธออธิบาย ทำให้ทีมงานหลายคนที่เฝ้ามองอยู่ต่างแอบยิ้มและกระซิบกระซาบกันเบาๆ
เมื่อการเยี่ยมชมสิ้นสุดลง ทั้งคณะยืนอยู่ในห้องรับรองเล็กๆ เพื่อจิบกาแฟและพูดคุยต่อ วาริชหันมามองมิรินด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยขึ้น
“คุณทำงานหนักมากเลยนะครับ คุณมิริน” เสียงทุ้มอบอุ่นของเขาดึงความสนใจของทุกคนในห้อง “ผมชื่นชมในสิ่งที่คุณทำจริงๆ มันไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่มาจากครอบครัวแบบคุณ”
คำชมตรงๆ ทำเอามิรินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มตอบอย่างมืออาชีพ “ขอบคุณค่ะ มันอาจจะไม่ง่าย แต่พวกเราก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”
“ไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนั้นหรอกครับ” วาริชพูดพร้อมสบตาเธอนิ่งๆ ดวงตาของเขาดูอบอุ่นและจริงใจจนทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ
แอนนี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับยิ้มกรุ้มกริ่ม เอียงคอมากระซิบข้างหูมิรินเบาๆ “เขาดูอบอุ่นมากเลยนะ ดูเหมือนสนใจแกด้วยแหละยัยมิริน”
“แอนนี่!” มิรินหันขวับไปมองเพื่อนรักทันที ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว เธอแอบกัดปากเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพยายามรวบรวมสติและตอบกลับวาริชที่ยังคงมองเธออยู่
“มูลนิธินี้ไม่ใช่แค่ของฉันคนเดียวค่ะ แอนนี่เองก็เป็นคนที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน” เธอพูดพลางยิ้มไปให้เพื่อนรักเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
วาริชหัวเราะเบาๆ “นั่นยิ่งทำให้ผมประทับใจมากขึ้นครับ พวกคุณเป็นทีมที่ดีจริงๆ” เขาหันไปยิ้มให้แอนนี่ด้วยความสุภาพ ก่อนกลับมาจ้องมิรินอีกครั้ง
แอนนี่ถึงกับยิ้มกริ่มกว่าเดิม แล้วกระซิบเบาๆ แต่ดังพอให้มิรินได้ยิน “โอ้โห แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะจ๊ะ ชายอบอุ่นระดับสิบแบบนี้ แกไม่หวั่นไหวเลยรึไง?”
“แอนนี่ หุบปากเลย!” มิรินกระซิบกลับเสียงเข้ม แต่ใบหน้าก็ยังแดงจัดจนซ่อนความเขินไม่มิด
วาริชสังเกตเห็นท่าทางเล็กๆ นั้น แต่กลับยิ้มอย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ผมคงต้องกลับก่อนแล้วล่ะครับ แต่ผมจะส่งทีมงานเข้ามาคุยรายละเอียดการสนับสนุนอีกที”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณวาริช” มิรินตอบกลับด้วยท่าทีมืออาชีพ แม้หัวใจเธอจะเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
ก่อนจะเดินจากไป วาริชหันมายิ้มให้เธออีกครั้ง “ผมหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ คุณมิริน”
เสียงทุ้มอบอุ่นนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกสะกดนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาคมอ่อนโยนของเขาส่งความหมายบางอย่างที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะตีความ
เมื่อเขาเดินออกไปแล้ว แอนนี่ก็รีบกระโดดเข้ามาข้างๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เต็มใบหน้า “ว่าไงล่ะ? อบอุ่น ห่วงใย และโคตรหล่อเลยด้วย ดูก็รู้ว่าเขา สนใจแก ชัดๆ!”
“เลิกพูดเลยนะ แอนนี่!” มิรินพูดพลางกุมขมับ กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้ายังแดงเรื่อจนแอนนี่ยิ่งหัวเราะคิกคัก
“ฮึๆ ดูท่าทางคืนนี้เธอจะมีเรื่องคิดเยอะเลยล่ะ ยัยมิริน!”