จ๋ำป๋าลาว

2426 คำ
เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะสีขาวขับเข้ามาจอดในลานหน้าสำนัก ก่อนชายสองหญิงหนึ่งจะเปิดประตูลงจากรถพร้อมข้าวของพะรุงพะรังในมือ หูสัมผัสเสียงจอแจของคนที่มาเยือนคุยกันด้วยภาษาเหนือคงไม่พ้นเป็นลูกศิษย์ของพ่อครู ยังเช้าอยู่เลยทำไมวันนี้คนมาไวกันจัง ม่านหมอกอยู่ที่สำนักของพ่อครูครบหนึ่งอาทิตย์ เด็กหนุ่มเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิต สามารถจดจำทิศทางของสถานที่ต่าง ๆ และที่สำคัญช่วงนี้อยู่ในช่วงที่เรียนรู้กิจวัตรประจำวันของพ่อครูและรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย ข้อมูลจนถึงตอนนี้ ม่านหมอกรู้ว่าพ่อครูค่อนข้างมีชื่อเสียง ‍มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะพอสมควร ในหนึ่งวันจะมีคนวนเวียนมาขอความช่วยเหลือในเรื่องที่แตกต่างกันไป รายละเอียดตรงนั้นเขาไม่ทราบมากเท่าไหร่นัก “ป้อครูอยู่ก่อบ่าน้อง (พ่อครูอยู่ไหมน้อง)” ผู้มาเยือนเดินเข้ามาสอบถามม่านหมอกที่ยืนกวาดใบไม้ “น่าจะอยู่ด้านบนนะจ๊ะ” “โล่งอกไปอิ แสดงว่ามาตันอยู่ อั้นน้องไปบอกป้อครูกำเลาะว่าป้อกำนันหมายเปิ้ลมาหา (โล่งอกไปที แสดงมายังมาทัน งั้นน้องไปบอกพ่อครูให้หน่อยว่ากำนันหมายมาพบ)” มาทัน? วันนี้พ่อครูจะไปไหนงั้นเหรอ “กำนันเชิญทางนี้ครับ” ไม่ใช่เสียงของม่านหมอก แต่เป็นกองอินทร์ที่รู้งานกล่าวเชิญแขก ‘กำนันหมาย’ พ่อกำนันหมู่สิบและผู้ติดตามเดินขึ้นไปยังชั้นสองหลังจากที่ได้รับอนุญาต เสียงสนทนาเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านบนเป็นระยะ “วันนี้ป้อครูไปบำเพียรตบะก่อครับ” “ไป ป้อกำนันมีอะหยังก็อู้มาเตอะ (พ่อกำนันมีอะไรก็พูดมาเถิด)” “ตี๋หมู่บ้านผมอะครับ มันมีคนโดนของดำ เปิ้ลว่าแฮงกันขนาด อยากหื้อป้อครูไปจ้วยดูหื้อจิมครับ (ที่หมู่บ้านผมมีคนโดนของดำ เขาว่าแรงกันมาก อยากให้พ่อครูไปช่วยดูหน่อยครับ) “อาก๋านมันเป็นจะใด (อาการมันเป็นยังไง)” “ผมก่อบ่าฮู้หนา แต่ว่ามันเป็นกันหลายคนเลย บ่าฮู้มันไปยะอะหยังกันมา (ผมก็ไม่รู้ แต่เป็นกันหลายคนเลย ไม่รู้พวกมันไปทำอะไรกันมา)” มีแต่ชาวบ้านมาร้องเรียนอ้อนวอนให้มาขอความช่วยเหลือจากพ่อครู พลัฏฐ์หลับตานั่งสมาธิ เพ่งจิตไปตามคำบอกเล่ามองเห็นแต่ภาพดำขมุกขมัว เป็นพวกของดำตามคำกล่าวจริง ทว่าฤทธิ์ยังอ่อนกำลังมีไม่มากนัก ไม่นานหลังจากลืมตาขึ้นและหยิบของบางอย่างมาไว้บนพานสีทอง “มันยังบ่ามีฤทธิ์นัก เอาตะกรุดอันนี้ไปก้องคอมันห้ามถอดจ๋‍นกว่าจะผ่านวันเสาร์ไป (ฤทธิ์มันไม่มาก เอาตะกรุดไปคล้องคอจนกว่าจะพ้นวันเสาร์ค่อยถอด)” ตะกรุดลงคาถาอาคมถูกส่งมอบให้พ่อกำนัน “แล้วมันจะเป็นหยังก่อครับป้อครู” “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมย้อนกลับมาที่เจ้าตัว” กำนันหมายพยักหน้าตอบโดยไม่ถามอะไรอีก พ่อครูคงรู้อะไรที่พวกเขาไม่รู้ เพราะเป็นศิษย์ตั้งแต่รุ่นปู่ของพ่อครู ไม่มีอะไรที่ตัวเขาและผู้ติดตามจะไม่เชื่อ พลัฏฐ์ไม่อาจไปยุ่งหรือขวางกรรมของใครได้ ผลทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุที่เจ้าตัวกระทำ ย่ามสีดำใส่ของเตรียมพร้อมยื่นให้พ่อครู พลัฏฐ์สวมชุดนุ่งขาวห่มขาวพร้อมสร้อยประคำสีดำที่คล้องคออยู่เป็นประจำ “พวกมึงทำกับข้าวกินกันเลยไม่ต้องเผื่อกู” “พ่อครูไปไหนเหรอจ๊ะ” “ไปบำเพ็ญเพียร” กองอินทร์ตอบคำถามแทน ทุกวันพระใหญ่พ่อครูจะออกไปบำเพ็ญเพียรฝึกจิตและฝึกตนอยู่ภายในถ้ำใกล้น้ำตกท้ายหมู่บ้านเสมอ จะออกแต่เช้าและกลับมาในช่วงเย็น เป็นอันที่ทราบกันดีของชาวบ้านและลูกศิษย์ จึงเป็นเหตุที่กำนันหมายมาพบในยามเช้าตรู่ “ไปดีมาดีนะพ่อครู” คำอวยพรที่ลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งมักจะพูดบ่อย ๆ ส่วนคนตัวเล็กที่มาใหม่ “รีบกลับมานะจ๊ะพ่อครู” คิ้วดกดำขมวดชิด มองใบหน้ารูปไข่ที่ส่งยิ้มทักทาย คำพูดคำจาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรทว่าพลันเกิดความรู้สึกบางอย่าง ก็ไม่ได้ไปไหนไกลทำไมต้องรีบกลับ พ่อครูเดินจากไปได้ไม่นานคำถามที่อยู่ในใจม่านหมอกส่งยิงระรัวออกมาถามผู้เป็นรุ่นพี่ “พี่กอง พ่อครูไปบำเพ็ญเพียรที่ไหนเหรอจ๊ะ” “ที่ถ้ำใกล้น้ำตกท้ายหมู่บ้าน” “มีน้ำตกที่หมู่บ้านด้วยเหรอจ๊ะ โห” เสียงอุทานพลางดวงตาคู่กลมโตเป็นไข่ห่าน คิดอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น กองอินทร์หลุดขำเล็กน้อย คำว่าอยากไปแสดงบนใบหน้าละมุนอย่างชัดเจน “อยากไปอะดิ” “อยากไปจ้ะ ม่านชอบน้ำตก” ครั้งล่าสุดได้ไปเล่นน้ำก็ช่วงมัธยมต้น “วันหลังขอพ่อครูแล้วไปกัน เดี๋ยวข้าจะพาไปโดดน้ำเล่น” ในที่สุดก็มีเพื่อนโดนน้ำสักที “ไปได้จริง ๆ เหรอจ๊ะพี่กอง” “พ่อครูใจดีจะตาย เอ็งก็เอาหน้าหวาน ๆ ของเอ็งออดอ้อนนิดหน่อยก็ยอมใจอ่อนแล้ว พ่อครูน่ะชอบคนสวย” บ้าพี่กองอินทร์พูดอะไรก็ไม่รู้ และตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนสวยขนาดนั้นที่พอจะอ้อนหรือทำให้ใครใจอ่อนได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็คงดี พลัฏฐ์เดินเท้าประมาณสิบนาทีก็มาถึงน้ำตกที่กำลังไหลไม่ขาดสาย มุมเยื้องไปทางซ้ายที่ซ่อนอยู่ภายหลังน้ำตกมีถ้ำที่ชาวบ้านเรียกติดปากกันมานมนานว่า ‘ถ้ำโปร่งแดง’ ตัวถ้ำไม่เล็กและไม่ใหญ่ บรรยากาศรอบกายเงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำที่ตกกระทบพื้นดังก้องไปทั่วให้ความรู้สึกผ่อนคลายและผ่อนปรน ของทุกอย่างวางจัดเรียงไว้ข้างกาย เมื่อถึงเวลาก็เริ่มนั่งท่าขัดสมาธิ ขาไขว้กัน มือวางทับซ้อน กำหนดลมหายใจ การบำเพ็ญเพียรฝึกจิต ไม่ใช่แค่เพียงนั่งสมาธิ แต่คือการฝึกจิตให้รับรู้ทุกช่วงลมหายใจ ต่อสู้กับกิเลส และเอาชนะความอยากในจิตใจ พลัฏฐ์ฝึกจิตและฝึกฝน ตนได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปู่มาตั้งแต่เด็กและยังทำมันเสมอเรื่อยมา พวกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนชอบมาขอส่วนบุญหรือต้องการสื่อสารให้พ่อครูไปแจ้งข่าวกับคนเป็น ส่วนวิญญาณร้ายก็ปรากฏกายเช่นกัน แต่อยู่ได้แค่ด้านหน้าไม่สามารถทะลุเข้ามาด้านในถ้ำได้ “พ่อครูคะ ดิฉันกราบค่ะ” “ดิฉันหิวเหลือเกิน อยากให้พ่อครูช่วยไปบอกให้ลูกสาวฉันทำบุญมาให้หน่อยได้ไหมคะ” จิตหลุดจากกายไปครู่หนึ่ง ขณะลืมตาขึ้นเหล่าวิญญาณดีต่างรายล้อมและนั่งก้มหน้าแสดงความเคารพ ความแกร่งกล้าวิชาที่ไม่ได้ช่วยเหลือเพียงผู้คน ทว่าช่วยเหลือพวกผีที่ต้องการความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน “มีอันใดก็พูดมา วันนี้ข้าจะแผ่ผลกุศลส่วนบุญไปให้” “ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อครู” “เพียงแค่อย่ามารบกวนเวลาทำสมาธิ อยากได้บุญก็ให้อยู่กันอย่างเงียบ ๆ” “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ” การฝึกจิตต้องเริ่มใหม่เมื่อได้รับการรบกวน ไม่มีเวลาเดินทางกลับที่แน่นอน ความพึงพอใจและการตัดสินใจอยู่ที่พลัฏฐ์ทั้งหมด เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ร่างสูงนั่งหลังตรงสง่างามในท่าทำสมาธิยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น ก่อนจะถูกรบกวนจากเจ้ากุมารทองวัยห้าขวบที่ติดตามมาเช่นทุกครั้ง “พ่อรีบกลับนะจ๊ะ” เสียงใสของกุมารทองที่รับจากป่าช้ามาเลี้ยงดังขึ้น “อะไรของมึง อย่ามาขัดขวางยามนี้” “โธ่ หนูก็แค่ส่งข่าวว่ามีคนทำกับข้าวรอพ่ออยู่จ้ะ อิอิ” “พี่กองอินทร์ ปกติพ่อครูจะกลับมากี่โมงเหรอจ๊ะ” “เอ็งนี่ถามเป็นเมียพ่อครูเลยนะไอ้ม่าน” “ปะ เปล่าสักหน่อย ม่านแค่ถามเฉย ๆ” คำว่าเมียฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่แปลกไปในทางที่ดี “ไม่มีเวลาตายตัว แต่เย็น ๆ” “งั้นเราทำอาหารมื้อเย็นรอพ่อครูกันดีไหมจ๊ะ จะได้กลับมาหายเหนื่อย” ม่านหมอกเสนอความคิดเห็น ตัวเขาเริ่มทำงานได้หลายอย่างและหนึ่งในนั้นที่อยากทำคือการทำอาหาร “เอ็งแน่ใจนะว่าทำได้” “ได้สิจ๊ะ แต่อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่กองเล็กน้อย” ถ้าให้ทำคนเดียวมันก็คงได้แค่เมนูง่าย ๆ “ไหนเอ็งอยากทำอะไร” “พ่อครูชอบทานอะไรจ๊ะ” เขาทำได้หมดทั้งนั้น ลูกศิษย์ยายดาเสียอย่าง ได้รับการปลูกฝังเรื่องแม่ศรีเรือนมาตั้งแต่เด็ก ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นแต่พวกอาหารฝรั่งหรอกนะ “พ่อครูชอบอาหารเหนือ พวกน้ำพริก ผักนึ่งงี้” “งั้นทำน้ำพริกปลาดุกต้มกับพวกชุดผักนึ่ง แล้วก็หมูทอดดีไหมจ๊ะ” “เอา เอ็งว่าอะไรดีข้าก็ว่าดี” ลูกมือตอบรับคำขออย่างง่ายดาย กองอินทร์จัดการเก็บผักสวนครัวหลังสำนัก ชำแหละเนื้อปลาเพื่อเตรียมทำน้ำพริกปลา ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนกระทั่ง... “ไหนเอ็งบอกทำเองได้ แล้วใช้ข้าไปทำบาปไปฆ่าปลา” กอง‍อินทร์บ่น‍อุบ “โธ่พี่กองจะให้ม่านไปจับปลา มันคงดิ้นหนีม่านไปก่อน” “ไม่ต้องเลยนะเอ็ง” เสียงตำน้ำพริกย้ำ ๆ เป็นจังหวะ น้ำพริกปลาเป็นเมนูที่ทำได้ง่าย ใช้ปลาดุกต้มสะอาดสองตัว ตำรวมกับพริกหยวกย่าง ตะไคร้ และหอมแดงคั่ว ปรุงรสชาติตามต้องการ เป็นเมนูที่ม่านหมอกชอบมากเพราะยายชอบทำให้ทานอยู่บ่อย ๆ “สีน่ากินอะม่าน หอมฉุยเลย” “คิคิ พี่กองไปนึ่งผักให้ที เดี๋ยวม่านจะทอดหมู” “ได้ทีใช้งานข้าใหญ่เลยนะโว้ย” หมูทอดในน้ำมันสีสวยส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนรับประทานด้วยความเคยชินทำให้ม่านหมอกพอจะคาดการณ์เวลาการทอดได้อย่างแม่นยำ สะเด็ดน้ำมันวางไว้รอให้หายร้อน “ทำกับข้าวเก่งแบบนี้ต่อไปสบายไอ้กองอินทร์คนนี้แล้ว” ‍ที่ผ่านมาเป็นลูกศิษย์สลับกับพ่อครูในการทำกับข้าว ทานได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่มีอาหารจากยายเมืองที่ทำปิ่นโตส่งให้ตลอด อาหารทุกอย่างเตรียมพร้อม ถูกจัดแจงไว้รอพ่อครูกลับมา น้ำพริกผักต้มและหมูทอดจัดวางไว้ตรงกลางรายล้อมไปด้วยผักนึ่งประดับด้วยหน่อไม้ แครอต ผักกาดและข้าวโพดอ่อนหลากสีเรียงราย “หิวแล้วอะม่าน ข้าท้องร้องเลย” ผ่านไปพักใหญ่เสียงฝีเท้าของคนที่สองหนุ่มต่างรอคอยก็กลับมา กองอินทร์รีบเข้าไปเอาย่ามไปเก็บ ดวงตาคมเหลือบไปเห็นดอกจ๋ำป๋าลาวหรือดอกลีลาวดีหรืออีกชื่อคือลั่นทมถูกเก็บกลับมาเต็มถุง สร้างความสงสัยชวนอยากรู้ “มึงเอาของไปเก็บที่เดิม” “ครับพ่อครู” “เดี๋ยว เอาดอกลีลาวดีมาให้กู” พ่อครูไม่ได้สันทัดเรื่องดอกไม้เท่าไหร่ แทบจะไม่เคยเห็นเก็บดอกไม้กลับมา ครั้งหนึ่งตัวเขาเองเคยเด็ดดอกไม้ข้างทาง โดดดุว่าไม่ขอเจ้าที่เจ้าทาง ถึงจะสงสัยแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี เมื่อร่างสูงเพรียวของกองอินทร์พ้นสายตา พลัฏฐ์ตัดสินใจถือดอกจ๋ำป๋าลาวในมือเดินตรงเข้าไปหาคนที่นั่งแกว่งเท้าไปมาบนแคร่ไม้ไผ่อย่างสบายใจ ยามที่เดินผ่านกลุ่มดอกลีลาวดีกลิ่นหอมของมันช่างคล้ายกับกลิ่นของใครบางคน จู่ ๆ ก็เกิดจินตนาการภาพ ถ้าดอกสีขาวนวลสวยนี้ได้แทบทัดหูของม่านหมอกคงจะเหมาะกับเจ้าตัวไม่น้อย ร่างสูงของพลัฏฐ์เดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ไล้สายตามองใบหน้ารูปไข่ด้านข้าง ทั้งละมุนและอ่อนหวาน “พ่อทัดดอกไม้ให้พี่ม่านหมอกสิจ๊ะ คนสวยต้องคู่กับดอกสวย ‍ๆ” ดวงตาสีเข้มถลึงใส่เจ้ากุมารทองไปที แสนรู้และช่างพูดนัก แต่ก็ถูกของมันดอกไม้สวยก็ต้องคู่กับคนสวย คิดได้แบบนั้นมือใหญ่จึงเอื้อมไปหยิบดอกลีลาวดีน้อยใหญ่ที่เก็บมาเข้าไปทัดหูข้างซ้าย “อะ อะไรจ๊ะพี่กอง กลับมาแล้วเหรอ แล้วนี่ดอกอะไร” ผู้ถามหยุดการกระทำค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะดอกไม้ข้างหู ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดม กลิ่นคุ้น ๆ แฮะ “ดอกจ๋ำป๋าลาวหรือเปล่าจ๊ะ” “อืม กูเก็บมาให้มึง คิดว่าน่าจะเหมาะกับมึง” “พะ พ่อครู” ม่านหมอกตกใจมากกว่าเดิม เพราะคิดว่าคนที่นั่งข้าง ๆ คือพี่กองอินทร์ คนหน้าหวานยกมือป้องปากก่อนจะหันไปอีกทาง แล้วคนที่เอาดอกมาทัดหูเมื่อกี้คือ... “ทัดไว้ที่หูข้างซ้ายสิ เหมาะกับมึงดี” “บะ แบบนี้เหรอจ๊ะ” ลีลาวดีดอกสวยกลับไปอยู่ดังที่เดิม คนตัวเล็กหันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้มหวาน สอบถามความคิดเห็น “อืม แบบนั้นแหละ สวยแล้ว” “ขอบคุณนะจ๊ะ” สวยแล้วที่ไม่ได้หมายถึงดอกไม้ แต่หมายถึงเจ้าของที่เข้ากับมันต่างหาก พลัฏฐ์จ้องมองอยู่นานสองนานไม่อาจละสายตานึกในใจว่าคิดถูกที่เก็บติดไม้ติดมือกลับมา ผลพลอยได้คือรอยยิ้มหวานจากเจ้าเด็กตรงหน้า พ่อครูให้ความสนใจกับม่านหมอกจนลืมตัวและไม่ทันได้ระวังตัวว่าถูกลูกศิษย์หมายเลขหนึ่งแอบมอง ความอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดหายไปทันควัน “เก็บมาเพราะแบบนี้นี่เองสินะ” กองอินทร์ทำปากขมุบขมิบ จังหวะที่เดินกลับออกมาเห็นพ่อครูทัดดอกลีลาวดีให้ม่านหมอกพอดิบพอดี อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น แล้วที่อยากจะแหกปากไปมากกว่านั้นคือ พ่อครูทัดไว้ที่หูข้างซ้ายซึ่งคนโบราณเขาบอกว่า ทัดดอกลีลาวดีข้างขวาแปลว่าโสด ส่วนข้างซ้ายแปลว่ามีเจ้าของแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม