7 บทที่ 7 (3)

1413 คำ
“แน่ใจนะว่ายังดูหนังไหว” อัคคีหันไปถามย้ำร่างเล็กข้างกายอีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์แล้ว ซึ่งรสสุคนธ์ยังคงพยักหน้ารัวเพื่อยืนยันความคิดของตน “แน่ใจสิคะ รสดื่มไปนิดเดียวเอง” อัคคีโคลงศีรษะมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู “ตามใจ เออ...ว่าแต่เราจะดูหนังเรื่องอะไรกันเหรอ พี่ก็ลืมถามไปเลย” “นี่ไงคะ” รสสุคนธ์ควานหาตั๋วหนังก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย คนรับขมวดคิ้วทันที “หนังผีนี่ รสไม่กลัวเหรอ” “ไม่ค่ะ ตื่นเต้นดีออก” รสสุคนธ์ยืนยันแข็งขันทำหน้าจริงจังอีกครั้ง คนมาด้วยจึงไม่คิดขัดใจอีก “งั้นก็ไปกันเถอะ” อัคคีเดินนำหากแต่คราวนี้แข็งแกร่งข้างหนึ่งกลับเอื้อมไปจับจูงร่างบางไว้ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว รสสุคนธ์ลอบมองใบหน้าชายหนุ่มด้านข้าง ดวงตาเป็นประกายสุขใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต ทั้งสองเดินตามคนนำทางก่อนที่ร่างสูงจะชะงักงันไปเมื่อเห็นว่าที่นั่งของพวกตนเป็นแบบโซฟาคู่ที่ถูกตั้งแยกออกมาจนให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว “คือ...รสให้คนของคุณพ่อเป็นคนจองตั๋วให้ค่ะ” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงเบาหลบสายตาอีกฝ่าย อัคคีถอนหายใจแต่ก็ไม่อยากมากเรื่องจึงตัดความรำคาญ “เอาเถอะ นั่งแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน” อัคคีประคองหญิงสาวลงนั่งก่อนที่ตนจะทรุดนั่งลงด้านข้าง ตอนแรกเขาเอาที่วางแขนกั้นลงไว้ แต่เมื่อเห็นร่างบางกอดอกนั่งตัวสั่นใต้ผ้าห่มอยู่สักพักก็เลยตัดสินใจเอาที่พักแขนขึ้น “หนาวหรือรส” รสสุคนธ์พยักหน้า อัคคีจึงรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น “ว้าย” รสสุคนธ์ผวาโผเข้ากอดอัคคีเมื่อถึงฉากสยองขวัญ อัคคีหัวเราะก้มมองคนในอ้อมแขนที่หลับตาปี๋ “ไหนว่าไม่กลัวไง” “พี่คี” รสสุคนธ์มุ่ยหน้าสะบัดเสียงใส่ด้วยท่าทีแง่งอน อัคคีจึงหัวเราะออกมาอีกและไม่ได้ปัดป้องหญิงสาวที่ซุกใบหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของเขาอีกหลายครั้ง กว่าภาพยนตร์จะจบลงเวลาล่วงเลยจนดึกไปมากแล้ว อัคคีพารสสุคนธ์ที่ยังคงกอดแขนเขาเดินออกมาก่อนจะช่วยกันกวาดสายตามองหาคนของรสสุคนธ์ที่ควรจะนั่งรออยู่ด้านนอกอย่างเช่นตอนที่พวกเขาเข้าไปด้านในโรงภาพยนตร์นั้น แต่มองหาอยู่นานก็ยังคงมองไม่เห็น รสสุคนธ์จึงหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาก่อนจะกดโทรออกและรอคอย “อยู่ที่ไหนกัน...อะไรนะ กลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ” รสสุคนธ์เหลือบมองคนข้างกาย ก่อนจะใช้มือป้องปากพูด “ทำไมถึงไม่บอกกันก่อน คุณพ่อ...อย่างนั้นหรือ” รสสุคนธ์หน้าเสีย เม้มปากแน่นก่อนจะกดวางสาย อัคคีที่ฟังอยู่เข้าใจทุกอย่างได้โดยง่ายจึงพูดให้หญิงสาวคลายกังวล “เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” “ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่คี รสต้องรบกวนพี่คีอีกแล้ว” คนตัวเล็กเสียงแผ่วทำหน้าหงอย ร่างสูงจึงใช้มือข้างหนึ่งโยกศีรษะหญิงสาวไปมาเบาๆ “อย่าคิดมากน่ะรส ตอนนี้เราขึ้นเรือลำเดียวกันแล้วนี่ ไปเถอะ” อัคคีคว้ามือบางก่อนจะต้องช่วยประคองเมื่อหญิงสาวทำท่าจะเซล้มอีกครั้ง เขาจึงโอบเอวเธอไว้ก่อนหลวมๆ เพื่อพาหญิงสาวไปยังลานจอดรถที่รถของเขาถูกจอดเอาไว้ “เดี๋ยวรสก็คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกันนะ” อัคคีหันไปกำชับหญิงสาวเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้านั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางงัวเงียของคนตัวเล็กที่ตอบรับเขาอย่างมึนๆ แต่รสสุคนธ์ก็สามารถทำตามคำขอของเขาไปได้ตลอดทาง จนกระทั่งอัคคีสามารถพาหญิงสาวไปส่งที่บ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงได้จนสำเร็จ “ปกติรสไม่ค่อยขับรถเองใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่เตรียมจะลงจากรถด้วยน้ำเสียงติดจะล้อเลียน รสสุคนธ์ขมวดคิ้ว มองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ” “ก็ทางที่รสบอกพี่มันอ้อมมากเลยรู้ไหม” “ตายจริง ขอโทษนะคะพี่คี รสก็ไม่เคยสังเกต” รสสุคนธ์ทำท่าตกใจอย่างมีจริตพร้อมกับหน้าเสียลงไปอีกครั้ง อัคคีโบกมืออย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรหรอกเพราะน้ำเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ชอบพาพี่หลงทางไปด้วยทุกที” แววตารสสุคนธ์ไหววูบเมื่ออยู่ๆ อัคคีก็เอ่ยถึงบุคคลที่สามด้วย แววตาอบอุ่นและรักใคร่ หัวใจคนมองปวดหนึบก่อนจะเสหลบทำท่าจะเปิดประตูอีกครั้ง “อุ๊ย” รสสุคนธ์อุทานเมื่อทำกระเป๋าถือหล่นลงไปตรงพื้นรถจนของภายในหล่นออกมา “ขอโทษนะคะ เผลอซุ่มซ่ามอีกแล้ว” รสสุคนธ์รีบก้มลงเก็บของเหล่านั้นใส่กระเป๋าก่อนจะเงยหน้าหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นรสเข้าบ้านก่อนนะคะพี่คี ขับรถดีๆ นะคะ” “อืม พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้เรียนไม่รู้เรื่อง พี่ไม่รู้ด้วยนะ” อัคคีขยิบตาทำท่าล้อเลียนจนคนฟังส่งค้อนให้อีกครั้ง รสสุคนธ์เปิดประตูลงจากรถและยืนมองรถของชายหนุ่มที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา หญิงสาวจึงหมุนตัวเดินเข้าไปภายในบ้านและพบกับเกรียงไกรที่เชิงบันไดชั้นสองพอดี “เป็นยังไงบ้างลูก หนังสนุกไหม” “สนุกค่ะคุณพ่อ คุณพ่อยังไม่นอนหรือคะ” รสสุคนธ์ตอบเต็มเสียงไม่ได้มีท่าทีเบลอๆ อย่างตอนที่อยู่กับอัคคีเลยสักนิด “มีงานที่ต้องเคลียร์อีกนิดหน่อยน่ะ อยากจะรอลูกก่อนด้วย ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” “ค่ะ เรียบร้อยดี” คนเป็นลูกส่งยิ้มอย่างมีความหมาย เกรียงไกรพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกได้เลยนะ” “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ เอาไว้ถ้าถึงเวลารสจะบอกนะคะ” รสสุคนธ์เดินไปสวมกอดพ่อของตนอย่างออดอ้อน เกรียงไกรจึงลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างเอ็นดู “ไปพักผ่อนเถอะลูก ฝันดีนะลูกนะ” “เช่นกันนะคะคุณพ่อ” หญิงสาวเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มบิดาของตน ก่อนจะกอดท่านแน่นๆ อีกครั้งแล้วผละออกมาเพื่อเข้าสู่ห้องนอนของตัวเองและทำธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อย ‘ถึงบ้านหรือยังคะพี่คี รสเป็นห่วงค่ะ’ รสสุคนธ์คว้าโทรศัพท์ของตนขึ้นมาส่งข้อความหาชายหนุ่มที่ยังคงทำให้ใจของเธอยังคงเต้นรัวจนถึงตอนนี้ หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วใช้ไดร์ค่อยๆ เป่าผมก่อนจะรีบคว้าเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมันส่งเสียงเตือน ‘ถึงแล้วล่ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วง’ รสสุคนธ์ยิ้มกว้างทำท่าเคลิ้มฝันขณะอ่านข้อความของเขาก่อนจะต้องชะงักเมื่อเขาส่งข้อความต่อมา ‘แล้วพ่อของรสถามอะไรหรือเปล่า’ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่มือบางจะพิมพ์ข้อความตอบกลับ ‘ถามค่ะ แต่รสก็พยายามเลี่ยงๆ ให้ท่านคิดไปว่ารสไม่ค่อยมีความสุข ท่านจะได้รู้ไงคะว่าเราไม่เต็มใจคบกันเท่าไหร่’ ‘ดีแล้วล่ะ วันที่เราจะคุยกับพวกท่านอีกทีจะได้ง่ายขึ้น’ รสสุคนธ์หน้าขรึมเมื่อได้เห็นข้อความตอกย้ำความคิดของชายที่เธอรักในยามนี้ มือบางยิ่งกำเข้าหากันแน่นเมื่อได้อ่านข้อความถัดไปของเขา ‘ถ้าอย่างนั้นพี่เตรียมตัวนอนก่อนนะ พี่ต้องตื่นไปรับน้ำตั้งแต่เช้า’ ‘ค่ะพี่คี ฝันดีนะคะ’ รสสุคนธ์ส่งข้อความสุดท้ายพร้อมกับสติ๊กเกอร์เป็นตัวการ์ตูนทำท่านอนหลับหน้าตาน่ารักแต่ไม่มีคนอ่านอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวโยนโทรศัพท์ในมือลงบนเตียงอย่างขัดใจ แววตาของเธอมุ่งร้ายจ้องมองไปที่กระเป๋าถือของตน พรุ่งนี้...คงต้องเลือกทาลิปสติกสีใหม่... รสสุคนธ์เหยียดยิ้มก่อนจะหันกลับไปทางโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง เมื่อตอนนี้ลิปสติกสีโปรดของเธอที่เคยพกติดตัวมาตลอดไม่ได้อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม