5

2392 คำ
“เหลวไหล! พวกท่านจะมาเอาตัวเวียงพิงค์ไปได้อย่างไร ในเมื่อประกาศหาตัวแทนก็เพิ่งออกวันนี้แท้ ๆ แถมชาวบ้านก็ยังไม่ได้ปรึกษาหารือกันเลย อีกอย่างมันจวนตัวจนถึงขั้นต้องมาเอาผู้ชายแล้วหรือ” ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อึนเฮก็รีบร่ายยาวใส่ทหารตัวยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว “ก็ทางวังสั่งให้พวกข้ามานำตัวบุรุษผู้นี้ไป” “แล้วทำไมต้องเอาไปด้วย หรือว่าเวียงพิงค์ไปทำผิดกฎหมายบ้านเมือง” อึนเฮถามต่อพร้อมยื่นมือเข้ามาขวางการจับตัวของทหารเอาไว้ หลังมีทหารคนหนึ่งยื่นมือมาจับแขนเวียงพิงค์ตั้งใจจะลากตัวให้ออกไปด้วยกัน “พวกข้าจะรู้ไหมล่ะ คนจากวังสั่งมาอย่างนั้นพวกข้าก็แค่มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” “ไม่รู้ล่ะ ยังไงข้าก็ไม่ยอมหรอก! พวกท่านอย่าริอาจมาแตะต้องเวียงพิงค์เชียว” อึนเฮไม่พูดเปล่า แต่เธอยังเรียกคนของตัวเองให้มาช่วยด้วย ซึ่งในวินาทีนั้นเวียงพิงค์ก็รู้สึกซึ้งใจมาก เนื่องจากเขาไม่ใช่คนในครอบครัวเธอ เป็นเพียงคนที่มาขออาศัยอยู่ด้วยเท่านั้น แต่อึนเฮก็ยังช่วยเหลือกันถึงขนาดนี้ “บุรุษผู้นี้เป็นแค่เด็กในหอนางโลมเท่านั้น ทำไมเจ้าถึงปกป้องนัก” “ใครบอกกัน เวียงพิงค์เป็นผัวของข้าต่างหาก!” อึนเฮเถียงสู้อย่างไม่ยอม ทว่านั่นกลับทำให้เวียงพิงค์ถึงกับหันขวับมองเธอด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าอึนเฮจะงัดเอาไม้นี้ออกมาใช้ อะไรกันเนี่ย… ทำไมอยู่ดี ๆ เขาถึงมีเมียเสียได้ “พวกท่านไม่เชื่องั้นเหรอ นี่ข้าไม่ได้โกหกนะเพราะมีลูกกันแล้วด้วย… นี่ยังไงล่ะลูกของพวกข้า!” อึนเฮเอ่ยพร้อมดึงแขนเจ้าเปี๊ยกให้เข้ามาใกล้ตัวเอง หลังช่วงที่กำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น เจ้าเปี๊ยกก็เหมือนจะเดินมาเรียกเวียงพิงค์ให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันพอดี “เจ้าคือลูกของข้ากับเวียงพิงค์ใช่หรือไม่ บอกพวกทหารไปสิ” อึนเฮกระซิบบอกเจ้าเปี๊ยก “ชั่ย! นิคืออาจาน เอ๊ย! นิคือพ่อของข้าและนิก้อคือแม่ของข้า” เจ้าเปี๊ยกร่วมเถียงสู้เช่นกัน “เห็นไหมล่ะ เด็กผู้นี้หน้าตาเหมือนข้ากับเวียงพิงค์ราวกับแกะ แล้วพวกท่านยังคิดจะมาพรากพ่อพรากลูก พรากผัวพรากเมียกันอีกหรือ” อึนเฮพยายามใช้วาจาและความสงสารโน้มน้าวจิตใจทหาร ทว่าในช่วงที่ทหารกำลังสบตากันคล้ายกับกำลังปรึกษาหารือว่าจะเอายังไงต่อ เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่แสนจะคุ้นเคยดีก็ดังขึ้นเสียก่อน “ให้ข้อมูลเท็จแก่วัง ถือว่ามีความผิดนะอึนเฮ” “นายท่าน…” “ใช่ ข้าเอง… ลูกค้าชั้นดีของที่นี่” อีกฝ่ายแนะนำตัวเหมือนอย่างวันนั้นทั้งรอยยิ้ม ทำตัวสวนกระแสบรรยากาศที่กำลังตึงเครียด “เหตุใดนายท่านถึงมาที่นี่ล่ะเจ้าคะ หรือว่าอยากมาใช้บริการสาวงามของที่นี่” อึนเฮแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งพอกษัตริย์ยงฮวาปรากฏตัว เวียงพิงค์ก็เหมือนจะรับรู้ชะตากรรมของตัวเองได้ทันที เพราะลำพังอึนเฮเองก็คงไม่อาจขัดขืนความต้องการของกษัตริย์ได้ “เจ้าเป็นคนฉลาด เพราะงั้นตัวของเจ้าน่าจะรู้นะว่าข้ามาที่นี่ทำไม” “...” “ข้าคิดแล้วว่ามันจะไม่ง่าย ข้าก็เลย….” อีกฝ่ายลากเสียงยาวพร้อมกับลากสายตามาหยุดที่หน้าของเวียงพิงค์อย่างมีความนัย “มารับเขาด้วยตัวข้าเอง” “ม—มารับข้าหรือขอรับ” เพราะถูกกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์จ้องมองมาที่ตัวเองอย่างเจาะจง เวียงพิงค์จึงต้องเอ่ยขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงติดขัด เนื่องด้วยความกลัว “ข้าทำผิดหรือขอรับ เหตุใดท่านถึงต้องมารับตัวข้าด้วย” “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดเลยเวียงพิงค์ เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก” อีกฝ่ายตอบกลับมา “...” “แต่เป็นเพราะดวงชะตาของเราสมพงศ์กันมากประหนึ่งว่าถูกสร้างมาเพื่อคู่กัน ข้าก็เลยต้องมารับตัวเจ้ายังไงล่ะ” “กลัวหรือ” “...” “เจ้านี่เป็นคนไม่ค่อยมีมารยาทสินะ” “เปล่า ข้าไม่ได้กลัว” ขณะที่กำลังเดินทางเข้าวังพร้อมกับกษัตริย์ เวียงพิงค์ก็ตอบอีกฝ่ายทั้งที่ไม่ยอมมองหน้า “หากเจ้าไม่ได้กลัว แล้วทำไมถึงไม่หันมามองข้าด้วยล่ะ” “ก็…ข้างทางมันน่าสนใจกว่า” “...” “อีกอย่างข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านด้วย” เวียงพิงค์ตอบเสียงแผ่ว เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะให้อีกคนได้ยินมัน แต่ก็แค่อยากพูดออกไปก็เท่านั้น เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หลังกษัตริย์ยงฮวากล่าวเช่นนั้นกับอึนเฮ เวียงพิงค์ก็ต้องขึ้นรถม้ามากับอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งเขาก็เพิ่งจะมานึกได้ว่าควรจะสารภาพเรื่องวันเดือนปีเกิดออกไปว่ามันเป็นของปลอม ก็ตอนที่ขึ้นรถมากับกษัตริย์แล้วนี่แหละ “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่อยากเห็นหน้าข้าล่ะ” อีกฝ่ายซักไซ้ต่อ แต่ดูเหมือนจะต้องการเย้าแหย่เวียงพิงค์มากกว่าจะเอาคำตอบจากเขา “ขออภัยขอรับ ข้าคงไม่สามารถบอกเหตุผลได้” เวียงพิงค์ว่า แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ได้รวบรวมความกล้าหันกลับไปจ้องกษัตริย์ผู้งดงาม “ข้ามีเรื่องจะสารภาพ” “อะไรรึ” “ความจริงแล้ว… วันเดือนปีเกิดที่ข้าเคยบอกกับทหารไปตอนนั้นมันเป็นของปลอม อันที่จริงข้าไม่ได้เกิดวันนั้นเดือนนั้น เพราะงั้นโชคชะตาของข้ากับท่านคงไม่ได้สมพงศ์กันเหมือนอย่างที่หมอดูทำนายทายทัก” เวียงพิงค์ร่ายยาว ในขณะที่อีกคนก็นั่งนิ่งเพื่อรับฟัง “...” “ข้าพูดจริง ๆ นะขอรับ” “แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” “...” “แต่เอาเถอะ ต่อให้ดวงชะตาของเราไม่ได้สมพงศ์กัน ข้าก็ไม่ได้ถือสาอะไรอยู่แล้ว” “ได้ยังไงเนี่ย!” เพียงแค่ได้ยินเช่นนั้น เวียงพิงค์ก็ถึงกับร้องออกมาอย่างลืมตัว ก่อนที่ต่อมาเขาจะรีบเม้มปากแน่น เมื่อเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังพูดกับใครอยู่ ซึ่งถ้าหากเวียงพิงค์ทำให้กษัตริย์ยงฮวาโกรธ เขาก็อาจถูกนำไปประหารเสียบหัวประจานได้ เพราะเท่าที่เวียงพิงค์เคยอ่านประวัติศาสตร์มา กษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินซานซูยูนอกจากจะเป็นมังกรและมีการสังเวยมนุษย์ในทุก ๆ ปีแล้ว นิสัยส่วนพระองค์ยังโหดร้ายด้วย ขนาดโจรป่ายังไม่ค่อยกล้าออกอาละวาด “ขออภัยขอรับ ข้าลืมตัว” เวียงพิงค์พูดแล้วถามต่อ เพื่อเบี่ยงประเด็น “หากท่านพูดเช่นนี้ งั้นการที่วังมีการดูดวงชะตาของตัวแทนและท่านในทุก ๆ ปีมันหมายความเช่นไรหรือขอรับ” “มันเป็นธรรมเนียมมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่คนจากวังจะไปอัญเชิญข้าขึ้นมาปกครองแผ่นดิน” “...” “ข้าก็แค่ปล่อยให้คนในวังทำต่อไป เพื่อความสบายใจเท่านั้น” กษัตริย์ยงฮวากล่าวเพียงสั้น ๆ แล้วในเวลาเดียวกันนั้นทุกอย่างก็หยุดเคลื่อนไหว เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาถึงวังหลวงแล้ว “เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาดูแลเจ้า ขาดเหลืออะไรก็บอกเขาแล้วกัน” “แล้วท่านจะไปไหนหรือขอรับ” “ก็กลับตำหนักของตัวเองน่ะสิ หรือว่าเจ้าจะไปนอนด้วยกัน” “ไม่ขอรับ ไม่” เวียงพิงค์รีบส่ายหน้าปฏิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ก่อนที่ต่อมาเขาจะก้าวเท้าเดินตามหลังกษัตริย์ยงฮวาต่อ เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าเขามีบางอย่างที่อยากจะขอจากอีกฝ่าย “เจ้ามีอะไรรึ” กษัตริย์ยงฮวาหันกลับมาถามอย่างฉงน “ค—คือว่าข้าหิว” “...” “ตอนที่ทหารบุกไปหอนางโลม มันถึงเวลากินมื้อเย็นของข้าพอดี ยังไง…ท่านก็ช่วยบอกให้พวกเขาหาข้าวให้ข้าหน่อยได้ไหม ไม่งั้นคืนนี้ข้าคงนอนไม่หลับ” เวียงพิงค์เอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เนื่องจากเท่าที่เขารู้มาคือห้องเครื่องของที่นี่จะมีเวลาเปิดปิดที่แน่นอน และตอนนี้ห้องเครื่องก็น่าจะปิดแล้ว เวียงพิงค์จึงอยากได้คำสั่งจากคนตรงหน้า เพราะลำพังเขาบอกว่าตัวเองหิว พวกนางกำนัลของที่นี่ก็คงจะไม่ยอมเปิดครัวให้ “พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็เลยเพิ่งนึกได้ว่าข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน” กษัตริย์ยงฮวาเอ่ยพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากจาง ๆ คล้ายกับมีแผนร้ายในหัว ทำเอาเวียงพิงค์เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองร่างสูงด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ “นายท่านหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” “เจ้านี่นิสัยเหมือนอึนเฮเลยนะ แสร้งทำเป็นไม่รู้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก” “...” “ยังไงเดี๋ยวข้าจะบอกพวกนางกำนัลให้ก็แล้วกัน ส่วนเจ้าเองหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าซอมซ่อออกแล้ว ก็ค่อยมากินข้าว…ที่ตำหนักของข้า” “ฮ—ฮะ นายท่านเดี๋ยวสิ!” เพราะหลังจากที่พูดจบ กษัตริย์ยงฮวาก็หมุนตัวเดินหนีไปทันที เวียงพิงค์จึงต้องร้องเรียกอีกฝ่าย ทว่าคราวนี้นอกจากกษัตริย์ยงฮวาจะไม่ยอมหันมาคุยด้วยแล้ว อีกฝ่ายยังเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นด้วย ทำเอาเวียงพิงค์ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ เพราะไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ “เอ่อ…” เมื่อเหลือเพียงแค่นางกำนัลที่อยู่ในบริเวณนั้น เวียงพิงค์จึงหันไปมองหน้าพวกเธอต่อ ตั้งท่าจะถามว่าเขาควรทำอย่างไร แต่ในเวลาเดียวกันนั้นซังกุงหัวหน้าของพวกเธอที่เพิ่งจะมาถึงก็เดินมาหาเขาเสียก่อน “ฝ่าบาทนะฝ่าบาท เหตุใดพักหลังมานี้ถึงเอาแต่ใจนัก” ผู้เป็นซังกุงพึมพำคล้ายกับจะบ่นเจ้านายให้ฟัง ก่อนที่ต่อมาสายตาของเธอจะตวัดมองมาที่เวียงพิงค์ ไล่มองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วค่อยพูดต่อ “ส่วนเจ้า! ยังไงก็ตามข้ามาก็แล้วกัน” หลังจากที่พูดจบ พวกนางกำนัลก็เดินตามซังกุงไปราวกับเป็นลูกเป็ด ในขณะที่เวียงพิงค์เองก็ต้องเดินตามเธอไปเช่นกัน เพราะในบริเวณนั้นมันไม่เหลือใครแล้วยกเว้นทหารเฝ้ายาม ตั้งแต่ที่หลุดเข้ามาอยู่ในแผ่นดินซานซูยู เวียงพิงค์ก็ไม่เคยรู้สึกว่าการอาบน้ำครั้งไหนมันจะสบายและสะอาดเท่าครั้งนี้มาก่อน อาจเพราะการอาบน้ำในวังมีเครื่องประทินโฉมมากมาย แถมยังมีคนคอยขัดผิวให้อีก นั่นจึงทำให้เวียงพิงค์รู้สึกว่าการอาบน้ำครั้งนี้ มันสะอาดและสบายยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ แม้ในคราวแรกเขาจะแอบเขินอยู่ไม่น้อยที่มีคนแปลกหน้ามาเห็นเรือนร่างของตัวเอง “เจ้าก็เป็นแค่บุรุษสามัญชนธรรมดานี่ แต่ทำไมฝ่าบาทถึงต้องลงทุนออกจากวังเพื่อไปรับเจ้าด้วย” ระหว่างที่กำลังถูกจับแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายของคนในวัง ซังกุงที่คอยสั่งกำกับนางกำนัลก็ตั้งคำถามกับเวียงพิงค์ไปด้วย “นี่ฝ่าบาทมองเห็นอะไรในตัวเจ้านะ” “...” พอถูกตั้งคำถามเช่นนั้น เวียงพิงค์จึงหันไปมองหน้าซังกุงเล็กน้อย เนื่องจากเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ากษัตริย์ยงฮวามองเห็นอะไรในตัวเขา เพราะเท่าที่ฟังจากการพูดจาดูเหมือนเรื่องดวงสมพงศ์อะไรนั่น มันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะลากตัวเวียงพิงค์เข้าวังเท่านั้น “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หนึ่งในนางกำนัลที่แต่งตัวให้เวียงพิงค์หันไปรายงานกับซังกุงต่อ “ข้ามาไม่ทันตอนที่ฝ่าบาทตรัสคำสั่ง งั้นพวกเจ้าได้ยินว่าอย่างไรบ้าง” “ฝ่าบาทตรัสว่าหากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้บุรุษผู้นี้เรียบร้อยแล้ว ให้พาเขาไปที่ตำหนักของฝ่าบาทเจ้าค่ะ” “ว่าไงนะ…” “ผู้นี้ยังไม่ได้กินมื้อเย็นและฝ่าบาทเองก็ยังไม่ได้เสวย พระองค์จึงจะให้ผู้นี้ไปกินข้าวร่วมกับพระองค์เจ้าค่ะ” “เหลวไหล ฝ่าบาทเนี่ยนะจะยังไม่ได้เสวยอาหาร” ซังกุงเอ่ยคล้ายกับไม่เชื่อหู โดยในนาทีนั้นเวียงพิงค์ก็รู้ได้ทันทีว่ากษัตริย์ยงฮวาคงโกหกแน่ เพราะเอาเข้าจริงหากพระองค์ลืมเสวยอาหาร ยังไงพวกนางกำนัลที่คอยดูแลพระองค์ก็ต้องกล่าวเตือนอยู่แล้ว “แต่เอาเถอะ… ยังไงเราก็ยึดตามคำสั่งของพระองค์ก็แล้วกัน” ซังกุงเอ่ยพร้อมพยักหน้าให้กับนางกำนัล เพื่อบอกให้พวกเธอพาเวียงพิงค์ไปหากษัตริย์ยงฮวาที่ตำหนัก “ไม่ ๆ! ข้าไม่ไป” เวียงพิงค์ที่เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่อยากกินมื้อเย็นแล้วก็รีบบอกกับพวกนางกำนัลและซังกุงทันที เขายอมนอนหิวดีกว่าต้องไปตำหนักกษัตริย์ยงฮวาดีกว่า เนื่องจากเวียงพิงค์เองก็กลัวตายเหมือนกัน เพราะกษัตริย์ยงฮวาจะล่อเขาไปฆ่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เนื่องจากที่นี่คือถิ่นของพระองค์และคงไม่มีใครคอยให้ความช่วยเหลือเขาเหมือนอย่างตอนที่อยู่หอนางโลมแล้ว “แต่เจ้าต้องไป ฝ่าบาทสั่งเช่นไรก็ต้องทำเช่นนั้น” ซังกุงพูดกับเวียงพิงค์อีกครั้ง พร้อมตะโกนเรียกพวกทหารหน้าห้องให้เข้ามาลากตัวเวียงพิงค์ เพื่อไปหากษัตริย์ยงฮวาที่ตำหนัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม