“มึงมันตัวเฮงซวย พ่อครูที่ใจดียังไม่อยากจะซื้อสภาพน่าเวทนาของมึง” ใคร ๆ ก็ลือกันว่า พ่อครูพลัฏฐ์ช่วยเหลือชาวบ้าน ลูกศิษย์ลูกหา ปลดหนี้หมดเคราะห์หมดโศกกันไปไม่รู้กี่ราย สายหยุดก็หวังจะเป็นหนึ่งในนั้น ไม่คิดว่าพ่อครูจะปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไร้เยื่อใย
“มึงน่าจะตาย ๆ ตาม ยายมึงไป”
“มะ แม่ อย่าขายม่านเลยได้ไหมจ๊ะ” เสียงเล็กสะอึกกอดขาขอร้องผู้เป็นแม่
“ไปให้พ้นหน้ากู วันนี้มึงไม่ต้องแดกข้าว เปลืองข้าวสุก”
เสียงจานพลาสติกหล่นลงพื้นและเม็ดข้าวที่กระเด็นมาโดนขาด้านหลัง ร่างเล็กทรุดฮวบไปกับพื้นฝุ่น ตามตัวเลอะเปื้อนเปรอะไปหมด หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลรินลงสองแก้ม ชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิตของตน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเลือกทางเดิน
ม่านหมอกไม่ได้ตาบอดตั้งแต่กำเนิด มีชีวิตเหมือนกับเด็กบ้านนอกคนอื่นทั่ว ๆ ไป เด็กหนุ่มอาศัยอยู่กับยายอีกหมู่บ้านหนึ่ง ห่างไกลจากที่นี่ไปหลายสิบกว่ากิโล หลังจากที่แม่ให้กำเนิดเขาก็ไม่เคยกลับมาแยแสหรือดูแลแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่ง....
ม่านหมอกอายุครบ ๑๘ ปี
นัยน์ตาสีพลอยไพลินคู่สวยที่เคยสว่างสดใสพลันมืดสนิทตลอดกาล
ด้วยไสยเวทอวิชชา
ความคิด ความฝัน รวมทั้งความรู้สึกทั้งหมดถูกฉุดลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัวราวกับดำดิ่งในห้วงความมืด ไม่ใช่แค่เพียงสูญเสียดวงตาทั้งสองข้าง ทว่ายายที่เป็นผู้นำทางและชี้ทางสว่าง เป็นทุกอย่างของคนตัวเล็ก ๆ คนนี้ก็พลันตายจากไปในเหตุการณ์นั้น
อยากลืมตาตื่นและพบว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน กระนั้นมันก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี ไม่อาจหลอกตัวเองในสิ่งที่เผชิญอยู่ได้เลย
หลังจากที่ยายเสีย ม่านหมอกจำเป็นต้องย้ายกลับมาอยู่กับแม่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากในเมือง การปรับตัวในช่วงแรกค่อนข้างยากลำบาก คนที่เคยมองเห็นทุกอย่างแต่วันหนึ่งกลับเห็นเพียงความมืด ยากที่จะทำใจได้ ทำได้เพียงยอมและเข้าใจว่าเป็นวัฏจักรชีวิตของมนุษย์
เด็กหนุ่มในวัยสิบแปดปีที่เคยสดใสราวกับพระอาทิตย์ส่องแสง ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเซื่องซึม เหี่ยวเฉา และกลายเป็นม่านหมอกที่มืดมนไร้สีสันในที่สุดในวัยยี่สิบสอง
เขาพยายามจะทำอะไรด้วยตัวเอง เรียนรู้การใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งแสงสว่างและการมองเห็น คราแรกกลับไม่ชินแต่นานวันเข้าสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตร่วมกับมันได้
“ตาบอดแล้วยังไม่เจียม เป็นภาระกูจริง ๆ”
“เฮงซวย ตาบอดก็น่าจะตาย ๆ ตามยายมึงไปซะ”
“มึงไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกู”
คำพูดเหยียบย่ำหัวใจของผู้เป็นแม่ที่ม่านหมอกได้ยินได้ฟังทุกวัน พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดี พยายามช่วยเหลือในสิ่งที่ทำได้ พยายามจะไม่เป็นภาระให้ใคร
ถึงแบบนั้นก็ยังถูกมองว่าเป็นภาระ
สายหยุดจงเกลียดจงชังลูกชายราวกับไม่ใช่ลูกในไส้ ไล่ให้ไปตายทุกวัน บางวันถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีเสมือนม่านหมอกเป็นหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึก เจ็บไม่ได้และร้องไห้ไม่เป็น
เพราะดวงตาที่บอดมืด เพราะม่านตาบอดใช่ไหม แม่ถึงได้ดุด่าและไล่ลูกคนนี้เหมือนหมูเหมือนหมา จะมีสักวันหนึ่งไหมที่ม่านหมอกจะได้รับความรักที่ดีอย่างสุดหัวใจ
ม่านคิดถึงยายจัง
มือเรียวสวยปาดน้ำตาเดินไปหาไม้กวาดเพื่อทำความสะอาดมื้ออาหารที่แม่โยนทิ้ง ก่อนเสียงแหลมจะดังลงมาจากด้านบน
“พรุ่งนี้มึงเตรียมตัวให้ดี กูมีวิธีหาเงินจากมึง”
“มะ แม่จะให้ม่านทำอะไรจ๊ะ”
“แล้วสภาพแบบมึงมันทำอะไรได้ล่ะ อีม่านหมอก”
เบาะรถโดยสารสีฟ้าคันเล็กถูกจับจองเต็มแน่นทุกพื้นที่ เพราะเป็นรถโดยสารคันเดียวประจำหมู่บ้านที่วิ่งรับผู้คนตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อไปส่งในตัวอำเภอและกลับมาในช่วงเย็น เนื่องจากมีเพียงสองเที่ยวต่อวันเท่านั้นส่งผลให้ต้องแบ่งที่นั่งเพื่อโดยสารคนให้ได้มากที่สุด
ถนนหนทางตามชนบทที่ห่างไกลตัวอำเภอและตัวเมืองต่างไม่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมให้ดีขึ้น ตลอดทางเป็นทางลูกรังสลับกับทางลาดยาง บางช่วงจังหวะก็ต้องถือกระเป๋าเสื้อผ้าในมือไว้ให้แน่นและมืออีกข้างควานหาที่จับยึดเกาะเพื่อไม่ให้ตัวไถลหลุดออกไปจากเบาะ
“สายหยุดวันนี้จะปาม่านหมอกไปตางใดนิ มาเจ้าแต้เจ้าว่า (สายหยุดวันนี้จะพาม่านหมอกไปไหน มาเช้าจังเลยนะ)” เสียงคุณป้าร่วมรถถามขึ้นเพื่อทักทาย
“ไปอำเภอจ้ะป้า ว่าจะพาไปเปิดหูเปิดตานิดหน่อย” คำโกหกคำโตถูกพ่นออกไป ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะไปไหนและไปทำไม ตาก็บอดจะเอาอะไรมาเปิดหูเปิดตา
“ดีแล้ว บ่าได้ปะกั๋นจ๊าดเมิน ม่านหมอกใหญ่เร็วขนาด หน้างามขนาดเน้อลูก (ดีแล้ว ไม่ได้เจอกันนาน ม่านหมอกโตเร็วมาก หน้าก็สวยมากด้วยนะลูก)”
“ขอบคุณจ้ะป้า” ยิ้มเล็ก ๆ คลี่บาง ๆ ตรงมุมปาก นานแล้วนะที่ไม่ได้มีใครชม
“มีแฟนแล้วก้าลูก (มีแฟนแล้วหรือยัง)”
“โอ๊ยป้า ตาบอดแบบมันใครจะไปเอา” ก่อนจะได้ตอบคำถาม ผู้เป็นแม่แทรกขึ้นมาทันควัน ยิ้มน้อย ๆ หุบกลับลงไปดังเดิม
คนตาบอดห้ามมีความรักงั้นเหรอ? นั่นน่ะสิ ใครมันจะอยากจะมาดูแลคนพิการ ไปที่ไหนก็มีแต่คนเรียกว่า ‘ตัวภาระ’
“ไปอู้จะอั้นได้ย๋างใด ถ้ามีคนมาจีบก่อเลือกดี ๆ เด้อลูกเด้อ (พูดแบบนั้นได้ยังไง ถ้ามีคนมาจีบเลือกให้ดีนะลูก)”
“ครับป้า”
บทสนทนาระหว่างกันของผู้โดยสารดำเนินต่อไป ลมเย็นสบายพัดปลิวพลิ้วไหวเข้ามา มองลอดหน้าต่างเห็นป่าไม้และทุ่งหญ้าเขียวขจียาวสุดลูกหูลูกตา
รถโดยสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานกลางไปอย่างเชื่องช้า เคลื่อนตัวผ่านขึ้นลงเนินชันน้อยใหญ่
เพราะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงไม่สามารถบังคับเร่งจังหวะความเร็วของเครื่องยนต์ได้ โชคดีที่คนขับชินและชำนาญทางทำให้สบายใจหายห่วง
ในที่สุดรถก็เคลื่อนเข้ามาจอดสนิทยังสถานีขนส่งผู้โดยสารในตัวอำเภอ เสียงรอบข้างวุ่นวายและจอแจ ม่านหมอกรู้สึกวูบหวิวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะเท่าไหร่นัก
“เราจะไปไหนกันเหรอจ๊ะแม่”
“มึงไม่ได้มีหน้าที่ถาม มึงแค่ถือกระเป๋าผ้าและเดินตามกูมา”
แม้แต่มือก็ไม่อยากจะจับ สายหยุดจับปลายไม้เท้าผู้พิการทางสายตาและเดินนำโดยไม่หยุดชะลอหรือหันกลับมามอง
ม่านหมอกไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้เป็นแม่จะพาไปที่ใด เด็กหนุ่มได้แต่เดินตามไปเงียบ ๆ ระหว่างทางทุกย่างก้าวที่ก้าวเดินมักจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาส่งมาเป็นระยะ
“นี่มันละอ่อนตี่เปิ้ลว่าโดนคำสาปแม่นก่อ (นี่มันเด็กที่บอกว่าโดนคำสาปใช่หรือเปล่า)”
“ต๋าบอดแต้ ๆ กะอิ เหมือนตี่เปิ้ลเล่ากันทึด ๆ (ตาบอดจริง ๆ เหรอแบบที่เขาเล่ากันให้แซด)”
“นึกว่าจะต๋ายไปกับอุ้ยมันหั้นเนอะ (นึกว่าจะตายไปพร้อมยายแล้วซะอีก)”
พยายามแสร้งทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง คนทุกคนมีปาก คนมีปากจะพูดอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีปากจะพูดเรื่องที่ดีได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรเก็บมาใส่ใจ
ฝีเท้าค่อย ๆ ชะลอตัวลง ก่อนจะหยุดหน้าตึกอาคารพาณิชย์หลังใหญ่ ประตูมืดทึบและทางเข้าดูลึกลับ
ทันทีที่ประตูเปิดออกม่านหมอกสัมผัสได้ถึงไอเย็นกระทบผิวและความรู้สึกบางอย่างที่รู้สึกไม่ปลอดภัยแล่นเข้ามาภายในอก
“เจ๊ฉันเอามามันมาส่ง เอาเงินมาได้ละ”
หญิงปากแดงที่ถูกเรียกว่าเจ๊ ไล่สำรวจใบหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กนี่หน้าตาดีใช้ได้ ใบหน้ารูปไข่ ละมุนสวยหวานราวกับไม่ใช่ผู้ชาย คิ้วเรียงเส้นเรียวสวย ดวงตาสีพลอยไพลินเปล่งประกายชวนน่าดึงดูด ปากกระจับรูปหัวใจสีสด ผิวขาวเนียนละเอียดยิ่งกว่าน้ำนม
“สวยดีนี่ ไม่น่าตาบอด” หญิงแก่จับลาดไหล่งามหมุนตัวเด็กหนุ่มไปมาราวกับดูสินค้าที่จะซื้อ
“พวกเสี่ยแก่ ๆ มันชอบแบบนี้นัก”
“มะ แม่ ที่นี่ ที่ไหนจ๊ะ” น้ำเสียงสั่นเครือคาดเดาความหมายจากบทสนทนา อีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อว่าแม่จะทำแบบนี้กับเขาจริง ๆ
“ไหน ๆ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายละ กูจะบอกบุญมึงให้นะ กูเอามึงมาขายซ่องไงล่ะ ตาบอดแต่อย่างอื่นก็ใช้การได้ เหมาะกับคนแบบมึงที่สุดแล้ว”
“ไม่นะจ๊ะแม่ อย่าขายม่านเลย” ม่านหมอกทรุดตัวลง ไม้ช่วยพยุงหล่นหายไปจากมือ เด็กหนุ่มหมายจะเข้าไปกอดขาผู้เป็นแม่ แต่ถูกสายหยุดสะบัดขาเตะเต็มแรงจนหน้าไถลไปกับพื้น รอยถลอกสีแดงสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว
“น่าสมเพช ฮึ”
ม่านหมอกไม่ละความพยายาม เสียงสะอื้นพร้อมกับเข่าที่คลานไปข้างหน้า มือเรียวเล็กควานคว้าอากาศหวังจะเหนี่ยวรั้งผู้เป็นแม่เอาไว้
พนักงานในร้านมุงดูเหตุการณ์เบื้องหน้า บ้างก็กลั้นหัวเราะ บ้างก็มองด้วยสายตาสงสารและเวทนา
“เจ๊ให้ผมเอาตัวไอ้บอดไปเลยไหมครับ”
“ไม่ต้อง ปล่อยมัน ดูสิจะแน่แค่ไหน”
“เจ๊ รีบจ่ายตังมาได้ละ ผัวฉันรออยู่” สายหยุดเร่งเร้าเอาเงิน เหตุผลคือผัวเด็กที่รออยู่ด้านนอก ขายลูกตาบอดได้ทั้งเงิน แถมได้สลัดภาระ เงินฟรีเอาไปเสวยสุขมีใครจะไม่ชอบ
เงินจำนวนหนึ่งยื่นให้ทั้งก้อน นัยน์ตาฉายแววละโมบโลภมากอย่างปกปิดไม่อยู่ สายหยุดรับเงินมาก่อนจะเดินจากไป ไม่ได้สนใจม่านหมอกที่ยังพยายามเหนี่ยวรั้งขาตนแม้แต่น้อย
“ปล่อยกูสิวะ อีม่าน ให้กูไปสักที”
“แม่ ไม่นะจ๊ะ แม่อย่าทิ้งม่านไป”
ท่าทีเฉยเมยราวกับไม่ใช่ลูกในไส้ สายหยุดก้าวเดินมุ่งไปที่ประตู ร่างเล็กถูกลากไปตามทางจนพ้นหน้าประตูสีทึบบานใหญ่ บาดแผลต่าง ๆ ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้แม้แต่น้อย แต่การกระทำต่างหากที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
เสียงฮือฮาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ให้ความสนใจ เสียงกระซิบกระซาบจากทั่วสารทิศ คนเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์เอะอะเสียงดัง
“อีนี่ กูบอกให้มึงปล่อย”
“มะ แม่ อย่านะจ๊ะ” น้ำเสียงสั่นเทาขอร้องและทำทุกวิถีทาง เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไม่อาจรั้งผู้เป็นแม่เอาไว้ได้ สายหยุดสะบัดอีกครั้งเป็นผลให้ม่านหมอกหน้าไถลไปกับพื้นเป็นครั้งที่สอง
“ทำอะไรกัน”
“ปะ ป้อครู”
ไทยมุงแตกตื่นไปกันคนละทิศละทาง ผู้คนต่างรีบก้มคุกเข่าลงพนมสองมือแนบกลางอกเมื่อกายของผู้ทรงวิชาอาคมปรากฏ
“พ่อครูถามว่าทำอะไรกัน ป้าสายหยุดบ่าได้ยินกะ” สำเนียงพูดภาษาเหนือผสมกลางของกองอินทร์ดังตามขึ้นมา
พ่อครูเดินเข้ามาใกล้ ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือส่งเสียง สายหยุดสีหน้าซีดเผือดยกมือพนมแสดงความเคารพไม่ต่างจากคนอื่น
แวบหนึ่งที่นัยน์ตาสีนิลกาฬพิศไปมองร่างเล็กที่นอนร้องไห้สะอื้นอยู่กับพื้น ความสงสารเริ่มก่อตัว สัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะเปล่งวาจาที่ทำให้สายหยุดแทบหยุดลืมหายใจ
“ขายเด็กนี่ให้ฉัน แล้วเอาเงินไปคืนเจ้าของซะ”
“พะ พ่อครู รู้ได้ยังไงจ๊ะ คือ ฉัน”
“กูจะซื้อมันไว้เอง”