บทที่ 01
บาดเลือดแค้น [1]
ปัง!
ประตูห้องทำงานของภูมิพัฒน์ปิดลงหลังจากที่คนของเขาพาตัวพลอยกะรัตมาส่งแล้วเดินกลับออกไป
บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ถูกเปิดเอาไว้ดังสลับกับเสียงหอบหายใจของพลอยกะรัตเพราะเธอดิ้นและพยายามขัดขืนมาตลอดทาง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน คุณทำแบบนั้นกับพ่อฉันได้ยังไง”
ไม่ทันนั่งเธอก็แผดเสียงดังลั่นพลางตบโต๊ะทำงานของภูมิพัฒน์อย่างวางอำนาจ ทั้งที่ตัวเองเป็นเพียงแค่พนักงาน แม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัยการตลาด แต่หากเทียบกับเขาที่เป็นประธานกรรมการบริหารบริษัทแล้ว การกระทำของเธอถือเป็นเรื่องไร้มารยาทที่สุด
“นั่งลง”
“แต่...”
“ผมสั่งให้นั่ง ตั้งสติแล้วฟัง” ภูมิพัฒน์ย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างคนที่กำลังพยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์ สีหน้าและแววตาของเขาดุดันจนอีกฝ่ายจำต้องนั่งลงอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าสายตาจะยังดื้อดึงอยู่ในที
ในสายตาของเขา พลอยกะรัตเป็นผู้หญิงฉลาด หน้าตาสะสวย มีความรู้และสามารถ มีฐานะทางการเงินมั่นคง นอกจากนั้นเขายังรู้ว่าเธอถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ โตมาในสังคมชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ทั้งสายตาและท่าทางของเธอจึงเย่อหยิ่งอยู่เสมอเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเห็นจนชินตา เพียงแต่ว่านับจากวันนี้ไป ทุกอย่างที่ทั้งเขาและเธอเคยชินกำลังจะกลายเป็นเพียงแค่อดีต
ฟุ่บ!
“นี่คือเอกสารหลักฐานที่ผมให้ทีมกฎหมายตรวจสอบแล้วว่าเชื่อถือได้”
พลอยกะรัตกระชากมันออกจากมือของเขาตั้งแต่ที่เขายังพูดไม่ทันจบ รีบเปิดมันดูในทันที ซึ่งข้อความและภาพในแฟ้มเอกสารนั้นแม้จะมีเพียงไม่กี่ใบ ใช้เวลากวาดสายตามองเพียงปราดเดียวเธอก็สามารถทำความเข้าใจได้ทันทีว่ามันคือหลักฐานที่ยืนยันว่าพ่อของเธอทุจริต
“เหลวไหล พ่อฉันไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่” เธอบอกอย่างมั่นใจ และไม่ว่าจะมีอีกกี่คนที่ยืนยันว่าทุกอย่างในเอกสารชุดนี้เป็นเรื่องจริง เธอก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“คุณคิดว่าพ่อฉันทุจริตจริงๆ อย่างนั้นเหรอคะ” พลอยกะรัตเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอธิบายอะไรสักคำ
แม้เธอกับภูมิพัฒน์จะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร เพราะในสายตาของเธอ เขาเองก็ดูเย่อหยิ่งไม่ต่างจากที่เขามองเธอนัก แต่หากตัดเรื่องนิสัยใจคอรวมถึงเรื่องของบุคลิกภาพภายนอกออกไปแล้วมองกันแค่เรื่องงาน เธอเองก็มองเขาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ที่ทั้งเฉลียวฉลาดในด้านของการทำธุรกิจจนบางครั้งเธอยังอยากจะทำให้ได้แบบเขาด้วยซ้ำไป
“ทุกอย่างต้องว่ากันไปตามหลักฐาน”
“ฉันไม่ได้อยากจะรู้เรื่องหลักฐาน ฉันถามว่าคุณเชื่อว่าพ่อฉันทุจริตใช่ไหม กรุณาตอบให้ตรงคำถามด้วยค่ะ” พลอยกะรัตถามย้ำอย่างไม่ยอมความ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ตอบคำถามของเธอ แต่เพียงแค่นั้นมันก็มากพอจะทำให้เธอรู้ว่าความซื่อสัตย์ที่พ่อของเธอมีให้กับบริษัทนี้เสมอมามันไม่มีค่าอะไรเลย
“ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อฉันเอง” พลอยกะรัตบอกอย่างแน่วแน่ ทว่าไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวเท้ากลับออกไป ภูมิพัฒน์ก็หยิบเอกสารอีกหนึ่งชุดออกมาจากลิ้นชักแล้ววางมันตรงหน้าเธอเสียก่อน
“คุณยังไปไหนไม่ได้จนกว่าจะเซ็นเอกสารฉบับนี้”
คำสั่งของเขาทำให้เธอต้องก้มมองเอกสารตรงหน้าด้วยความไม่ไว้ใจ ตอนนี้เธอมีเวลาไม่มากพอจะมานั่งเล่นเกมอ่านใจกับเขา ทางที่ดีคือรีบเปิดเอกสารอ่านให้เรียบร้อยแล้วเซ็นชื่อลงไป เพื่อที่จะได้รีบตามพ่อของเธอไปที่โรงพัก
“หา!”
ข้อความบรรทัดแรกบนเอกสารแผ่นแรกทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเดิมเพราะมันคือ
‘เอกสารยอมรับสภาพหนี้’
ก่อนหน้านี้คำว่า ‘หนี้’ ถือเป็นสิ่งที่ไกลตัวเธอเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าพอมันมีโอกาสเข้ามาทักทาย ก็มาเสียรวดเร็วราวกับว่ารอคอยโอกาสนี้มานาน
“ในฐานะที่คุณเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณลุงเพชรกรุณ คุณมีส่วนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำ มูลค่าความเสียหายที่ทางบริษัทประเมินเบื้องต้นไว้คร่าวๆ ก็สิบสองล้าน” ภูมิพัฒน์อธิบายเสียงเรียบ
ทั้งประโยคมีความยาวไม่สั้นไม่ยาว แต่สิ่งที่พลอยกะรัตได้ยินชัดเจนมีเพียงคำว่า ‘เขาทำ’ ซึ่งนั่นหมายความว่าภูมิพัฒน์ปักใจเชื่อไปแล้วว่าพ่อเธอทุจริตจริง คงไม่มีประโยชน์ที่จะแย้งอะไร ทางออกเดียวที่เธอคิดได้ก็คือต้องรีบหาทางพิสูจน์ความจริงเท่านั้น
“แล้วถ้าฉันสามารถพิสูจน์ได้ว่าพ่อฉันบริสุทธิ์ คุณจะรับผิดชอบยังไง” พลอยกะรัตถามพลางเอื้อมคว้าปากกาที่เสียบอยู่บนแท่นเสียบปากกาของเขามาควง
“ถ้ามีหลักฐานมาหักล้างหรือพิสูจน์ได้ว่าพ่อของคุณบริสุทธิ์ เอกสารชุดนี้ก็จะถือเป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย”
“น้อยไปหน่อย”
“น้อยยังไง”
“จำเอาไว้ว่าถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าพ่อฉันบริสุทธิ์เมื่อไร ฉันจะเอาคืนทุกบาททุกสตางค์ นอกจากนั้นแล้วคุณยังต้องชดใช้ค่าเสียเวลาและค่าศักดิ์ศรีของพ่อฉันอย่างสาสม” พลอยกะรัตประกาศกร้าวแล้วจรดปลายปากกาเซ็นชื่อลงไปในเอกสาร ก่อนจะกระแทกปากกาในมือลงบนแฟ้มเอกสารที่ถูกปิดลงด้วยความหงุดหงิด
“เดี๋ยว!”
พลอยกะรัตหลับตาแน่นพลางกลั้นลมหายใจเมื่อความอดทนของเธอใกล้หมด
“ยังมีอีกใบ”
เธอหันกลับไปมองเขาที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย เปิดแฟ้มเอกสารออกอีกครั้งแล้วพลิกไปที่เอกสารใบสุดท้าย
พลอยกะรัตหลุบสายตาลงอ่านอย่างไม่ไว้ใจ แล้วสิ่งที่เธอเพิ่งจะอ่านจบก็ทำให้สองตาของเธอเบิกโพลง
‘เอกสารยินยอมชดใช้ดอกเบี้ยจากหนี้สินที่ระบุไว้ในเอกสารชุดแรก’
เธอสูดหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดึงแฟ้มเอกสารนั่นมาแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างตั้งใจเพราะไม่อยากจะตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ แม้จะเห็นลายเซ็นพ่อของเธอเซ็นกำกับยินยอมอยู่ที่ท้ายกระดาษตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
“ดอกเบี้ยร้อยละสิบต่อเดือน!”
“ใช่”
“คุณจะบ้าหรือยังไง มันผิดกฎหมาย”
“นั่นคือเหตุผลที่เอกสารชุดนั้นแยกออกมาจากชุดแรก”
“แปลว่าคุณตั้งใจจะเอาเปรียบพ่องั้นเหรอ”
“คุณจะไม่เซ็นก็ได้”
“ได้งั้นเหรอ”
“ได้ แต่ยังไงซะตามข้อกฎหมายแล้วหากไม่มีเงินชดใช้ค่าเสียหาย ก็ต้องติดคุกชดใช้แทน”
คำว่าติดคุกทำให้พลอยกะรัตโกรธจนควันแทบจะออกหู
“อย่าฝันไปหน่อยเลย ต่อให้ฉันจะต้องขายทุกอย่างจนหมดตัวเพื่อเอามาชดใช้ให้คุณทั้งที่ฉันมั่นใจว่าพ่อฉันไม่ได้ทำฉันก็ยอม แต่ฉันจะไม่ยอมให้พ่อฉันติดคุกแน่”
“เสียใจด้วยที่คุณไม่มีอะไรให้ขาย เพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ทรัพย์สินทั้งหมดของพ่อคุณเพิ่งจะถูกอายัดซึ่งก็น่าจะรวมถึงบัตรเครดิตที่เป็นบัตรเสริมของเขาที่คุณใช้อยู่ด้วย”
ใบหน้าของพลอยกะรัตซีดเผือด ภาพของพนักงานร้านกาแฟเมื่อครู่แวบเข้ามาในหัวทันที หรือว่านี้จะคือเหตุผลที่บัตรเครดิตของเธอใช้ไม่ได้ เพราะทุกใบล้วนแล้วแต่เป็นบัตรเสริมของพ่อเธอทั้งสิ้น
ทั้งชีวิตของคุณหนูพลอยกะรัตคนนี้มีแค่พ่อมาตลอด บ้าน รถ หรือแม้แต่บัตรเครดิต ไม่มีอะไรเป็นชื่อของเธอเลยสักอย่างเพราะเธอไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น คำว่านางฟ้าตกสวรรค์ยังดูน้อยเกินไปสำหรับเธอในเวลานี้