EP1 - คืนวันลอยอังคาร

2463 คำ
1 - คืนวันลอยอังคาร ปัง ๆ ๆ เปรี้ยง ตู้ม!! เสียงบรรยากาศความรื่นรมย์หนึ่งปีจะวนกลับมาหนึ่งครั้ง เรียกได้ว่าความสนุกสนานในช่วงเดือนพฤศจิกายนจะเป็นเวลาของการคืนความสุขให้พระแม่คงคา การรักษาน้ำและขอบคุณที่มอบของสิ่งนี้ให้มนุษย์ตามความเชื่อตั้งแต่โบราณมา ทั้งที่จริงน้ำเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น แต่ประเพณีและความเชื่อเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หนึ่งปีจะมีหนึ่งครั้งกับเสียงพลุไฟ เสียงผู้คนครื้นเครงปล่อยโคมลอยและกระทงเป็นการอธิษฐานตามประเพณีสืบต่อมาช้านาน “รอนานไหม ขอโทษนะ เท็มเป้มันแต่งตัวช้า” บรรยากาศของงานถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น เวลาหกโมงเย็นท้องฟ้าช่วงฤดูหนาวมืดไวจนเห็นความโรแมนติกผ่านแสงไฟบนตึกอาคารและท้องถนนเริ่มสว่างไสวจนสร้างบรรยากาศได้ดี ผู้คนต่างมาร่วมงานด้วยความรื่นรมย์รวมถึงพวกเขาเหล่านี้ กลุ่มวัยรุ่นวัยบรรลุนิติภาวะในปีนี้พอดี พวกเขากำลังรอเพื่อนมาร่วมงานกัน เสียงของชายตัวผอมโบกมือส่งสัญญาณให้เห็นว่ากำลังเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว “สำหรับไวน์หวาน นานแค่ไหนก็เท่ากับหนึ่งนาทีของเราอยู่แล้ว” ผมชื่อ ‘ราง’ ที่สามารถหมายถึงทางให้รถไฟวิ่งเพื่อไปจุดหมายตามทางบนโลกใบนี้ ผมเป็นผู้ชายหน้าเห่ยออกแบดบอยทำผมสีน้ำตาลแดงดูเป็นผู้ชายที่ฉีกกฎแฟชั่นได้พอประมาณ ผมมีแฟนคนหนึ่งเป็นผู้ชายตัวผอมเสียงหวานน่ารักอย่างไวน์หวาน ชื่อผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย เขาน่ารักและนิสัยดีจนผมตกลงคบกับเขา วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษที่ผมอยากมอบให้เขาและเพื่อนทุกคนของผมและเขา ผมยืนรอไวน์หวานที่ซุ้มประตูตกแต่งใบตองและใบจากหลากสีสัน ขึ้นป้ายต้อนรับวันลอยกระทง มีโคมลอยจำลองน่ารัก ๆ และโคมยี่เป็งประดับซุ้มประตูพร้อมไฟหลากสีห้อยไฟสลับดวงไปมา ถือว่าผมเลือกจุดรอเป็นสถานที่ถ่ายรูปเริ่มแรก “ขอโทษทีนะ” “เท็มเป้ก็เพื่อนของเรา เราไม่ติดปัญหาอยู่แล้ว” ผมไม่ได้ติดขัดอะไรกับเท็มเป้อยู่แล้วเพราะคนนี้ก็เพื่อนของผมและไวน์หวานเช่นกัน จะช้าหน่อยก็ไม่ทำให้หมดสนุกหรอก แต่ผมคิดว่ามีคนบางคนที่ทำให้ผมหมดสนุกถ้าได้เห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาตอนนี้ “มาด้วยเหรอ...” เท็มเป้หันไปพร้อมกับราง ผมเองก็รู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าคนอย่างกอไผ่หุ่นหมีสักเท่าไหร่ หน้าตาของมันกับนิสัยเหมือนไปด้วยกันได้เลย เวลาคบเป็นเพื่อนมันชอบทำตัวเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง บอกเป็นเพื่อนแต่เหลี่ยมทุกดอกแบบนี้ก็ไม่เอาหรอก กอไผ่เป็นผู้ชายหนุ่หมีหน้านิ่งไม่ได้หล่อมาก แต่ถ้าให้บอกนิสัยมันดูเป็นชอบเหลี่ยมกับเพื่อนกันเอง นิสัยของเขาเหมือนกับเกวลินเพราะเวลาเลี้ยงอาหารชอบไม่จ่ายหรือจ่ายไม่ครบ ไม่เคยออกเงินเลี้ยงเพื่อนและซื้อของไม่สมราคาความเป็นเพื่อน เหลี่ยมทุกเรื่องและไม่ค่อยเห็นหัวใครสักเท่าไหร่ มันชอบทำให้ไวน์หวานเห็นว่าตัวเองเป็นคนดี “กูก็อยากมาเที่ยวก็ไม่แปลกนะ” “มางานเดียวกันไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้นะ” ไวน์หวานพยายามห้ามรางด้วยการจับมือเบา ๆ ให้เขารู้สึกโดยที่ผมไม่ต้องพูดออกมา ผมไม่อยากให้เขามีเรื่องกันในวันงานลอยกระทง เทศกาลแห่งความสุขแบบนี้ ผมกับทุกคนไม่อยากให้งานกร่อยหมดสนุกเพราะการใช้อารมณ์ไม่ชอบหน้าอยู่เหนือเหตุผล “ราง นายจะอคติกับกอไผ่ไม่ได้นะ” “มันน่ะไม่ใช่คนดี เหลี่ยมจัดกับทุกคนแบบนี้ยังเรียกว่าเพื่อนอีกเหรอ” ผมไม่อยากให้ไวน์หวานไปรู้จักคนแบบกอไผ่เลยเพราะว่าคนที่ชอบเหลี่ยมทุกดอกแล้วบอกเพื่อนกันมันไม่ควรเรียกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ ผมกับมันไม่ควรศีลเสมอกันกับเรื่องแบบนี้ ผมควรอยู่ในที่ของตัวเองไม่ใช่มาเกลือกกลั้วกับคนแบบมัน “มึงจะมองว่ากูเป็นคนไม่ดีแบบนี้ไม่ได้นะ” กอไผ่ไม่ชอบให้ใครมามองว่าผมนิสัยเสีย ทั้งที่ตัวตนผมไม่ใช่คนชอบเหลี่ยมทุกตลบเหมือนที่ทุกคนกำลังกล่าวหาผม ผมมีความจริงใจให้ทุกคนทำไมถึงมองไม่ดีกับผมล่ะ ผมมีความดีให้เห็นแต่เลือกมองด้านไม่ดีทำไม ผมไม่เข้าใจความคิดของมนุษย์เลย “เอาเถอะ มาเที่ยวให้มีความสุขดีกว่า ว่าแต่เกวลินมายัง” ไวน์หวานขอให้ทุกคนช่วยสงบปากกันสักหน่อย ไม่ใช่ว่าเจอหน้ากันแล้วจะหาเรื่องไม่มีใครยอมใคร ทำงานหมดสนุกเด็ดขาด ผมโทรตามเกวลินแต่ยังไม่ทันยกหูรอสัญญาณเธอเดินทางมาถึงพอดี “ไม่ต้องโทรแล้วไวน์หวาน ฉันมาแล้ว...” เกวลินผู้หญิงรูปลักษณ์ภายนอกดูเป็นคนดุดัน ปากจัดและลุคดูร้ายตามหน้าตาและการดัดฟัน ฉันเดินเข้ามาเห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ฉันทักทายไวน์หวานก่อนเพราะฉันเห็นหน้าเขามากกว่าคนอื่น เมื่อทุกคนมาครบแล้ว ฉันเป็นคนสุดท้ายถึงเวลาเข้างานอย่างรื่นเริงแล้ว “มากันครบแล้วงั้นเราไปกันเถอะ” ไวน์หวานเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว ผมรีบพาทุกคนเข้างาน ก่อนเข้าไปผมเห็นซุ้มประตูแล้วสะดุดตาตั้งแต่มองหน้าเพื่อนสลับมองซุ้มประตู ผมขอถ่ายรูปรวมกับทุกคนจะได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อยว่าในชีวิตนี้ผมมีเพื่อนที่แสนดีอยู่บ้าง ไม่ใช่เจอแต่ความปลอมสู้กันเสมอ เวลาต่อมา “เราว่าเราแยกกันไปดีไหม” เท็มเป้เดินมาพร้อมกันทุกคน มันก็เป็นเรื่องที่ดีแต่ว่าคนเรามีความชอบไม่เหมือนกันถ้ารอไปพร้อมกันมันอาจช้า ถ้าร้านไหนขายดีหรือมีช่วงกิจกรรมกะชันชิดในเวลาใกล้กัน ผมจะไม่ทันการ เอาเป็นว่าแยกย้ายกันไปจะดีที่สุด “แกจะไปกับเกวลินเหรอ” “ใช่... เห็นมันอยากเอากระทงไปลอย กูก็จะได้เอามันไปลอยกับกระทงเลยยิ่งดี” คำพูดชวนขบขันของผมอาจทำให้เกวลินไม่ค่อยพอใจเพราะเธอไม่ชอบอยู่ใกล้บึงน้ำแม่น้ำขนาดใหญ่ เพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็นและไม่ชอบสถานที่แบบนี้เป็นการตอกย้ำ “เอ่อเท็มเป้ เราว่า...” “ไม่เป็นไรหรอกไวน์หวาน นายต้องเข้าใจว่ามันน่ะปากหมาที่สุดในกลุ่มเพื่อนเราแล้ว” ฉันเป็นคนพูดตรงอย่างมีขอบเขต แล้วเรื่องที่เท็มเป้พูดจาปากสุนัขไม่เข้าหู มันก็เป็นเรื่องจริงและชอบล้อเลียนกันอยู่แล้ว เขาได้ยินก็ไม่โกรธหรอก เพื่อนกันได้ยินถือเป็นเรื่องปกติ “โอเคเราเข้าใจแล้ว เท็มเป้ มึงดูแลผู้หญิงดี ๆ ล่ะ” “เรื่องแบบนี้ไว้ใจกูเลย” เท็มเป้ถือว่าเป็นคนให้เกียรติผู้หญิงระดับหนึ่ง ผมอยากให้เขาช่วยดูแลผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเพราะที่ล้อมรอบสี่คนรวมผมแล้วเป็นผู้ชายหมด นิสัยบางอย่างต่างเพศต่างความคิดไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นเพื่อนแล้วก็ต้องดูแลให้ดีหน่อยไม่ใช่ต่างคนต่างใช้เพศชายหญิงหาความเท่าเทียม “ไวน์หวานไปกับเรานะ” กอไผ่เห็นว่าวันนี้พวกเรามาเที่ยวงานวันลอยกระทงแล้ว ผมขอใช้โอกาสนี้อยู่ด้วยกันกับไวน์หวาน เพราะเขาเป็นเพื่อนรักที่ผมชอบที่สุด เขาทำดีและให้ความสุขกับผมในทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ ไม่แปลกที่ผมกับเขาจะคบเป็นเพื่อนถึงทุกวันนี้ ผมอยากพาเขาไปเดินในงาน ตอนนี้ผมและทุกคนยืนอยู่ถนนคนเดินขนาดย่อมที่มีร้านค้า หากสุดทางข้างหน้าจะมีเวทีจัดแสดงคอนเสิร์ทวงเล็กไม่ได้ดังมากและบริเวณนั่งพักและปล่อยโคม คืนนี้ผมขอไวน์หวานไปเที่ยวกับผมแล้วกัน “ไอ้ราง นั่นแฟนมึงนะ คิดว่ามึงไว้ใจกอไผ่ดีแค่ไหน” เท็มเป้เห็นว่ากอไผ่เข้ามาชวนไลน์หวานไปด้วยกัน ผมเข้าใจว่านิสัยวัยรุ่นแบบพวกเราจะอยู่ในสังคมเพื่อนหลายคนมันไม่แปลก แต่คนตรงหน้าคือแฟนของรางแล้วการปล่อยไปกับผู้ชายด้วยกัน ต่อให้ไวน์หวานจะเป็นผู้ชาย ความรักไม่กำหนดเพศอยู่แล้ว แต่ที่กำหนดคือตำแหน่งความสัมพันธ์ที่ทุกคนควรจำขึ้นใจว่าใครเป็นอะไรกับใคร “มึงไม่รู้เหรอว่ากูให้กอไผ่เป็นนักสืบสืบดูว่าแฟนกูไปกับใคร อย่าลืมนะว่าก่อนมันมาคบกู ตัวพ่อของความเจ้าชู้เลยล่ะ” ก่อนผมจะคบกับไวน์หวานเขาเป็นคนที่เรียกได้ว่าควงผู้ชายในสถานบันเทิงหลายคน ออกแนววันไนท์สแตน คืนเดียวรู้ความจริง แต่ตอนนี้ต้องเลิกนิสัยนี้แล้วเพราะมีผมเป็นเจ้าของจริงจังแล้ว “แต่กูก็ไม่ค่อยไว้ใจมันสักเท่าไหร่” “คิดว่ากูไว้ใจมันเหรอ มันอยากทำอะไรก็เรื่องของมัน ผมไม่เห็นแต่กฎแห่งกรรมและศีลธรรมในใจเห็นหมด” เท็มเป้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงปล่อยให้กอไผ่มาเคลมแฟนตัวเอง เกิดลับหลังมันทำอะไรเกินกว่าหน้าที่ ผมนี่แหละจะสมน้ำหน้ามันเองเพราะมันไว้ใจจนไม่คิดห่วงหน้าพะวงหลัง “งั้นกูไปกับเกวลินนะ” ผมขอตัวไปดูแลเกวลินก่อน เรื่องดูแลผู้หญิงและการให้เกียรติถือว่าผมถนัดระดับหนึ่ง เหตุผลของผมบอกเลยว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เวลาต่อมา กอไผ่จุดไฟเย็นหลายดอกให้เปลวไฟสว่างไสว เวลาถือจะได้เกิดเสียงสีส้มที่ปรากฏขึ้นมา มันเป็นอุปกรณ์ที่ผมเห็นว่าสร้างความโรแมนติกได้เป็นอย่างดี เวลาถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์จะเก็บภาพได้สวยมาก ทุกแสงและตัวผมจะอยู่ในเฟรมออกมาสวยงามแทบไม่ต้องแต่งรูปเลยด้วยซ้ำ เวลานี้เป็นเวลาของความโรแมนติก ผมจุดไฟเย็นพร้อมส่งลงมือไวน์หวาน หยิบโทรศัพท์มาถ่ายกล้องหน้าให้เห็นใบหน้าของผมและเขาอยู่ในกรอบเดียวกัน แชะ!! จู้บบ ผมตกใจเมื่อกอไผ่หนุ่มหุ่นหมีหน้าตาไม่ได้หล่อมาก เข้ามาถือไฟเย็นข้างหนึ่ง มืออีกข้างตั้งเวลาถ่ายรูปรอให้มันเก็บภาพ ผมยิ้มและถือไฟเย็นในมือ พอนับถอยหลังครบเวลากลายเป็นว่ากอไผ่หันมาจูบแก้มผมอย่างรวดเร็ว ทำผมตกใจไม่ทันตั้งตัว ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะแสดงออกมาแบบนี้ เขาก็รู้ว่าผมกับรางเป็นคนรู้ใจแล้ว ทำไมเขาแสดงออกกับผมแบบนี้ “ทำอะไรอะ” “นายรู้ไหมว่าเราชอบผู้ชาย” “แต่เรามีแฟนแล้วนะ แล้วอีกอย่างรางให้นายมาสอดส่องดูเราไม่ใช่เหรอ เราก็รู้ตัวเองตลอดเวลาแล้วนะ” “คนที่ไว้ใจจะไว้ใจจนเก็บความลับได้เป็นอย่างดีไง” ผมกำลังจะบอกเป็นนัยว่าผมเป็นคนน่าไว้ใจ พร้อมเก็บความลับของผมและไวน์หวานให้เงียบที่สุด ขอให้ผมได้ความรักกับคนตรงหน้าแค่นี้ทุกอย่างปิดผนึกใส่ซองไม่มีวันเปิดออก “ขอได้ไหมครับ...” ผมไม่รู้ว่ากอไผ่เกิดเปลี่ยนความคิดมาหักหลังกันเองได้ยังไง ผมไม่เคยรู้ว่าเขามีใจให้ผมมากจนผมคาดไม่ถึง แต่ว่าผมกลับมีความรู้สึกชอบให้ผู้ชายจูบและรู้สึกกับเพศเดียวกัน แม้คนตรงหน้าจะไม่ใช่รางก็ตาม “ขอให้วันลอยกระทงของเราเหมือนวันครบรอบล่ะ” “เดี๋ยวสิ ครบรอบอะไร...” ผมไม่รู้ว่ากอไผ่กำลังคลั่งรักจนไม่ลืมหูลืมตาหรือไงมาบอกรักผมแล้วพูดคำว่ารักและวันครบรอบเต็มปาก ถ้าเขาไม่ได้เมาแสดงว่านี่คือความจริงจากใจของเขา ทางด้านเกวลิน ฉันยืนอยู่หน้าริมน้ำห่างจากสะพานขนาดใหญ่ที่มีรถสวนทางบนสะพาน ฉันมองตรงไปข้างหน้าเห็นความว่างเปล่า ไม่เข้าใจว่าเท็มเป้จะพาฉันจะมาปล่อยกระทงตรงที่ไร้ผู้คนและเสียงครึกครื้นทำไม ฉันเป็นคนไม่ชอบให้ใครมากลั่นแกล้งแต่ไม่ได้หมายความว่าจะชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียวน่าเบื่อแบบนี้สักหน่อย “แกบอกเราเองนะว่าไม่ชอบเสียงดัง” “แต่นี่มันเงียบจนน่ากลัวไปไหม” “เงียบแบบนี้แหละ เวลาพูดดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน” ผมหมายถึงเวลาผมคุยเรื่องส่วนตัวหรือทำอะไรที่เราสองคนรู้กันในกลุ่มเพื่อนจะไม่มีใครได้ยินให้ความลับหลุดไปหรอก ผมจุดไฟในเทียนที่ปักตรงกระทงบอกให้เธออิษฐานก่อนปล่อยจะได้หมดเคราะห์และให้คำขอเป็นจริง “แกอธิษฐานเอาเลยนะว่าอยากให้คำขอไหนเป็นจริง เราก็จะได้ปล่อยต่อเป็นรายต่อไป” “แกก็ปล่อยพร้อมกับเราสิ” ตรี๊ดด... ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมขออนุญาตออกไปรับสายก่อนและบอกให้เธอปล่อยกระทงก่อน เธอไม่มีแฟนยังไงกระทงถือคนเดียวไม่หนักหรอก อีกอย่างขณะผมคุยโทรศัพท์ผมจับตาดูเสมอกลัวเกวลินเป็นอะไรถ้าอยู่ใกล้บึงน้ำขนาดใหญ่ ขณะที่ผมหันหลังไปมองพลุไฟจุดขึ้นเสียงดังเป็นการเฉลิมฉลอง เสียงในสายไม่ได้ยินเลยเพราะพลุไฟกลบไปหมด น่าเสียดายกำลังคุยกันเข้าด้ายเข้าเข็ม หันมาอีกที ผมช็อกกับสิ่งที่เห็นจนโทรศัพท์ตกพื้นเมื่อผมเห็นอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เห้ยยย เกวลิน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม