รถยนต์สีดำเคลื่อนเข้ามาจอดสนิทในโรงจอดรถ กองอินทร์มองพ่อครูสลับกับเด็กที่เพิ่งซื้อมา เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพาเด็กหนุ่มที่ยังไม่หยุดร้องไห้ไปนั่งสงบจิตสงบใจและปลีกตัวออกมาพูดคุยกับผู้นับถือเป็นครู
“พ่อครู จะซื้อเด็กนั่นจริง ๆ เหรอครับ”
“แล้วมึงคิดว่ายังไง” ศิษย์เอกไม่กล้าแสดงความคิดเห็น วาจาใดที่เปล่งมาจากคำพูดของพ่อครูแล้วถือว่าเป็นอันสิ้นสุด
กองอินทร์ เป็นลูกศิษย์คนเดียวที่ฝากตัวเป็นศิษย์รับใช้พ่อครูมาแต่เด็ก ตากับยายของกองอินทร์เป็นเพื่อนกับปู่ของพลัฏฐ์จึงได้รับการฝากฝังมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งของพ่อครู
“หรือมึงจะให้แม่มันขายเด็กตาบอดเข้าซ่อง”
“เฮ้อ ป้าสายหยุดทำไมถึงทำแบบนี้ก็ไม่รู้”
“เราอย่าไปคิดแทนใคร ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในตัว” แม้เหตุผลนั้นจะดีหรือไม่ดีในทางศีลธรรมก็ตามแต่
ปู่มักจะสอนตั้งแต่เด็กเสมอว่า อย่าตัดสินคนอื่นจากประสบการณ์และความคิดของตน คนเรานั้นต่างแตกต่าง มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป เราเลือกที่จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนก็ได้ และเราก็เลือกที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ถ้าหากเขาต้องการความช่วยเหลือ
ดวงตาเข้มดุทอดมองไปยังม่านหมอกที่เอาแต่สะอื้นไห้จนไหล่สั่น มือไม้ปาดน้ำตาพยายามกักเก็บเสียงไว้สุดฤทธิ์ ยามที่พิจารณาใบหน้าหวานละมุนนั่นอย่างถ้วนถี่ พลัฏฐ์รู้สึกบางอย่างที่จับต้องไม่ได้รอบตัวของม่านหมอก บางครั้งเบาหวิวจนไม่รู้สึก บางคราก็หนักอึ้งจนคลุ้งไปในอากาศ
“ร้องมาให้พอ แล้วต่อไปก็ไม่ต้องร้อง”
“พะ พ่อครูเหรอจ๊ะ” เสียงพ่อครูชั่งทุ้มละมุนหูเหลือเกิน
“ใช่ กูเอง”
“ม่านขอบคุณพ่อครูมากนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้พ่อครู...” คนพูดรีบลุกจากแคร่ไม้ไผ่ คาดคะเนระยะทางและทิศทางของเสียง พยุงร่างเล็ก ๆ เดินเข้าไปใกล้และย่อตัวลงประกบมือสองข้างพนม
“ม่านคงต้องอยู่ในซ่องนั้นจริง ๆ”
“กูไม่ได้ซื้อมึงมาฟรี ๆ อยู่ที่นี่ต้องทำงานแลก มีที่พักฟรี มีข้าวให้กิน แต่มึงต้องทำงาน จะเอาเปรียบคนอื่นไม่ได้” ใบหน้าหล่อคม หลุบตามองอีกฝ่ายที่ตัวเล็กเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน
“มะ ม่าน ทำได้หมดเลยจ้ะ กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า หรือทำกับข้าวม่านก็ทำได้จ้ะ พ่อครู” คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเข้าหากัน ไม่แปลกใจนักที่ลูกชาวบ้านจะทำได้หลายอย่าง ทว่าทำกับข้าว ครอบครัวของเด็กนี่ประมาทเกินไป คนที่มองไม่เห็นอยู่ใกล้ของมีคม
อันตราย
“ม่านทำกับข้าวได้จริง ๆ นะจ๊ะพ่อครู ถ้าพ่อครูไม่เชื่อ ม่านทำให้ดูตอนนี้ก็ได้”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูสงสัยเรื่องนั้น” พูดราวกับตาเห็น
“ก็แค่จากความรู้สึกจ้ะ และม่านก็ทำกับข้าวเก่งด้วยนะจ๊ะ”
“มึงไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น แค่ทำตามให้ได้อย่างที่มึงพูดก็พอ”
ม่านหมอกพยักหน้าตอบรับ คิดว่าบุญที่สั่งสมมาคงส่งผลให้ได้มาอยู่กับพ่อครู ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพ่อครูพอสมควร ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาอยู่ใต้อาณัติด้วยตนเอง
“อยู่ที่นี่ต้องเคารพกฎ กูและกองอินทร์พูดหรือสั่งอะไรก็ควรทำ จะได้อยู่รอดปลอดภัย” น้ำเสียงจริงจังบอกผ่านความเรียบเฉย ภัยอันตรายที่มองไม่เห็นมีอยู่รอบตัว แต่ตราบใดที่ยังอยู่ในเขตแดนที่กำหนดจะปลอดภัยและไม่มีใครมาทำอะไรได้
“ม่านไม่ดื้อจ้ะ จะเชื่อฟังทุกอย่างเลย”
ไม่ดื้องั้นเหรอ... คำพูดดูเด็กเสียจริง
“เข้าใจแล้วก็ดี กองอินทร์ไปจัดหาห้องหับให้มัน”
“ครับพ่อครู”
กองอินทร์ค่อย ๆ เดินนำทางอย่างเชื่องช้า หันมามองผู้มาใหม่เป็นระยะเพื่อให้ตามทัน
เรือนทรงไทยไม้สัก ชั้นล่างมีห้องนอนที่ยังว่างอยู่หนึ่งห้อง เนื่องจากกองอินทร์จะคอยทำความสะอาดทุกวี่วัน เป็นที่พักให้แขกยามที่มาเยี่ยมเยียนพ่อครู ห้องนอนจึงสะอาดสะอ้านและไม่ต้องจัดเตรียมอันใดให้มาก
“ชื่อม่านหมอกใช่ไหม เอ็งนอนห้องนี้”
“ใช่จ้ะ แล้ว...”
“ข้าชื่อกองอินทร์ อายุ 25 เป็นลูกศิษย์ของพ่อครู” รุ่นพี่เอ่ยแนะนำตัว มองขาดแต่แรกว่าม่านหมอกคงอายุน้อยกว่า
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ พี่กองอินทร์”
“โดนเรียกว่าพี่แล้วข้ารู้สึกแก่เลย ไม่มีใครเรียกข้าว่าพี่เลยนอกจาก...” กองอินทร์เว้นจังหวะท้ายประโยค ก่อนจะละไว้ไม่พูดออกไป
“นอกจากอะไรเหรอจ๊ะพี่”
“ไม่มีอะไร” ก็นอกจาก พลูทอง กุมารทองแสนรู้วัยห้าขวบที่กำลังแอบหัวเราะ ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่น่ะสิ
“เข้าห้องเถอะ วันนี้พ่อครูให้เอ็งพักผ่อน” รุ่นพี่รู้สึกสงสารจับใจ ตัวก็แค่นี้ ตาก็มองไม่เห็น ซ้ำยังเจอแม่ใจร้ายเอามาขาย เวรกรรมอะไรถึงทำกับคนอ่อนวัยเช่นนี้ได้ ทว่าโชคดีของม่านหมอกแล้วที่เจอพ่อครู
“ขอบคุณนะจ๊ะ”
ขาเรียวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง จากความรู้สึกคล้ายว่าพื้นที่ของห้องกว้างขวาง ตั้งแต่ตาบอดเด็กหนุ่มเรียนรู้การคาดเดา คาดคะเนจากเสียงและการสัมผัส ครั้งนี้ก็เช่นกัน
กองอินทร์อธิบายตำแหน่งในห้องอย่างละเอียดเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้ร่างเล็กเป็นที่สุด สมองน้อย ๆ ค่อย ๆ คิดภาพตามและจินตนาการจดจำรายละเอียดจากคำบอกเล่า ห้องนี้คงสวยน่าดู
“ห้องด้านบนตำแหน่งเดียวกับมึงเป็นห้องพ่อครู”
“แล้วพี่กองอินทร์นอนที่ไหนเหรอจ๊ะ”
“ห้องด้านบนปีกขวา”
“เข้าใจแล้วจ้ะ” บ้านหลังนี้มีสองชั้นสินะ
“พรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งเดินดูรอบ ๆ สำนัก วันนี้พักผ่อนแล้วก็อย่าคิดมากล่ะ เอ็งหลุดพ้นเรื่องแย่ ๆ พวกนั้นแล้ว”
“ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะ”
“คนที่เอ็งควรขอบใจควรเป็นพ่อครูมากกว่า พ่อครูน่ะ ทั้งใจดีและมีเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง”
พี่กองอินทร์ขอตัวไปพักผ่อน ม่านหมอกนั่งอยู่ปลายเตียง ข้างกันเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก เสื้อผ้าที่เอามาก็มีไม่กี่ชุด คงต้องเวียนใส่ซ้ำไปก่อน
ร่างเล็กเริ่มเดินสำรวจทั่วห้อง คลำหาสิ่งของที่พอจะบอกตำแหน่งของแต่ละจุดได้ การย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ต้องอาศัยเวลาในการคุ้นชิน โชคดีแค่ไหนที่วันนี้มีที่ซุกหัวนอนไม่ต้องไปนอนในซ่องนั่น ไม่อยากจะคิดและจินตนาการถ้าไม่ได้พ่อครูเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร
อย่างน้อยก็ยังมีแสงสว่างโผล่พ้นในความมืด
แสงแรกของวันสาดทอลอดผ่านบานหน้าต่างลายไม้ที่ถูกเปิดไว้ทั้งคืนเข้ามา แสงแดดอุ่น ๆ กระทบเข้ากับผิวขาวน้ำนม รับรู้ถึงช่วงเวลายามเช้าจากสัมผัส
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านหมอกเสร็จสิ้นภารกิจทำความสะอาดร่างกายในยามเช้า ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงเอ่ยทักทายของกองอินทร์
“เช้าแล้วม่าน ไปเดินออกกำลังกายยามเช้ากัน”
“ต้องออกกำลังกายด้วยเหรอจ๊ะพี่กอง” ครั้งแรกกองอินทร์ก็ไม่ได้ชอบ เขาชื่นชอบการตื่นสายเหมือนเด็กทั่วไปแต่เป็นความต้องการของพ่อครู
“ใช่ ไปเดินเล่นรับลมยามเช้า ร่างกายจะได้แข็งแรงไง”
คนถูกชวนเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อยทว่าเดินตามไปอย่างไม่ถกถาม สายลมบาง ๆ คลอเคลียไปกับแสงแดดอ่อน ๆ นัยน์ตาสีพลอยไพลินหลับพริ้มสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด
“พี่กอง กี่โมงแล้วจ๊ะ”
“หกครึ่งแล้ว มีอะไรหรือเปล่าม่าน”
“พระอาทิตย์ขึ้นหรือยังจ๊ะ มันคงจะสวยน่าดู” ใบหน้าขาวมองไปเบื้องหน้าราวกับฉุกคิดอะไรบางอย่าง จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มองเห็นท้องฟ้าสีสวยยามตะวันทอแสงโผล่พ้นดอยสูงคือเมื่อไหร่ อยากมีโอกาสเห็นมันอีกครั้งจัง
ถึงรู้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม...
“อืม พระอาทิตย์กำลังขึ้นทางทิศตะวันออกแหละม่าน ที่เรายืนอยู่นี่มองเห็นเต็มตาเลยนะ ตอนนี้มันกำลังฉายแสงสีส้มอ่อน ๆ ออกมา เหมาะกับการรับวิตามินดีมาก”
“โห พี่กองอธิบายละเอียดมากเลย ขอบคุณจ้ะ” ม่านหมอกใจฟูขึ้นมา ไม่เคยมีใครบอกเล่าเรื่องราวหรือภาพต่าง ๆ ให้เลยนับตั้งแต่นั้นมา ยามที่ถามแม่ก็ได้รับคำตอบแค่เพียง
‘มึงจะถามทำไม ถามไปก็มองไม่เห็น’
“ข้าอธิบายไม่ละเอียดหรอก ต้องให้พ่อครู คนนั้นละเอียดยิบ”
“มึงให้มันเบา ๆ หน่อยไอ้กอง” ลูกศิษย์ตกใจเสียงทุ้มต่ำทางด้านหลัง พ่อครูมาไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง เขารีบวิ่งไปหลบหลังม่านหมอกกลัวจะโดนเขกกบาลเอาได้
“พ่อครูมาตอนไหนอะ แวบไปแวบมาเหมือนผี”
“ม่านขอข้าหลบหน่อย ข้าจะโดนทำร้าย”
“อย่าให้มันมากนักนะไอ้กอง” เจ้าบทเจ้าบาทเสียไม่มีใครเกิน
บัดนี้สำนักแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังไปทั่วไป ดูเหมือนจะมีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม แค่กองอินทร์ก็ปวดหัวมากพอแล้ว มีม่านหมอกเพิ่มมาอีกคน แต่คงไม่เกินความสามารถผู้ใหญ่แบบพลัฏฐ์
วันนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นการแนะนำอาณาเขตรอบสำนักกองอินทร์พาม่านหมอกเดินโดยรอบ
ด้านหลังเป็นสวนครัวขนาดย่อม ด้านข้างเป็นห้องครัว ด้านหน้าเป็นลานกว้างปลูกดอกไม้ต่าง ๆ และด้านบนชั้นสองเป็นที่ทำพิธี
ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสำนักของพ่อครูนั้นมีอาณาเขตสิ้นสุดตรงไหน แต่เด็กหนุ่มกลับชอบที่นี่อย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แถมชอบเสียอีกที่มีเพื่อนใหม่เป็นรุ่นพี่แบบพี่กองอินทร์
“ม่านจะพยายามจดจำพื้นที่นะจ๊ะ จะได้ช่วยงานพ่อครูและพี่กองได้”
“เอ็งไม่ต้องรีบหรอกม่าน พ่อครูใจดีจะตาย เนอะพ่อครู” หน้าตาทะเล้นหันกลับไปขอคำตอบ แต่โดนสายตาดุ ๆ คาดโทษส่งกลับมา
กองอินทร์นึกไอเดียบางอย่างออก พื้นที่เรียบและโล่งม่านหมอกน่าจะเดินได้สบาย ๆ ทว่าการขึ้นลงบ้านสองชั้นคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จะไม่ให้ขึ้นมาข้างบนเลยก็ไม่ได้
“ม่านงั้นเราฝึกเดินขึ้นบันไดกันไหม จะได้ชิน” ความคิดหนึ่งถูกเสนอออกมา
“ได้จ้ะ” เด็กนี่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรืออย่างไร เดินทั้งวันแล้วยังเดินได้อีก
ขาเรียวเล็กก้าวขึ้นลงบันไดเก้าขั้นและคาดคะเนระยะความยาวและความกว้าง บันไดไม้สักโดยปกติจะมีความลื่นและมัน
ม่านหมอกต้องอาศัยการชิดขวาเพื่อจับราวบันได ทำแบบนั้นอยู่กี่รอบมิรู้กี่รอบ คนหนึ่งบ้าจี้อีกคนก็ยอมทำตามโดยไม่อิดออด พลัฏฐ์มองอยู่อย่างนั้นไม่ได้คิดจะขัดหรือสั่งกล่าว
ในขณะที่ม่านหมอกก้าวด้วยความระมัดระวังทุกย่างก้าวจังหวะที่กำลังจะก้าวลงมาที่บันไดขั้นสุดท้ายกลับสะดุดเท้าตัวเองและถลาล้มลงอย่างจัง
“เฮ้ย ม่าน!!!” เสียงตะโกนตกใจดังลั่น กองอินทร์อยู่ไกลเกินเอื้อม อีกฝ่ายก้าวไปอย่างไรก็คว้าไม่ทัน
“อะ!!!”
คนตัวเล็กหลับตาแน่นรู้สึกเหมือนร่างกำลังล้มลงด้วยความเร็วทว่าวินาทีที่กระแทกเข้ากับแผงอกแกร่ง กลับไม่รู้สึกเจ็บหรือได้รับบาดเจ็บ
“พี่กองอินทร์เหรอจ๊ะ พี่กองรับม่านไว้เหรอจ๊ะ”
“กูเอง” เสียงนี่มัน...
“พะ พ่อครู” ร่างบางเงยหน้ามองพลัฏฐ์อย่างใจหายวาบ ถึงแม้มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ พ่อครูน่าจะเป็นคนรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ม่านหมอกรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่มาจากแผงอกนี้ พาลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมา
“ขะ ขอบคุณนะจ๊ะพ่อครู”
“อืม ระวังด้วย”
ด้านกองอินทร์ที่ยืนมองเหตุการณ์ไม่รู้จะตกใจอันไหนก่อนระหว่างม่านหมอกสะดุดบันไดกับภาพพ่อครูกอดเด็กม่านจนจมอกแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
โอ๊ย อย่าคิดไปไกลไอ้กอง โชคดีที่น้องมันไม่ได้รับบาดเจ็บ
“งะ งั้นม่านขอตัวก่อนนะจ๊ะ” น้ำเสียงละล่ำละลักพูดติดขัดทำตัวไม่ถูก พ่อครูก็ยังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระจากอ้อมกอด จนอีกฝ่ายรีบขืนตัวออกมา
“ม่านขอเข้าห้องแป๊ปหนึ่งนะจ๊ะ” พูดจบก็เดินจากไป
“เดี๋ยวข้าไปส่งม่าน”
“เดี๋ยวมึงไอ้กอง” เสียงเรียกส่งผลให้กองอินทร์หยุดชะงัก หมุนตัวกลับมาแทบจะไม่ทัน
“แฮะ ๆ มีอะไรเหรอจ๊ะพ่อครู” กองอินทร์หัวเราะกลบเกลื่อน กลัวจะโดนหมายหัว จากความผิดที่เชียร์น้องม่านให้เดินไม่หยุด เพราะความหวังดีอยากจะให้ชินโดยไว แต่กลับลืมคิดถึงความปลอดภัยไปชั่วขณะ
“มึงไปหาซื้อราวที่กันบันไดมา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ม่านหมอก” ราวจับมันไม่มั่นคงตั้งแต่แรก จะเปลี่ยนหลายทีแต่ยังไม่มีโอกาส ครั้งนี้ก็รวบยอดไปเลยทีเดียว
“พะ พ่อครูว่าไงนะจ๊ะ”
“กูสั่งให้มึงไปซื้อราวบันได หูตึงหรือไง”
“ดะ ได้ตามคำบัญชาครับผม”
“อืม แล้วก็ไม้ช่วยนำทางคนตาบอดด้วย”
พลัฏฐ์สั่งลูกศิษย์ซื้อของสองอย่าง สงสารเด็กนั่น ไม่อยากจะให้บาดเจ็บหรือหัวร้างข้างแตก เดี๋ยวจะว่าเขาดูแลไม่ดีเอาได้