บทที่ 01
บาดเลือดแค้น [2]
“เป็นอะไร มีอะไรสงสัยก็ถามมา”
พลอยกะรัตมือไม้เย็นเฉียบ จากที่ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองมีเงินมากพอจะมาซื้อเวลา ไม่ว่าจะจ่ายหนี้ทั้งก้อนหรือว่าดอกเบี้ยระหว่างที่ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อเธอแล้วทวงคืนทุกอย่างกลับมา แต่หากเป็นแบบที่ภูมิพัฒน์พูด นั่นเท่ากับว่าตอนนี้เธอไม่เหลือทรัพย์สมบัติอะไรเลย แม้จะมีเงินสดในบัญชีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอจะจ่ายหนี้สินก้อนเบ้อเริ่มแน่ๆ
“คุณได้ยินที่ผมถามรึเปล่า”
“ฉันมีเวลาเท่าไร”
ดวงตาดื้อรั้นกะพริบปริบๆ น้ำเสียงที่ฟังดูมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่เบาลงและสั่นคลอน
“คุณหมายถึงอะไร” ภูมิพัฒน์แสร้งถาม ทั้งที่พอจะมองออกว่าเธอคงเข้าใจภาพรวมของทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว
“เงิน ฉันมีเวลาเท่าไรในการหาเงินมาใช้หนี้คุณ”
“ก็...”
“รวมดอกเบี้ยด้วย” พลอยกะรัตรีบพูดต่อจนจบ
“ดอกเบี้ยร้อยละสิบต่อเดือน คุณมีหน้าที่หามาจ่ายทุกวันที่ 1 ส่วนเงินต้น ผมเห็นแก่ที่คุณและพ่อของคุณทำงานที่บริษัทมานาน ยินยอมให้ผ่อนจ่ายได้ จ่ายหมดเมื่อไรก็เมื่อนั้น แต่ระหว่างนั้นพ่อของคุณก็ชดใช้ความผิดอยู่ในคุก”
ทุกคำพูดของเขาบีบคั้นหัวใจของเธอเหลือเกิน ลำพังแค่เงินเดือนของเธอกับสวัสดิการต่างๆ รวมกันแล้ว ยังไม่พอจะจ่ายดอกเบี้ยต่อเดือนด้วยซ้ำไป
มือไม้ของพลอยกะรัตสั่นระริก ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะประคองปากกาเอาไว้ในมือแบบในทีแรกด้วยซ้ำไป
“อ้อ ผมเกือบลืมเอกสารอีกชุด สุดท้ายแล้ว แต่เอกสารฉบับนี้คุณไม่ต้องเซ็น” ภูมิพัฒน์ดึงบางอย่างออกมาจากลิ้นชัก ซองกระดาษสีขาวทำให้หัวใจของพลอยกะรัตชาวาบ แม้จะยังไม่ได้เปิดดูแต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเอกสารในซองขาวนั้นคืออะไร
“เอกสารการสิ้นสภาพการเป็นพนักงาน”
เธอถูกไล่ออกสินะ
“นี่คุณจะไม่ให้โอกาสฉันได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อฉัน หน่อยเหรอ” เธอเอ่ยถามทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า
แม้จะพยายามสะกดกลั้นมันเอาไว้แต่ทุกอย่างก็ประเด-ประดังเข้ามาจนเธอรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน
“สิ่งสำคัญที่สุดขององค์กรทุกองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่คือเรื่องของความเชื่อมั่น ดังนั้นถ้าหลักฐานมัดตัวพ่อของคุณแน่นขนาดนี้ แต่ผมยังปล่อยให้พ่อของคุณหรือแม้แต่ตัวของคุณทำงานอยู่ในบริษัท ผมเกรงว่ามันไม่น่าจะเป็นผลดีกับหุ้นของบริษัทเท่าไร”
แม้ทุกคำที่เขาพูดออกมาจะเป็นความจริง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอยอมรับได้
“แล้วคุณจะให้ฉันไปขายตัวเพื่อเอาเงินมาชดใช้ให้พวกคุณหรือยังไง”
คำถามที่ถูกกลั่นออกมาจากความโกรธทำให้ภูมิพัฒน์นั่งอึ้ง เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของผู้หญิงอย่างพลอยกะรัตมาก่อน หยดน้ำตาของเธอร่วงเผาะลงมาจากขอบตา เธอชิงปาดมันออกทันที ส่วนเขาก็เลือกที่จะเมินหน้าหนีออกมาอีกทาง
“อย่างน้อยคุณก็น่าจะให้โอกาสฉันบ้าง”
“ผม...”
“แล้วถ้าพ่อฉันผิดอย่างที่คุณกำลังกล่าวหาจริงๆ คุณจะตัดสินยังไงก็เชิญ”
คำขอร้องจากปากของหญิงสาวที่เพียบพร้อมอย่างพลอยกะรัตคือสิ่งที่ภูมิพัฒน์คาดไม่ถึง เธอสบตาเขาด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีแม้แต่ความขลาดกลัว แต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยองแบบเมื่อครู่ตอนที่เพิ่งจะถูกพาเข้ามา
“พรุ่งนี้ผมจะลองขอความคิดจากที่ประชุมดู”
“แต่ฉันรอพรุ่งนี้ไม่ได้ คืนนี้พ่อฉันจะอยู่ยังไง ฉันปล่อยให้พ่อฉันติดคุกไม่ได้คุณเข้าใจบ้างไหม”
“ผมเข้าใจ แต่ยังไงผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด”
“แต่พ่อฉันไม่ผิด”
“ทุกอย่างมีหลักฐานที่คุณเองก็เห็นมันทั้งหมดแล้วพลอยกะรัต”
คำพูดของเขาทำให้เธอปล่อยน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ไม่ได้พยายามจะเช็ดหรือรีบปาดมันออกอีกแล้ว
แม้จะเลือกเมินหน้าหนี แต่ใบหน้าเศร้าหมองของเธอกลับติดอยู่ในความคิดของเขา กลายเป็นภาพจำที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรมันถึงจะหายไป
“เอาเป็นว่าตอนนี้ก็ทำตามนี้ไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ผม...”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องแล้วดีกว่า”
เป็นพลอยกะรัตที่ตัดบทเสียเอง หยิบปากกามาเซ็นชื่อลงในเอกสาร ปิดปากกาแล้ววางมันทิ้งไว้ก่อนจะหยิบซองขาวตรงหน้าขึ้นมาด้วยมือสั่นๆ
“คุณกำลังคิดจะทำอะไรพลอยกะรัต” ภูมิพัฒน์ถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาไม่กล้าพอจะคาดเดาความคิดของเธอ
“ว่าจะลองไปขายตัวแลกเงินดูน่ะค่ะ โปรไฟล์ฉันไม่ธรรมดาคุณก็รู้ อีกอย่างฉันก็สาว ยังสวย ที่สำคัญยังเวอร์จิ้นอยู่ การจะหาเสี่ยเลี้ยงแล้วเรียกค่าตัวแพงๆ สักหน่อยคงไม่ยาก รายได้คงพอเอามาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้คุณได้”
“คิดจะทำอะไรไร้ศักดิ์ศรีแบบนั้น คุณถามพ่อของคุณหรือยัง”
ได้ยินแล้วภูมิพัฒน์ถึงกับรู้สึกหงุดหงิด แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้สนใจอะไรเธอเป็นพิเศษ รวมถึงพอจะได้ยินชื่อเสียงเรื่องความรั้นและเอาแต่ใจของเธอมาบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนกล้าได้กล้าเสียจนถึงขั้นบ้าบิ่นขนาดกล้าทำเรื่องอย่างนั้น
“คุณคิดว่าที่ผ่านมาพ่อห้ามอะไรฉันได้บ้างงั้นเหรอคะ”
“นั่นสินะ พ่อของคุณคงภูมิใจน่าดูที่ลูกสาวไปขายตัวเอาเงินมาซื้อเวลาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เขา”
พลอยกะรัตโกรธจนตัวสั่น แต่เสี้ยววินาทีเธอก็เหยียดริมฝีปากยิ้มสู้
“ฉันต้องรู้สึกติดหนี้บุญคุณเรื่องที่คุณเตือนหรือเปล่า อย่าเสียเวลาเลยค่ะ เพราะศักดิ์ศรีของฉันมันไม่ได้มีค่าเท่าราคาหุ้นของบริษัทคุณหรอก เอาเวลาไปปั่นหุ้นเถอะ ขอตัว” พลอยกะรัตบอกเสียงเรียบ ยกซองขาวในมือขึ้นมาฉีกเป็นสองส่วนแล้วปามันใส่หน้าเขาก่อนจะเดินจากมาทันที
เสียงส้นรองเท้าของพลอยกะรัตดังไปตามจังหวะของการก้าวเดิน แม้เธอจะเดินพ้นประตูห้องทำงานของภูมิพัฒน์ออกไปแล้วแต่เสียงนั่นกลับยังดังสะท้อนไปมาอยู่ในโสตประสาทของเขาชัดเจน ภาพใบหน้าของเธอ เสียงของเธอ น้ำตาของเธอ หรือแม้แต่ความดื้อรั้นทางคำพูดและแววตาของเธอมันทำให้เขาหงุดหงิด
พลอยกะรัตกดลิฟต์กลับลงไปที่ชั้นล่าง ตั้งใจจะไปเก็บของที่จำเป็นเพราะหลังจากวันนี้เธอคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว และตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังจากที่พิสูจน์ความจริงให้พ่อของเธอได้ เธอก็คงไม่กลับมาทำงานที่นี่อีกเพราะเธอเกลียดเขา!
จากที่เคยคิดว่าเขาเป็นคนดี ซื่อตรง และเฉลียวฉลาด แต่ไม่น่าเชื่อว่าจริงๆ แล้วเขาก็เป็นเพียงแค่คนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก แม้ว่าทุกอย่างจะมีหลักฐาน แต่อย่างน้อยๆ เขาที่ทำงานร่วมกับพ่อของเธอมาเนิ่นนานก็น่าจะเฉลียวใจบ้างสักนิด ทำไมถึงได้ปักใจเชื่อหลักฐานเป็นข้อความและรูปถ่ายเพียงไม่กี่รูป
เธอมองคนผิดไปจริงๆ นึกเสียใจที่เคยเอาเขาเป็นต้นแบบในการทำงาน
“ยัยเพชร ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นวะ”
“ไว้เลิกงานแล้วแกโทรหาฉันก็แล้วกัน จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบไปหาพ่อก่อน” พลอยกะรัตบอกเร็วๆ พร้อมกับดึงกล่องเอกสารที่ใต้โต๊ะทำงานของเธอมาหนึ่งใบ หยิบเอกสารด้านในออกแล้วเลือกหยิบของใช้ส่วนตัวของเธอบนโต๊ะทำงานใส่ลงไปแทน
“เดี๋ยวๆ นั่นแกทำอะไร”
“เก็บของสิ”
“เก็บไปไหน นี่อย่าบอกนะว่า...”
“ฉันโดนไล่ออก”
“บ้า!” หยาดทิพย์เบิกตาโพลงเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ
พ่อของพลอยกะรัตทำงานที่บริษัทนี้มานาน แม้เขาจะเป็นคนดึงพลอยกะรัตให้เขามาทำงานที่นี่ แต่ที่ผ่านมาพลอยกะรัตเองก็พิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่าเธอมีความรู้และความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัยการตลาดเป็นอย่างดี
“ไปก่อนนะ เจอกันที่คอนโด”
“ยัยพลอย เดี๋ยว”
“อ้อ แล้วก็ฝากบอกอีพวกปากหอยปากปูด้วยนะว่าถ้าสงสัยอะไร โทรถามฉันได้ จะตอบให้หมดทุกคำถามเลย แต่ถ้ารู้ว่าใครมันปากดีลับหลัง เจอข้างนอกแม่จะตบให้ปากแตก” พลอยกะรัตตั้งใจจะพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน รวมไปถึงภูมิพัฒน์ที่เหมือนจะเดินตามเธอมาด้วย เพียงแต่เขายืนมองเธออยู่ด้านนอกแผนก ไม่ได้เดินตามเข้ามาด้านใน
“มาส่งเหรอคะ” พลอยกะรัตแสร้งเดินไปถาม รอยยิ้มร้ายๆ ของเธอเรียกสายตาค้อนๆ จากภูมิพัฒน์ได้ทีหนึ่ง
“ตามมานี่สิ”
“ฝันไปเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันเป็นลูกหนี้คุณก็จริง แต่ไม่ใช่ลูกจ้างแล้ว ไปสั่งพนักงานที่คุณล่ามโซ่ไว้ก็แล้วกัน” เธอบอกอย่างอวดดี ก่อนจะเดินกระแทกไหล่เขาออกมา สองเท้าก้าวเดินไปที่ลิฟต์ทั้งที่อุ้มกล่องใบโต
ภูมิพัฒน์ถึงขั้นต้องเป่าปากเพื่อระบายความร้อนในอกออกมาก่อนที่มันจะระเบิด ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบใครดื้อรั้นเท่าเธอมาก่อน ที่สุดแล้วก็ตัดสินใจเดินตามเธอมา กระชากต้นแขนของเธอแล้วจับแน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายเดินนำเธอไปที่ลิฟต์แทนเสียเอง
“นี่คุณ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” พลอยกะรัตโวยวาย แต่ไม่ว่าจะพยายามหลบเลี่ยงอย่างไรเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ทั้งยังเอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์เสร็จสรรพ
“คุณจะทำบ้าอะไรของคุณ”
“จับคุณล่ามโซ่น่ะสิ”