“ฝ่าบาท… ซังกุงห้องเครื่องแจ้งมาว่าตอนนี้ที่ตำหนักรับรองคนของเราไม่พบบุรุษผู้นั้นแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าห้องบอกว่าบุรุษผู้นั้นได้แจ้งต่อทหารว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้ออกจากวังไปได้แล้ว พวกนั้นก็เลยปล่อยไปพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เรื่องนั้นข้าก็พอจะเดาได้อยู่” ขณะที่กำลังอ่านคำร้องทุกข์จากราษฎรพร้อมร่วมหารือกับเหล่าขุนนางทั้งหลาย กษัตริย์ยงฮวาที่กำลังนั่งอยู่บนราชบัลลังก์และอ่านปัญหาทั้งใบหน้าเรียบนิ่ง ก็พยักหน้ารับรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เอ่อ…แล้วฝ่าบาทจะให้กระหม่อมพาพวกทหารไปตามหาตัวบุรุษหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางชั้นผู้น้อยเสนอต่อ
“ไม่ต้อง”
“...”
“เพราะข้าพอจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ต่อให้ตอนนี้เขาจะหนีไปไกลแค่ไหน… ข้าก็จะรู้อยู่ดี” พูดจบ กษัตริย์ยงฮวาก็ผละหน้าขึ้นจากใบร้องทุกข์ทั้งหลายแล้วสบตากับขุนนางชั้นผู้น้อยคนนั้น คล้ายกับจะเตือนผ่านสายตาว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จะว่าไปแล้ว คืนพิธีกรรมหมอดูได้ดูฤกษ์ให้ข้าหรือยัง”
“หมอดูประจำสำนักราชวังแจ้งกับกระหม่อมว่าคืนที่ฟ้าเปิดมากที่สุด จะเป็นวันขึ้น15ค่ำ เดือนสี่พ่ะย่ะค่ะ”
“มันช้าไป ข้ารอไม่ไหว…”
“...”
“ข้าอยากได้เร็วกว่านี้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หลังสั่งงานส่วนตัวของตัวเองไปแล้ว กษัตริย์ยงฮวาถึงค่อยเริ่มอ่านคำร้องขอจากราษฎรต่อ ซึ่งคำร้องขอส่วนใหญ่ในช่วงนี้มันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องเล็กที่พวกขุนนางชั้นปกครองสามารถแก้ไขปัญหากันเองได้อยู่แล้ว
“ฝ่าบาท… พวกนางกำนัลไปเจอสิ่งนี้ตกอยู่ในตำหนักรับรองพ่ะย่ะค่ะ”
“มันคืออะไร”
“กระหม่อมไม่ทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อยื่นมือไปรับวัตถุสี่เหลี่ยมขึ้นมาพิจารณาอย่างใกล้ ๆ แล้ว กษัตริย์หนุ่มผู้เป็นอมตะก็ยิ่งคิ้วขมวดหนักกว่าเดิม เนื่องจากตั้งแต่มีชีวิตมาเป็นเวลานานเกือบสองร้อยปีก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
“ของเวียงพิงค์หรือ”
“หากเป็นนามของบุรุษผู้นั้นก็น่าจะใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วมันคืออะไรกันนะ”
“กระหม่อมไม่ทราบจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ เจ้านี่…ข้าไม่ได้คุยกับเจ้า ข้าพูดกับตัวเองต่างหาก”
“ฮ—ฮึก ฮือออ”
“เจ้าเปี๊ยก เจ้าจะร้องไห้ทำไมเนี่ย ข้าแค่หายไปคืนเดียวเอง”
“ก้อข้ากัวอาจานจะตาย”
“นี่เจ้าแช่งข้าหรือ”
“ไม่ช่ายยย แต่ข้ากัวท่านตายจิง ๆ”
“โอ๋ ๆ งั้นเจ้าไม่ต้องร้องแล้วนะ เพราะข้าคงไม่ตายง่าย ๆ หรอกแล้วอีกอย่างข้าก็กลับมาหาเจ้าแล้วนี่ไง” เมื่อกลับมาถึงหอนางโลมแล้ว สิ่งแรกที่เวียงพิงค์เจอหลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ก็คือเจ้าเปี๊ยกตัวเล็กที่กำลังนั่งงอแงอยู่ข้างเสา โดยทันทีที่อีกฝ่ายมองเห็นกัน เจ้าเปี๊ยกก็รีบเช็ดน้ำหูน้ำตาของตัวเอง แล้วโผเข้ากอดเวียงพิงค์อย่างไม่รีรอ
“เนื้อตัวกลับมามอมแมมอีกแล้ว นี่เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำหรือไง” เวียงพิงค์ถามเด็กชายตัวเล็ก
“ช่ายยย ก้อข้าม่ายมีอารมอาบน้ำไง”
“เจ้านี่จริง ๆ เลยนะ งั้นเดินตามข้ามาเดี๋ยวข้าจะพาไปอาบน้ำ” เวียงพิงค์เอ่ยแล้วเดินนำเจ้าเปี๊ยกไปก่อน หลังเขาตั้งใจจะเข้าไปหาอึนเฮ เพื่อไปแจ้งข่าวกับเธอว่าเขากลับมาที่นี่แล้ว
“ข้านึกว่าชาตินี้ข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว”
“ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เผอิญว่าข้าเป็นคนตายยากน่ะ”
“เจ้ากลับมาได้ก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าทำไมเขาถึงยอมปล่อยตัวเจ้ามาล่ะ”
“ไม่รู้สิ… อาจเพราะเขาเห็นว่าข้าไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมั้ง” ขณะที่กำลังยืนคุยกับอึนเฮและมีเจ้าเปี๊ยกคอยยืนอยู่ข้างกันประหนึ่งเงาตามตัว เวียงพิงค์ก็พยายามตอบอึนเฮด้วยใบหน้าเรียบเฉย หลีกเลี่ยงที่จะตอบความจริง เนื่องจากเขาไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาแอบหนีออกมา
แล้วจะถูกทางการลากตัวกลับไปหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ตอนนี้เนื้อตัวเจ้าเปี๊ยกมอมแมมมาก ข้าว่าจะพาเจ้านี่ไปอาบน้ำที่น้ำตกหลังหมู่บ้านสักหน่อย”
“อือ เจ้าพาเจ้าเปี๊ยกไปอาบน้ำหน่อยก็ดี เพราะชอบทำตัวมอมแมมนัก” อึนเฮพูดพร้อมจ้องมาที่เจ้าเปี๊ยกอย่างนึกตำหนิ
ภายหลังเมื่อพูดคุยกับอึนเฮเสร็จ สิ่งที่เวียงพิงค์ทำต่อจากนั้นก็คือการกระเตงเด็กชายตัวเล็กเข้าเอว พร้อมถือตะกร้าอาบน้ำเดินตรงไปยังน้ำตกท้ายหมู่บ้านที่เขาเคยมาตอนที่เพิ่งหลุดเข้ามาในแผ่นดินนี้ใหม่ ๆ
“อาจาน”
“ว่ายังไง”
“เล่นน้ำด้วยกันป่าว”
“เป็นเด็กนี่ว่างเสียจริงนะ หากไม่กิน นอนก็ชวนเล่นเนี่ย” เวียงพิงค์พูดและมาหยุดตรงที่ประจำของตัวเอง “เอาล่ะ เจ้าถอดเสื้อผ้าของตัวเองได้แล้ว ข้าจะจับเจ้าอาบน้ำ”
“อื้อ!” เจ้าเปี๊ยกพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทันที โดยระหว่างนั้นเวียงพิงค์ก็ก้มมองของในตะกร้าไปด้วย เพื่อตรวจดูว่าเขาลืมหยิบอะไรมาหรือเปล่า
“อาจาน”
“อะไรอีกล่ะ”
“มาเล่นน้ำด้วยกันดีกว่า เพาะวันนิอาจานยังไม่อาบน้ำเลยน้า”
“จริงด้วยแฮะ” เวียงพิงค์พึมพำคล้ายกับเพิ่งนึกได้ “งั้นเดี๋ยวหลังอาบน้ำให้เจ้าเสร็จ ข้าค่อยอาบน้ำต่อก็แล้วกัน”
“ก้อมาอาบน้ำด้วยกันเลยซี่ เพาะข้าอยากเล่นน้ำกับอาจาน”
เวียงพิงค์ยังคงยืนยันคำเดิมว่าเจ้าเปี๊ยกนี่ไม่ใช่ญาติของเขา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเอ็นดูเจ้าเปี๊ยกนัก อาจเพราะเจ้าเปี๊ยกตั้งใจเรียน ชอบมายุ่งวุ่นวายกับเขาอยู่บ่อย ๆ แหละมั้ง เวียงพิงค์ถึงรู้สึกเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ
“เจ้าเปี๊ยก! นี่เจ้าจะสาดน้ำใส่ข้าทำไม”
“ก้ออาจานน่าแกล้ง!”
“เดี๋ยวเถอะ เจ้าเด็กนี่!” ขณะที่กำลังอยู่กลางน้ำตกในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่ เวียงพิงค์ก็ทำท่าถลึงตาใส่เจ้าเปี๊ยกอย่างนึกโกรธ หลังเขาเพิ่งจะถูกเด็กที่มีความสูงเพียงแค่เอวแกล้งกันอย่างนึกสนุก
“อาจาน อย่าแกล้งข้า!”
“ก็เจ้าแกล้งข้าก่อน”
“ก้อข้าเป็นเด็ก”
“เป็นเด็กแล้วยังไง ถ้าเด็กแกล้งผู้ใหญ่มันไม่มีความผิดหรือไงเล่า!” เวียงพิงค์เถียงสู้ หลังเขาถูกเจ้าเปี๊ยกโวยวายใส่กัน เนื่องจากเวียงพิงค์ได้ทำการแกล้งเจ้าเปี๊ยกกลับด้วยการสาดน้ำใส่อย่างไม่ยอม
“ข้าชักจามอหอแล้วนะ!” เจ้าเปี๊ยกตะโกนใส่เสียงดัง ตั้งท่าจะแกล้งกันเต็มที่
“ก็มาสิไอ้เปี๊ยก คิดว่าข้ากลัวรึ!” เวียงพิงค์ท้าทาย จากนั้นทั้งลูกศิษย์และอาจารย์ก็เคลื่อนกายเข้าหากัน เพื่อเล่นสนุกทันที ทว่าในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเล่นน้ำกันอย่างเพลินอารมณ์ ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีใครนึกสังเกตเลยว่าทุกการกระทำนั้น มันกำลังถูกจับจ้องโดยกลุ่มคนหนึ่งอยู่
เมื่อเดินทางมาถึงน้ำตกตามกลิ่นของเลือดที่เคยได้ชิมแล้ว กษัตริย์ยงฮวาที่อยู่ในชุดลำลองคล้ายกับขุนนางชั้นทั่วไปก็จับจ้องภาพของทั้งสองชีวิตอย่างใช้ความคิด ดวงตาคมไล่มองผิวขาวเหลืองอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะหลับตาลงแล้วจินตนาการภาพบางอย่างในหัว
“ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมลงไปลากตัวขึ้นมาเลยหรือไม่” องครักษ์คนโปรดที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยขันอาสา
“ไม่ต้องหรอก เพราะพวกเขายังเล่นสนุกกันอยู่”
“...”
“ปล่อยให้เล่นน้ำไปก่อน แล้วค่อยลงไปลากตัวมา” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหยิบเอายาสูบออกมาจุดไฟแล้วหาที่เหมาะ ๆ นั่งดูเวียงพิงค์เล่นน้ำอย่างสบายอารมณ์ เนื่องจากเขามีเวลาเฝ้ามองอีกคนเล่นน้ำได้ทั้งวัน
มันเป็นความลับของจักรวาล… หากมังกรแห่งแผ่นดินซานซูยูได้ชิมเลือดอาหารแล้ว ไม่ว่าอาหารจะอยู่ที่ไหนต่อให้หนีไปไกลสุดขอบฟ้า เขาก็จะตามหาจนเจอเหมือนอย่างอาหารจานนี้
“บุรุษผู้นี้เหมือนจะไม่ได้มีเชื้อชาติเดียวกับเราเลยน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็คงเป็นแบบนั้น เมื่อคืนนี้เขาสารภาพกับข้าอยู่”
“...”
“เลือดของเขาหอมมากจนข้าตกใจเลยล่ะ ตั้งแต่มีชีวิตมาเกินร้อยปีข้ายังไม่เคยเจอมนุษย์ผู้ใดเลือดหอมหวานเท่าเขามาก่อน” กษัตริย์ยงฮวาตรัสกับสหาย เมื่อรสชาติความหวานของเวียงพิงค์ยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายลิ้นของเขายากที่จะลืมเลือน
“เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงอยากให้ทางวังจัดงานพิธีกรรมเร็ว ๆ ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คนโปรดถามต่อ เพราะตั้งแต่ที่เข้าวังมาก็ยังไม่เคยเห็นปีไหนที่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะออกปากเร่งเร้าอยากให้ทางวังจัดพิธีกรรมเร็ว ๆ เช่นปีนี้
“นั่นก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ” กษัตริย์ยงฮวาบอกกลับไป “แต่บางทีข้าก็คิดนะว่าถ้าหากถึงคืนนั้น… ข้าอาจจะไม่ฆ่าเวียงพิงค์ก็ได้”
“...”
“เลือดเขาหอมหวานขนาดนี้ ข้าก็อยากค่อย ๆ ละเลียดกินนาน ๆ” เพียงแค่มินจุนได้ยินเช่นนั้น องครักษ์ที่เป็นดั่งสหายและมือขวาของกษัตริย์ยงฮวาก็ถึงกับเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่กษัตริย์ยงฮวานึกอยากไว้ชีวิตอาหาร
ทุกครั้งที่พ้นคืนพิธีกรรมไปก็เห็นแต่เป็นศพกันทั้งนั้น
“อาจาน ๆ อาจานรู้สึกแปก ๆ ม่ะ”
“หืม รู้สึกอะไรเหรอ” หลังเล่นน้ำตกจนพอใจแล้ว ระหว่างที่กำลังสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เวียงพิงค์ก็ต้องหันไปมองเจ้าเปี๊ยกอีกครั้ง เมื่อเด็กชายตัวเล็กมีคำถามใหม่มาอีกแล้ว
“ก้อรู้สึกเหมือนกำลังถูกแอบมองไง” เจ้าเปี๊ยกบอกด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเพราะอย่างนั้นเวียงพิงค์จึงรีบหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง เนื่องจากเขาเองก็ลืมตัวไปชั่วคราวว่าตัวเองไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตปกติ แต่เวียงพิงค์หลบหนีออกมาต่างหาก
ซึ่งยังไม่ทันที่เวียงพิงค์จะมองหาสายตาที่ว่านั้นเจอ คนที่ไม่รู้ว่ามานั่งแอบมองกันตั้งแต่ตอนไหนก็เดินมาปรากฏตัวที่ตรงหน้าเขาเสียก่อน
“อาจาน!” เจ้าเปี๊ยกที่เห็นเช่นนั้นรีบร้องเรียกกันด้วยความตกใจ
“ข้ารู้แล้วน่า เจ้าอยู่นิ่ง ๆ เอาไว้”
“เล่นสนุกจนพอใจหรือยัง” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยขึ้น หลังพวกเขาได้ยืนเผชิญหน้ากันแล้ว โดยกษัตริย์ยงฮวาก็ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่อีกฝ่ายยังมีองครักษ์ส่วนพระองค์และทหารอารักขาอีกสองนายติดสอยห้อยตามมาด้วย
“พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่” เวียงพิงค์เมินคำถามนั้นแล้วถามกลับไปแทน
“มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะรู้ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะตามหาเจ้าเจออยู่ดี”
“...”
“สงสัยเจ้าต้องไปหลับนอนกับข้าที่ตำหนักของข้าแล้วมั้ง จะได้ไม่คิดหลบหนีอีก”
“ใครจะอยากไปหลับนอนกับท่าน เพ้อเจ้อ” เวียงพิงค์สวนกลับ ทำเอาองครักษ์ที่ยืนฟังบทสนทนานั้นถึงกับถลึงตาใส่เวียงพิงค์ คล้ายกับเขาทำความผิดมหันต์
“บังอาจ!”
“ช้าก่อนมินจุน ข้าไม่ได้โกรธเขา”
“...”
“สงสัยคงมีแค่ข้าสินะที่อยากหลับนอนกับเจ้า น่าเสียดายจัง” กษัตริย์ยงฮวาบอกกลับมาทั้งรอยยิ้ม แล้วถามกันต่อ “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าพร้อมจะกลับวังกับข้าหรือยัง”
“ไม่ ข้าไม่กลับ” เวียงพิงค์รีบส่ายหน้าปฏิเสธกลับไป ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดเปล่าแต่ยังจับเจ้าเปี๊ยกเข้าเอวเตรียมจะพาวิ่งหนีด้วย
“มินจุนอุ้มเด็ก ส่วนข้าจะอุ้มเวียงพิงค์เอง” กษัตริย์ยงฮวาออกคำสั่ง หลังจากนั้นเสียงโวยวายของเวียงพิงค์และเจ้าเปี๊ยกก็ดังขึ้นทันที