“คนของข้าบอกว่าคราวแรกเจ้าไม่ยอมมาและพยายามขัดขืน”
“...”
“ทำไมล่ะ ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าหิวไง”
“ข—ข้าไม่หิวแล้วขอรับ”
“กระเพาะของเจ้ามันควบคุมได้ด้วยหรือ”
“...”
“มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์หากหิวแล้วก็ต้องกินสิ เจ้าจะฝืนตัวเองไปทำไม”
ภายในตำหนักของกษัตริย์ยงฮวา ขณะที่เวียงพิงค์กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย โดยมีโต๊ะอาหารคั่นตรงกลางเอาไว้ เขาก็คอยหลุบตามองพื้นและมองนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยไม่ยอมสบตากับคนพูด หลังกษัตริย์ยงฮวาได้มีการพูดถึงการขัดขืนในช่วงก่อนหน้านี้
ที่เวียงพิงค์ไม่ยอมมา เหตุเพราะเขากลัวว่าตัวเองจะถูกลวงมาฆ่า
“เจ้าหิวไม่ใช่หรือ งั้นกินสิ” ผู้เป็นกษัตริย์เอ่ยขึ้นอีก หลังอีกฝ่ายเห็นว่าเวียงพิงค์เอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมตอบโต้อะไร
“ท่านเอาข้ามาที่นี่ทำไม”
“...”
“ข้าคงไม่ได้แค่ต้องตาต้องใจท่านมาก จนท่านเลือกที่จะไม่สนโชคชะตาหรอกใช่ไหม มันคงมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งข้าอยากรู้เหตุผลนั้น” เวียงพิงค์ตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะลำพังแค่เขาหลุดเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ มันก็น่าปวดหัวพอสมควรแล้ว นี่เขายังถูกจับเข้ามาในวังเพื่อเพิ่มความยากลำบากในการใช้ชีวิตเข้าไปอีก
“แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย” กษัตริย์ยงฮวาถามกลับมาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“ก็ท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไง หากท่านอยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับข้า ท่านก็ถามข้าตรง ๆ ไม่ดีกว่าหรือ” เวียงพิงค์พูด ก่อนที่ต่อมาเขาจะต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่ากษัตริย์ยงฮวายิ้ม
“ตอนเจอหน้ากันคราวแรกเจ้ายังพูดความเท็จกับข้าอยู่เลย แม้กระทั่งตอนที่ถูกนำตัวเข้ามาในวังเจ้ากับอึนเฮก็ยังเอ่ยความเท็จอีก แล้วแบบนี้….ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดมา มันจะเป็นความจริง”
“...”
“เจ้ารีบกินข้าวเสียเถอะ ก่อนที่อาหารมันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้” กษัตริย์ยงฮวาพูดตัดบทและทำทีคีบอาหารตรงหน้าของตัวเองโดยไม่สนใจเวียงพิงค์ ในขณะที่เวียงพิงค์เองก็ได้แต่นั่งจ้องใบหน้ารูปงามนั้น แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“ให้มันได้แบบนี้สิ” เวียงพิงค์พึมพำ ก่อนที่เขาจะคีบเครื่องเคียงเข้าปากของตัวเองบ้าง
ตั้งแต่เกิดมาและเรียนประวัติศาสตร์เกาหลีมาเกือบสองปี เวียงพิงค์ก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่ามังกรเกาหลีกินอาหารของมนุษย์ได้ด้วย…
หลังเริ่มกินมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกได้พักใหญ่ เวียงพิงค์ก็คอยเงยหน้าขึ้นมองคนฝั่งตรงข้ามไปด้วย เนื่องจากเขาเพิ่งจะมาเอะใจเรื่องที่มังกรกินอาหารของมนุษย์
“เจ้ามีอะไรรึ” อีกฝ่ายที่รู้ว่ากำลังถูกมองอยู่ถามขึ้น
“ข้าสงสัยว่าทำไมมังกรอย่างท่านถึงกินอาหารมนุษย์ได้”
“ข้าอยู่ในร่างมนุษย์ กินอาหารมนุษย์แล้วมันแปลกยังไง”
“...”
“หรือจะให้ข้ากินเจ้าดี”
“นายท่านไม่กินข้าหรอก” เวียงพิงค์เถียงกลับไป ซึ่งการต่อล้อต่อเถียงของเขาก็ทำให้อีกคนระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนะว่าถ้าหากข้าอยากเสพสมกายมนุษย์ ข้าไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงคืนทำพิธีกรรมหรอก” เพียงแค่ได้ยินอีกคนเอ่ยเช่นนั้น เวียงพิงค์ก็ถึงกับหน้าถอดสีแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
“แต่ว่า….ข้าเป็นผู้ชายนะ” เขาท้วงกลับไป
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าถือเรื่องนี้หรือเปล่า” พูดจบ กษัตริย์ยงฮวาก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ คล้ายกับอิ่มแล้ว
“...”
“เท่าที่ข้าดูเจ้าใช้ตะเกียบแล้ว งั้นแสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นี่จริง ๆ สินะ” กษัตริย์ยงฮวาพูดต่อเหมือนตลอดทั้งการเสวยอาหารนั้น อีกฝ่ายก็คอยสังเกตการปฏิบัติตัวของเวียงพิงค์ไปด้วย
“...”
“เจ้าเป็นใคร สารภาพมา…ทำไมเจ้าถึงเข้ามาในแผ่นดินนี้ได้” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยถาม และก็ไม่รู้ทำไมเวียงพิงค์ถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายในยามนี้ดูน่ากลัวแปลก ๆ
คล้ายกับมีรังสีบางอย่างแผ่อยู่รอบตัว
“อะไรของท่าน ข้าก็เป็นข้าน่ะสิ!” คราวนี้เวียงพิงค์ไม่พูดเปล่า แต่เขายังรีบวางตะเกียบไว้ที่โต๊ะตั้งท่าจะออกมาจากตำหนักของกษัตริย์ยงฮวาทันที เนื่องจากสัญชาตญาณบางอย่างมันได้เตือนเวียงพิงค์ว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
เรื่องที่ให้มานั่งกินข้าวด้วยกันน่ะ มันก็เป็นแค่ฉากบังหน้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วอีกฝ่ายตั้งใจจะเรียกมาบีบเค้นความจริงต่างหาก ซึ่งถ้าหากเวียงพิงค์เอ่ยออกไปตามตรง เขาก็อาจถูกฆ่าหรือไม่ก็อาจถูกเนรเทศให้ออกจากเขตแผ่นดินซานซูยูได้
ฉะนั้นเป็นตายร้ายดียังไง เขาก็ไม่มีทางยอมบอกความจริงหรอก
“ปล่อยข้านะ! ท่านเสียสติไปแล้วหรือ” เวียงพิงค์เริ่มโวยวายเสียงดัง เมื่อในเวลาต่อมาจังหวะที่เขากำลังจะวิ่งไปเปิดประตูหนีออกมาจากตำหนัก พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ลุกขึ้นตาม แล้วเข้ามาถึงตัวเขาได้อย่างรวดเร็วราวกับกะพริบตาซึ่งมารู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของเวียงพิงค์ก็กำลังแนบชิดกับแผ่นอกของอีกคนแล้ว หลังกษัตริย์ยงฮวาได้จัดการจับเขาล็อกคอเอาไว้จากทางด้านหลัง
“สารภาพมาว่าเจ้าเป็นใคร” อีกฝ่ายจี้ถามเสียงเข้มพร้อมล็อกคอเวียงพิงค์ให้แน่นกว่าเดิม จนคนที่ตัวเล็กกว่าเกือบหายใจไม่ออก
“ป—ปล่อย ปล่อยข้านะ!” เวียงพิงค์โวยวายอีกครั้งและเริ่มทุบตีอีกคนไปด้วย
“หากเจ้าอยากให้ข้าปล่อย งั้นก็รีบสารภาพมาสักทีสิว่าเจ้าเป็นใคร”
“ไม่!”
“หรือว่าเจ้าจะให้ข้าใช้วิธีนี้” สิ้นเสียงของกษัตริย์ ทุกอย่างก็หยุดนิ่งไปทันที หลังเวียงพิงค์รับรู้ได้ถึงกริชเหล็กอันแหลมคมจ่อที่คอของเขา และถ้าเขาออกแรงขัดขืนมันก็มีความเสี่ยงสูงที่เขาอาจจะตายได้
“...”
“ว่ายังไงล่ะ จะสารภาพมาหรือเปล่า” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเวียงพิงค์นิ่งไปคล้ายกับกำลังตกใจอยู่ โดยในเวลาเดียวกันนั้นอีกฝ่ายก็ออกแรงกดปลายมีดลงมาด้วย จนทำให้เริ่มมีเลือดซึมออกมา
“ข—ข้า ข้ามาจากแผ่นดินอนาคต ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมข้าถึงหลุดเข้ามาอยู่ในนี้ได้” เวียงพิงค์ตัดสินใจสารภาพความจริงออกไป หลังความตายอยู่ใกล้เขาแค่เอื้อมเท่านั้น
“แผ่นดินในอนาคตคืออะไร” กษัตริย์ยงฮวาถามต่อทั้งคิ้วขมวด ทว่ายังไม่ทันที่เวียงพิงค์จะได้อธิบายอะไรให้ฟัง เขาก็ต้องนิ่งไปอีกครั้ง เมื่อเวียงพิงค์รู้สึกว่าจมูกโด่งของอีกฝ่ายได้แตะลงที่ซอกคอตรงบริเวณที่เลือดซึมออกมา คล้ายกับต้องการสูดดมบางอย่าง
ก่อนที่เวลาต่อมาเวียงพิงค์จะต้องอ้าปากค้าง หลังกษัตริย์ผู้งดงามได้ใช้ลิ้นไล่เลียเลือดของเขาราวกับกำลังชิมอาหาร
“ทำไมเลือดของเจ้ามันถึงได้หอมเช่นนี้ หอมยิ่งกว่ามนุษย์ผู้ใดที่เคยเป็นอาหารของข้า”
“จิ้มมีดลงมาได้ นี่ผิวคนนะเว้ย…ไอ้บ้า!” เมื่อถูกปล่อยตัวให้กลับมาที่ตำหนักตัวเองแล้ว ระหว่างที่กำลังนั่งส่องกระจกเงาเพื่อเช็กบาดแผลจากปลายมีดอยู่นั้น เวียงพิงค์ก็ได้แต่พึมพำทั้งคิ้วขมวด หลังเขากำลังกังวลกลัวว่ามันจะกลายเป็นแผลเป็น
“นี่ถ้าสุดท้ายมันเป็นแผลเป็นนะ เจอดีแน่ เดี๋ยวจะเอาเลือดหัวมังกรออกให้ดู!” เขาพูดต่ออย่างมีน้ำโห จากนั้นเวียงพิงค์ก็ค่อย ๆ คลานเข่าตรงไปยังที่นอนเพื่อทิ้งร่างลงบนฟูกหนา เนื่องจากตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
“เฮ้อ…” พอทิ้งร่างลงบนฟูกเสร็จ ก่อนที่จะหลับตานอนจริง ๆ เวียงพิงค์ก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งหน หลังภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความคิด ยิ่งวินาทีที่กษัตริย์ยงฮวาใช้ลิ้นไล่เลียเลือดของเขา เวียงพิงค์ก็ยิ่งจำได้แม่น
เพราะมันทำให้หน้าของเขาร้อนฉ่าอย่างไร้สาเหตุ
“กำลังจะถูกจับกินแท้ ๆ ยังจะมาเขินอะไรแบบนี้อีกนะเรา” เวียงพิงค์บ่นให้ตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ ตั้งใจจะนอนรวบรวมเรี่ยวแรงก่อนแล้วในวันพรุ่งนี้เขาก็จะคิดหาวิธีหนีออกจากวัง เนื่องจากดูท่าแล้วเวียงพิงค์น่าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก
เช้าวันต่อมา
“อันนี้คืออะไรเหรอ”
“มันคือแป้งผัดหน้าเจ้าค่ะ”
“แล้วมันทำมาจากอะไรบ้าง”
“มีผงแป้งข้าวเจ้า ผงข้าวบาร์เลย์แล้วก็มีผสมผงไข่มุกด้วยเจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นข้าขอไม่ทาได้ไหม พอดีข้าอาจจะแพ้ได้น่ะ” ขณะที่กำลังนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลแต่งกายให้อยู่นั้น เวียงพิงค์ก็บอกเธอไปด้วย เมื่อเขาเกิดไม่อยากทาแป้งผัดหน้าขึ้นมา เหตุเพราะกลัวว่าผิวจะระคายเคือง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะซังกุงสั่งมา” นางกำนัลบอกกลับมาทั้งรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็แอบส่งสัญญาณให้เพื่อนอีกคนเข้ามาล็อกแขนเวียงพิงค์เอาไว้ เพื่อที่เธอจะได้ทาแป้งให้เขาได้อย่างสะดวก
“พวกเจ้านี่ทำเหมือนข้าเป็นตุ๊กตาเลย” หลังถูกจับล็อกแขนจนพวกเธอทาแป้งให้กันได้สำเร็จแล้ว เวียงพิงค์ก็พูดกับพวกเธอด้วยใบหน้างองุ้ม ซึ่งพวกเธอก็ปฏิบัติตัวราวกับเป็นหุ่นยนต์มีชีวิต คนที่ตำแหน่งสูงกว่าสั่งว่าอย่างไรพวกเธอก็จะก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อแม้ ทำเอาเวียงพิงค์เห็นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
“เดี๋ยวจะมีพวกนางกำนัลจากห้องเครื่องนำชุดอาหารมาให้ หากท่านหิวก็ช่วยรอหน่อยนะเจ้าคะ”
“แล้วพวกเจ้าจะไปไหน ทหารหน้าห้องจะออกไปด้วยหรือเปล่า” เวียงพิงค์ถามต่อ เมื่อเขาคิดว่าจะอาศัยจังหวะนี้ในการหลบหนี
“ทหารหน้าห้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับท่าน แล้วทำไมพวกเขาจะต้องออกไปด้วยล่ะเจ้าคะ”
“ก็ข้าไม่อยากให้อยู่ไง”
“...”
“พอดีมีคนมายืนเฝ้าหน้าห้องแบบนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดน่ะ แต่ก็เอาเถอะ…หากมันเป็นหน้าที่ของพวกเขา” หลังเห็นว่านางกำนัลกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยใบหน้าเคลือบแคลงใจ เวียงพิงค์ก็รีบอ้างเหตุผลทันที ก่อนที่เขาจะโบกมือไล่ให้พวกเธอรีบออกจากห้องไปได้แล้ว
ต่อมาเมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง เวียงพิงค์ที่กำลังคิดหนักก็ถึงกับต้องยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันกับพื้นอย่างใช้ความคิด หลังสถานการณ์จริงมันไม่ได้เหมือนอย่างที่เขาคิด
“เอายังไงดีวะ ถ้าเดินออกไปเลย เราจะโดนห้ามหรือเปล่า” เวียงพิงค์พูดกับตัวเอง ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาคิดจะอาศัยช่วงนี้ในการหลบหนีนั้น นั่นก็เป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีนางกำนัลเข้ามาดูแล เนื่องจากอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยน ประกอบกับเวียงพิงค์ก็ไม่รู้ด้วยว่าตลอดทั้งวันนี้กษัตริย์ยงฮวาจะนึกพิเรนทร์มานั่งเค้นความจริงจากเขาอีกหรือเปล่า ดังนั้นเวียงพิงค์จึงควรหนีออกจากวังก่อนที่การเค้นความจริงจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ไม่แน่…คราวนี้กษัตริย์ยงฮวาอาจไม่ได้ทำแค่เอากริชมาจ่อคอเขาเหมือนอย่างเคย แต่อีกฝ่ายอาจนำตัวเวียงพิงค์ไปขังคุกแล้วสั่งโบยหรือทำการทรมานเขาแบบในซีรีส์พีเรียดก็ได้ ไม่มีใครรู้
“เอาวะ ลองเดินออกไปปกติก่อนก็แล้วกัน”
พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอายังไงต่อ เวียงพิงค์ก็รีบลุกขึ้นจากเบาะนั่งแล้วตรงไปยังหน้าห้องทันที ซึ่งก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไปนั้น เวียงพิงค์ก็ได้มีการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งสติด้วย เพราะถ้าหากเขาแสดงท่าทีประหม่าต่อหน้าทหาร บางทีพวกทหารหน้าห้องอาจจะไม่ยอมปล่อยเขาไปก็ได้
“นี่เจ้าออกมาทำไม” นั่นเป็นประโยคแรกจากทหารที่ถามเวียงพิงค์ ทำเอาคนที่คิดจะทำการใหญ่ถึงกับสะดุ้งโหยง เนื่องจากตกใจเสียงเข้ม
“ถ—ถามแปลก เปิดประตูออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าข้าจะออกมาจากห้องน่ะสิ” เวียงพิงค์ตอบกลับไป พร้อมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น
“แล้วเจ้าจะออกมาทำไม”
“อ้าว พวกท่านก็ถามแปลกเสียจริงนะ….ข้าก็จะกลับบ้านของข้าน่ะสิ”
“...”
“เมื่อคืนนี้ฝ่าบาทสั่งกับข้าว่าหากข้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ให้รีบออกจากวังไปได้เลย เพราะหมดหน้าที่ของข้าแล้ว” เวียงพิงค์เอ่ย โดยคำโกหกนี้เขาก็เพิ่งคิดได้แบบสด ๆ ร้อน ๆ
“จริงหรือ แต่ทำไมพวกข้าถึงไม่ได้รับแจ้งจากพวกทหารเวรก่อนหน้านี้เลย”
“ก็เมื่อคืนนี้ฝ่าบาทรับสั่งกับข้าแค่ผู้เดียวน่ะสิ แล้วพวกท่านจะรู้ได้อย่างไรกัน”
“...”
“ส่วนตอนนี้พวกท่านก็หยุดขวางทางเดินของข้าได้แล้ว เพราะข้าต้องรีบไปทำมาหากินนะ ลูกเมียของข้ารออยู่!” เวียงพิงค์พูดต่อพร้อมทำทีหงุดหงิดใส่พวกทหาร ซึ่งนั่นก็ทำให้ทหารตัวใหญ่ต้องยอมหยุดขัดขวางเขาแล้วยอมปล่อยให้เขาออกมาจากตำหนัก โดยไม่มีการเดินตามมา
“มันก็ไม่ได้ยากนี่หว่า”
เมื่อออกมาจากตำหนักได้แล้ว เวียงพิงค์ก็พูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมนึกชื่นชมความฉลาดในใจ จากนั้นเขาก็รีบหันมองซ้ายขวาเพื่อหาเส้นทางออกจากวังนี้ต่อ
โดยตลอดทั้งการเดินสวนกับคนในวังนั้น ทุกครั้งที่เขาถูกพวกขุนนางและซังกุงสอบถาม เวียงพิงค์ก็มักจะตอบว่าตัวเองเป็นพ่อค้าในตลาดที่แวะเอาวัตถุดิบสดเข้ามาส่งให้ห้องเครื่อง แต่ตอนนี้เขากำลังเดินหลงทาง หาทางออกจากวังไม่เจอ