“พวกท่านปล่อยข้ากับเจ้าเปี๊ยกเดี๋ยวนี้นะ!”
“ใกล้จะถึงตำหนักข้าอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยดิ้นใหม่สิ จะมาดิ้นตอนนี้เดี๋ยวก็ตกหรอก”
“ข้าไม่สน เพราะข้าอยากให้ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไม่ปล่อย เจ้าจะทำไม” กษัตริย์ยงฮวาตอบกลับมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ หลังอีกฝ่ายกำลังแบกร่างเวียงพิงค์ขึ้นไว้บนบ่าแล้วเดินว่อนไปมาทั่วพระราชวัง ซึ่งกษัตริย์ยงฮวาก็จัดการแบกร่างเขาขึ้น ตั้งแต่ตอนที่รถม้าเคลื่อนเข้ามาภายในเขตวังแล้ว
โดยการกระทำของอีกฝ่ายก็สร้างความตื่นตกใจให้กับคนในวังเป็นอย่างมาก
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” เวียงพิงค์ยังคงพูดย้ำคำเดิม
“แล้วทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ก—ก็ข้าอาย”
“...”
“ท่านเล่นแบกข้าเดินไปทั่ววังแบบนี้ ข้าก็อายเหมือนกันนะ” เวียงพิงค์อธิบายเสียงแผ่ว เพราะเขาทั้งโกรธและก็อายมาก ๆ ด้วย แม้เวียงพิงค์จะไม่รู้จักกับใครในวังก็เถอะ แต่ถ้าจะไม่ให้เขารู้สึกอายยามที่มีผู้คนจ้องมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ มันก็คงจะเกินไป
“ก็ได้” กษัตริย์ยงฮวาตอบเพียงสั้น ๆ จากนั้นอีกฝ่ายถึงค่อยยอมปล่อยร่างเวียงพิงค์ลงสู่พื้น เพื่อให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง
“ฝ่าบาท… แล้วเจ้านี่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่เดินตามมาติด ๆ พร้อมกับแบกเจ้าเปี๊ยกไว้บนบ่าถามขึ้น
“ปล่อยลงเหมือนกัน” ทันทีที่กษัตริย์ยงฮวาบอกเช่นนั้น เจ้าเปี๊ยกก็วิ่งเข้ามาซุกเวียงพิงค์โดยพลัน โดยก่อนที่เด็กชายตัวเล็กจะวิ่งมาถึงตัวเขา เจ้าเปี๊ยกก็มีการแวะไปหากษัตริย์ยงฮวาแล้วตีเข้าที่ต้นขาหนาหนึ่งหน ถึงค่อยเดินมาหลบหลังกัน
“ลูกสมุนของเจ้านี่ก็แสบใช่ย่อยเลยแฮะ ข้าควรจะจับกินดีไหม เพราะเลือดเด็กเล็กท่าจะหวานน่าดู”
“อาจาน!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าเปี๊ยกก็เรียกเวียงพิงค์เสียงดัง คล้ายกับจะให้เขาช่วย
“ท่านนี่รังแกได้แม้กระทั่งเด็ก ข้าไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ” เวียงพิงค์พูดใส่คนตรงหน้าด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว
ซึ่งเขาก็แสร้งทำเป็นไม่กลัวไปอย่างนั้นแหละ เพราะความจริงแล้วเวียงพิงค์ก็แอบขาสั่นอยู่เหมือนกัน
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่เจ้ารู้ไหมยิ่งข้าอยู่ในถิ่นของตัวเอง… ข้าก็ยิ่งเก่งนะ” กษัตริย์ยงฮวาตอบกลับมาทั้งรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจนัก ทำเอาคนที่หวาดระแวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากกว่าเดิม
“ข้าอุตส่าห์ออกจากวังไปแล้ว แถมยังไม่ครบหนึ่งวันด้วยซ้ำท่านกับองครักษ์ก็ไปตามข้ากลับมาอีก นี่ท่านต้องการอะไรจากข้านัก” เวียงพิงค์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เมื่อคืนนี้เรายังคุยกันไม่จบ” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยพลางหยิบเอาบางอย่างออกมาให้เวียงพิงค์ดู ซึ่งมันก็เป็นเครื่องมือสื่อสารของเขา “เจ้าสิ่งนี้มันเป็นของเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่ มันเป็นของข้า” เวียงพิงค์พยักหน้ายอมรับ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาร่างสูงหมายจะเอาโทรศัพท์ของตัวเองคืนกลับมา “ท่านเอาคืนมาสิ”
“ไม่”
“แต่มันเป็นของข้านะ”
“แล้วยังไงต่อ ในเมื่อมันตกอยู่ในเขตของข้าและคนของข้าก็เป็นคนเก็บมันได้ด้วย ซึ่งข้าจะให้เจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าตอบข้ามาก่อนว่าสิ่งนี้มันคืออะไร” กษัตริย์ยงฮวาพูด แล้วเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะตอบแบบเดียวกับที่เคยบอกอึนเฮไป
“สิ่งนี้มันคือโทรศัพท์ เอาไว้พูดคุยกับคนที่อยู่ไกลกัน”
“...”
“เห็นไหม… พอข้าตอบความจริงไป ท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดีแล้วจะอยากรู้ทำไมนัก” พูดจบ เวียงพิงค์ก็ฉกฉวยของตัวเองมาจากมือหนา ทว่าในจังหวะนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อท้องของเวียงพิงค์ส่งเสียงร้อง เนื่องจากตั้งแต่เช้ามาเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เพราะตอนที่คิดจะหนีออกจากวัง มันก็เป็นช่วงที่นางกำนัลกำลังจะนำอาหารมาให้กินพอดี
“เจ้านี่ยังไงนะ ตอนนี้บ้านเมืองก็ไม่ได้ทุกข์ยากอะไร แต่ทำไมเราเจอหน้ากันทีไรเจ้าถึงหิวทุกที” กษัตริย์ยงฮวาที่ได้ยินเสียงท้องของเวียงพิงค์ถามขึ้นทั้งคิ้วขมวด
“เจ้าเปี๊ยกอร่อยไหม”
“หร่อย ข้าม่ายเคยกินไก่ทิไหนนุ่มเท่านิมาก่อนเลย”
“ถ้าอร่อย เจ้าก็กินเยอะ ๆ นะ เพราะในวังมีของอร่อยให้เจ้าได้ลองกินอีกมากมายเลยล่ะ”
“จิงหลอ”
“ข้าเป็นพระราชา เพราะงั้นข้าไม่เคยโกหกราษฎรอยู่แล้ว”
“ท่านไม่เคยโกหก แต่ท่านกำลังหลอกล่อเจ้าเปี๊ยกอยู่ล่ะสิท่า” หลังนั่งฟังบทสนทนาระหว่างกษัตริย์ยงฮวากับเจ้าเปี๊ยกอยู่นานสองนานแล้ว ในที่สุดเวียงพิงค์ที่กำลังนั่งกินสำรับของตัวเองก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่ากัษตริย์ยงฮวากำลังซื้อใจเจ้าเปี๊ยกด้วยการเอาของกินมาล่อ
“เจ้าอย่ามาปรักปรำข้า พระราชาที่ดีไม่เคยหลอกล่อใครอยู่แล้ว”
“ก็สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าหลอก” เวียงพิงค์เถียงอย่างไม่ยอม จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองเจ้าเปี๊ยกที่กำลังนั่งกินไก่ตุ๋นโสมอยู่บนตักของกษัตริย์ยงฮวา ประหนึ่งว่าเจ้าเปี๊ยกเป็นองค์รัชทายาท “เจ้าเปี๊ยกนี่ก็เห็นแก่กินจริง ๆ นะ นี่เจ้าลืมสิ้นทุกอย่างไปแล้วหรือ”
“เจ้าเปี๊ยกอย่าไปฟัง ที่เวียงพิงค์เอ่ยเช่นนั้น….ก็เพราะเขาอิจฉาที่เจ้าได้นั่งตักข้าต่างหาก” กษัตริย์ยงฮวารีบเป่าหูเจ้าเปี๊ยกต่อ ทำเอาเวียงพิงค์ถึงกับอ้าปากค้าง เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำขนาดนี้
“เจ้าเปี๊ยก! บุรุษผู้นี้เขาเคยขู่ว่าจะจับเจ้ากินนะ” เวียงพิงค์เถียงสู้อย่างไม่ยอม ซึ่งตอนนี้เขาก็เลิกสนใจอาหารตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้าไม่กินเจ้าหรอก ข้าเอ็นดูเจ้าจนยอมให้เจ้าขึ้นนั่งตักขนาดนี้ แล้วข้าจะกล้ากินเจ้าได้ยังไง”
“นี่ท่าน!”
“โอ๊ย ปวดหัว” จังหวะที่เวียงพิงค์กำลังจะเถียงกษัตริย์ยงฮวาอีกหน เสียงของเจ้าเปี๊ยกที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างมูมามก็ดังขึ้นเสียก่อน คล้ายกับเด็กชายตัวเล็กทนฟังเสียงทะเลาะกันไม่ไหวแล้ว
“เจ้าจะไปไหน” กษัติรย์ยงฮวาถามขึ้นอีก เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเวียงพิงค์ลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องเสวย
“ถามแปลก ข้าก็จะกลับหอนางโลมน่ะสิ”
“แล้วเจ้ามีสิทธิ์นั้นตั้งแต่เมื่อไร” อีกฝ่ายถามต่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้เวียงพิงค์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างตั้งคำถาม “เจ้าอาจจะไม่รู้…ตอนนี้ทางวังซื้อตัวเจ้ามาแล้วนะ”
“ว—ว่ายังไงนะ” เวียงพิงค์ถามอย่างไม่เชื่อหู “นี่ท่านซื้อข้ากับใคร”
“เจ้าจะกลับไปหาใคร วังก็ไปซื้อเจ้ามาจากคนนั้นนั่นแหละ นี่อึนเฮคงไม่ได้บอกใช่ไหมว่าวังซื้อเจ้ากับเจ้าเปี๊ยกมาแล้ว ซื้อขาดเหมือนอย่างทุกปี”
เพียงแค่ได้ยินเช่นนั้น เวียงพิงค์ก็ถึงกับยืนนิ่งอย่างคนไปไม่เป็น ในขณะที่เจ้าเปี๊ยกก็เอาแต่สนใจอาหารตรงหน้าตัวเองตามประสาเด็กที่ไม่ค่อยรู้ภาษา
“พอรู้เช่นนี้แล้ว งั้นเจ้าก็นั่งลงกินอาหารให้หมดเถอะ เพราะต่อให้เจ้าจะดันทุรังออกจากห้องนี้ไป ยังไงพวกทหารที่หน้าห้องก็คงไม่ปล่อยเจ้าไปเป็นหนที่สองหรอก” กษัตริย์ยงฮวาพูดขึ้นอีก
“น—นี่หมายความว่าข้าจะต้องตายใช่ไหม เพราะข้าได้เป็นตัวแทนของปีนี้” เวียงพิงค์ถามต่อทั้งเสียงเบาหวิว
“ก็อาจจะตาย…”
“...”
“หรือไม่ตายก็ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้าทั้งนั้น” กษัตริย์ยงฮวาตอบ พร้อมทำทีโน้มหน้าลงไปให้ความสนใจกับเจ้าเปี๊ยกที่นั่งอยู่บนตัก “เจ้าเปี๊ยกต่อไปนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าพ่อนะ… แล้วก็เรียกเวียงพิงค์ว่าแม่”
“นี่ท่านคิดจะทำอะไรของท่าน” เวียงพิงค์ถึงกับต้องถามอีกครั้งด้วยท่าทีไม่พอใจ
“อาจาน เจ้าร้องไห้ทำไมหลอ”
“ก็ข้าเสียใจน่ะสิ เจ้าไม่เสียใจหรือไง”
“...”
“นี่อึนเฮขายเราให้กับวังนะ เจ้าไม่เสียใจหรือ” เมื่อกินข้าวเสร็จ หลังถูกพากลับมาให้มาอยู่ในตำหนักรับรองเดิม ขณะที่เวียงพิงค์กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นไปตอบเจ้าเปี๊ยกทั้งเสียงอู้อี้
“จิงด้วยแฮะ” เจ้าเปี๊ยกพึมพำคล้ายกับเพิ่งนึกได้ จากนั้นเด็กชายตัวเล็กก็ค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งข้างเวียงพิงค์ ตั้งท่าจะร้องไห้ตามกันบ้าง “แล้ว… แล้วเราจะทำยังไงดี”
“จะทำยังไงได้ล่ะ นอกจากรอความตายเพียงอย่างเดียว เพราะหนนี้พวกคนในวังคงไม่มีทางเผลอปล่อยเราไปแน่” เวียงพิงค์ตอบ พลางพยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของตัวเองออกไปด้วย ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะดึงร่างเจ้าเปี๊ยกเข้ามาโอบกอดเอาไว้ แม้ตัวของเวียงพิงค์เองจะยังทำใจไม่ได้ก็เถอะ
ไม่รู้ว่าเขาควรคับแค้นใจหรือควรน้อยใจในโชคชะตาดี อุตส่าห์เผลอหลุดเข้ามาในแผ่นดินนี้ทั้งที เขากลับต้องมาตายอย่างอนาถ แถมยังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้แก่ตายด้วยซ้ำ…น่าทุเรศสิ้นดี
“แล้วเราหนีไม่ได้เลยหลอ” เจ้าเปี๊ยกที่กำลังนั่งอยู่บนตักของเวียงพิงค์ถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเลย เพราะเขาคงไม่เผลอปล่อยเป็นหนที่สองหรอก” เวียงพิงค์ตอบ เนื่องจากก่อนที่พวกเขาจะถูกนำตัวมาที่ตำหนักรับรองนี้ เวียงพิงค์ได้ยินกษัตริย์ยงฮวาพูดกับองครักษ์ของตัวเองว่าจะให้เจ้าเปี๊ยกไปอยู่กับพี่เลี้ยง และจะย้ายเวียงพิงค์ไปอยู่ที่ตำหนักของตัวเอง
กษัตริย์ยงฮวาจงใจจะจับแยกเวียงพิงค์กับเจ้าเปี๊ยกออกจากกัน เพราะอีกฝ่ายรู้ว่าเวียงพิงค์คงไม่ใจเด็ดทิ้งเจ้าเปี๊ยกไว้ในวังหลวงเพียงลำพังแน่ หากคิดจะหลบหนีออกจากวังอีกหน พวกเขาก็จะต้องไปกันทั้งสองคนนั่นแหละ
ซึ่งกษัตริย์ยงฮวาก็คิดถูกแล้ว
“เปิดประตูออกให้ข้า”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งไว้ว่าห้ามเปิดประตูให้กับใครทั้งนั้น”
“แม้กระทั่งข้างั้นรึ”
“...”
“เปิดเดี๋ยวนี้!”
ระหว่างที่เวียงพิงค์กำลังลูบหลังปลอบใจเด็กเล็ก เขาก็ต้องหันกลับไปมองที่ประตูห้องอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงโวยวายข้างหน้าห้อง โดยเสียงที่ว่าก็เป็นเสียงสตรีกับทหารหน้าห้อง
“ใครอะ” เจ้าเปี๊ยกที่ได้ยินเช่นกันกระซิบถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เวียงพิงค์ตอบ
“นี่เจ้าเพิ่งเข้าวังรึ ทำไมถึงไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร! ข้าเป็นถึงพระราชธิดาของกษัตริย์องค์ก่อนเลยนะ เปิดเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวหน้าห้องตะโกนเสียงดังคล้ายกับโมโหทหารเต็มทน จากนั้นเพียงไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง จนเสียงมันดังไปทั่วบริเวณ
“คนที่กษัตริย์ยงฮวาจับอุ้มไปทั่ววังเป็นบุรุษงั้นรึ” หญิงสาวแปลกหน้าเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างไร้มารยาท
“ท่านเป็นใคร” เวียงพิงค์ถามอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“เมื่อกี้ข้าพูดกับทหารหน้าห้องไปแล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรือไง” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ถ้างั้น…ท่านมีอะไรกับข้า”
“ข้าก็แค่อยากมาดูหน้ามนุษย์ที่กษัตริย์ยงฮวาให้ความสนใจน่ะสิ เพราะได้ข่าวว่าหนีออกจากวังไปแล้วก็ยังตามไปลากตัวกลับมาอีก” เธอเอ่ยพลางเดินไปรอบ ๆ ห้อง โดยมีเวียงพิงค์และเจ้าเปี๊ยกคอยจับจ้องทุกท่วงท่าของเธอตาไม่กะพริบ “ตอนแรกข้าก็เข้าใจว่าเป็นสตรีซะอีก แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว… ข้าก็เริ่มสบายใจแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยเช่นนั้น เวียงพิงค์ก็นิ่งไปพักหนึ่งเพื่อพิจารณาบางอย่างในหัว ก่อนที่เขาจะร้องอ้อในใจ หลังคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่าหญิงสาวตรงหน้าที่อ้างว่าเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์องค์ก่อน กำลังมีใจให้กับกษัตริย์ยงฮวาพระราชาองค์ปัจจุบัน
แล้วเพราะอย่างนั้น… เวียงพิงค์จึงนึกกลอุบายออกทันที
“ข้าว่าท่านไม่ควรจะสบายใจนะ” พอคิดได้เช่นนั้น เวียงพิงค์ก็เอ่ยออกไปโดยพลัน ซึ่งก็แน่นอน…มันทำให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์หันขวับกลับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เธอถามเสียงห้วน
“ข้าก็หมายความตามนั้นแหละ ที่ท่านสบายใจก็คงนึกว่ากษัตริย์ผู้นั้นคงจะไม่มาสนใจบุรุษใช่ไหม แต่ว่าท่านแน่ใจหรือ…”
“...”
“เพราะข้าได้ยินมาว่ากษัตริย์ยงฮวาตั้งใจจะเอาข้ามาทำเมียนะ” เวียงพิงค์พูดโป้ปดทั้งหน้าตาย ทำเอาหญิงสาวถึงกับคิ้วกระตุกและตรงปรี่เข้ามายืนประจันหน้ากับเขาอย่างไม่ยอม
“เหลวไหล เจ้ามีองค์รัชทายาทไม่ได้สักหน่อย”
“ก็นี่ไง” เวียงพิงค์ก้มลงมองเจ้าเปี๊ยกแล้วยิ้มหยัน
“...”
“เผื่อท่านยังไม่รู้ เมื่อช่วงสายนี้พระองค์ยังให้เจ้าเด็กนี่ซ้อมเรียกพ่อแม่กันอยู่เลยนะ เพราะพอถึงคราวที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันแล้ว มันจะได้ชินปากเร็ว ๆ น่ะ และถ้าหากท่านไม่เชื่อ… ท่านก็ลองถามทหารหน้าห้องดูสิ ข้าว่าพวกเขาคงเป็นพยานให้ได้”
“นี่เจ้า!”
“ใช่ ข้านี่แหละที่กษัตริย์ยงฮวาสนใจ” เวียงพิงค์ตอบกลับไปและเริ่มทำการโน้มน้าวหญิงสาวตรงหน้าต่อ “แต่ว่าถ้าท่านอยากขัดขวางภาพครอบครัวสุขสันต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มันก็พอจะทำได้นะ”
“...”
“บอกให้ทหารหน้าห้องพาพวกข้าออกไปจากที่นี่สิ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีภาพครอบครัวสุขสันต์อีกแล้ว” เวียงพิงค์เอ่ย พร้อมจ้องหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
แต่เพราะเธอฉลาดตามประสาคนเรียนหนังสือ มันจึงเป็นเรื่องยากเสียหน่อยที่จะหลอกล่อเธอได้สำเร็จ
“อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก… เจ้ากับเด็กคนนี้น่ะคงเป็นแค่อาหารของพระองค์เท่านั้นแหละ เนื้อตัวมอมแมมแบบนี้ใครจะอยากได้”
“แล้วเนื้อตัวที่หอมดุจดั่งดอกไม้อย่างท่าน กษัตริย์ยงฮวาเคยแตะต้องหรือไม่” เวียงพิงค์ถามกลับทั้งหน้าซื่อ ทำเอาหญิงสาวตรงหน้าถึงกับคิ้วกระตุกยิ่งกว่าเคย แถมยังยกมือขึ้นสูงตั้งท่าจะตวัดลงมาที่ใบหน้าของเวียงพิงค์ด้วย ทว่าทันใดนั้นเสียงทุ้มที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นเสียก่อน
“เจ้ามาวุ่นวายที่นี่ทำไม”
“ฝ่าบาท…”