“แน่ใจนะว่ายังดูหนังไหว” อัคคีหันไปถามย้ำร่างเล็กข้างกายอีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงภาพยนตร์แล้ว ซึ่งรสสุคนธ์ยังคงพยักหน้ารัวเพื่อยืนยันความคิดของตน
“แน่ใจสิคะ รสดื่มไปนิดเดียวเอง”
อัคคีโคลงศีรษะมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู
“ตามใจ เออ...ว่าแต่เราจะดูหนังเรื่องอะไรกันเหรอ พี่ก็ลืมถามไปเลย”
“นี่ไงคะ” รสสุคนธ์ควานหาตั๋วหนังก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย คนรับขมวดคิ้วทันที
“หนังผีนี่ รสไม่กลัวเหรอ”
“ไม่ค่ะ ตื่นเต้นดีออก” รสสุคนธ์ยืนยันแข็งขันทำหน้าจริงจังอีกครั้ง คนมาด้วยจึงไม่คิดขัดใจอีก
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
อัคคีเดินนำหากแต่คราวนี้แข็งแกร่งข้างหนึ่งกลับเอื้อมไปจับจูงร่างบางไว้ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว รสสุคนธ์ลอบมองใบหน้าชายหนุ่มด้านข้าง ดวงตาเป็นประกายสุขใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต ทั้งสองเดินตามคนนำทางก่อนที่ร่างสูงจะชะงักงันไปเมื่อเห็นว่าที่นั่งของพวกตนเป็นแบบโซฟาคู่ที่ถูกตั้งแยกออกมาจนให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว
“คือ...รสให้คนของคุณพ่อเป็นคนจองตั๋วให้ค่ะ” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงเบาหลบสายตาอีกฝ่าย อัคคีถอนหายใจแต่ก็ไม่อยากมากเรื่องจึงตัดความรำคาญ
“เอาเถอะ นั่งแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน” อัคคีประคองหญิงสาวลงนั่งก่อนที่ตนจะทรุดนั่งลงด้านข้าง ตอนแรกเขาเอาที่วางแขนกั้นลงไว้ แต่เมื่อเห็นร่างบางกอดอกนั่งตัวสั่นใต้ผ้าห่มอยู่สักพักก็เลยตัดสินใจเอาที่พักแขนขึ้น
“หนาวหรือรส”
รสสุคนธ์พยักหน้า อัคคีจึงรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น
“ว้าย” รสสุคนธ์ผวาโผเข้ากอดอัคคีเมื่อถึงฉากสยองขวัญ อัคคีหัวเราะก้มมองคนในอ้อมแขนที่หลับตาปี๋
“ไหนว่าไม่กลัวไง”
“พี่คี” รสสุคนธ์มุ่ยหน้าสะบัดเสียงใส่ด้วยท่าทีแง่งอน อัคคีจึงหัวเราะออกมาอีกและไม่ได้ปัดป้องหญิงสาวที่ซุกใบหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของเขาอีกหลายครั้ง
กว่าภาพยนตร์จะจบลงเวลาล่วงเลยจนดึกไปมากแล้ว อัคคีพารสสุคนธ์ที่ยังคงกอดแขนเขาเดินออกมาก่อนจะช่วยกันกวาดสายตามองหาคนของรสสุคนธ์ที่ควรจะนั่งรออยู่ด้านนอกอย่างเช่นตอนที่พวกเขาเข้าไปด้านในโรงภาพยนตร์นั้น แต่มองหาอยู่นานก็ยังคงมองไม่เห็น รสสุคนธ์จึงหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาก่อนจะกดโทรออกและรอคอย
“อยู่ที่ไหนกัน...อะไรนะ กลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ” รสสุคนธ์เหลือบมองคนข้างกาย ก่อนจะใช้มือป้องปากพูด “ทำไมถึงไม่บอกกันก่อน คุณพ่อ...อย่างนั้นหรือ”
รสสุคนธ์หน้าเสีย เม้มปากแน่นก่อนจะกดวางสาย อัคคีที่ฟังอยู่เข้าใจทุกอย่างได้โดยง่ายจึงพูดให้หญิงสาวคลายกังวล
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่คี รสต้องรบกวนพี่คีอีกแล้ว” คนตัวเล็กเสียงแผ่วทำหน้าหงอย ร่างสูงจึงใช้มือข้างหนึ่งโยกศีรษะหญิงสาวไปมาเบาๆ
“อย่าคิดมากน่ะรส ตอนนี้เราขึ้นเรือลำเดียวกันแล้วนี่ ไปเถอะ” อัคคีคว้ามือบางก่อนจะต้องช่วยประคองเมื่อหญิงสาวทำท่าจะเซล้มอีกครั้ง เขาจึงโอบเอวเธอไว้ก่อนหลวมๆ เพื่อพาหญิงสาวไปยังลานจอดรถที่รถของเขาถูกจอดเอาไว้
“เดี๋ยวรสก็คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกันนะ” อัคคีหันไปกำชับหญิงสาวเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้านั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางงัวเงียของคนตัวเล็กที่ตอบรับเขาอย่างมึนๆ แต่รสสุคนธ์ก็สามารถทำตามคำขอของเขาไปได้ตลอดทาง จนกระทั่งอัคคีสามารถพาหญิงสาวไปส่งที่บ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงได้จนสำเร็จ
“ปกติรสไม่ค่อยขับรถเองใช่ไหมเนี่ย” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวที่เตรียมจะลงจากรถด้วยน้ำเสียงติดจะล้อเลียน รสสุคนธ์ขมวดคิ้ว มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ”
“ก็ทางที่รสบอกพี่มันอ้อมมากเลยรู้ไหม”
“ตายจริง ขอโทษนะคะพี่คี รสก็ไม่เคยสังเกต” รสสุคนธ์ทำท่าตกใจอย่างมีจริตพร้อมกับหน้าเสียลงไปอีกครั้ง อัคคีโบกมืออย่างไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรหรอกเพราะน้ำเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ชอบพาพี่หลงทางไปด้วยทุกที”
แววตารสสุคนธ์ไหววูบเมื่ออยู่ๆ อัคคีก็เอ่ยถึงบุคคลที่สามด้วย แววตาอบอุ่นและรักใคร่ หัวใจคนมองปวดหนึบก่อนจะเสหลบทำท่าจะเปิดประตูอีกครั้ง
“อุ๊ย” รสสุคนธ์อุทานเมื่อทำกระเป๋าถือหล่นลงไปตรงพื้นรถจนของภายในหล่นออกมา “ขอโทษนะคะ เผลอซุ่มซ่ามอีกแล้ว”
รสสุคนธ์รีบก้มลงเก็บของเหล่านั้นใส่กระเป๋าก่อนจะเงยหน้าหันไปทางชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นรสเข้าบ้านก่อนนะคะพี่คี ขับรถดีๆ นะคะ”
“อืม พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้เรียนไม่รู้เรื่อง พี่ไม่รู้ด้วยนะ” อัคคีขยิบตาทำท่าล้อเลียนจนคนฟังส่งค้อนให้อีกครั้ง รสสุคนธ์เปิดประตูลงจากรถและยืนมองรถของชายหนุ่มที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา หญิงสาวจึงหมุนตัวเดินเข้าไปภายในบ้านและพบกับเกรียงไกรที่เชิงบันไดชั้นสองพอดี
“เป็นยังไงบ้างลูก หนังสนุกไหม”
“สนุกค่ะคุณพ่อ คุณพ่อยังไม่นอนหรือคะ” รสสุคนธ์ตอบเต็มเสียงไม่ได้มีท่าทีเบลอๆ อย่างตอนที่อยู่กับอัคคีเลยสักนิด
“มีงานที่ต้องเคลียร์อีกนิดหน่อยน่ะ อยากจะรอลูกก่อนด้วย ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ค่ะ เรียบร้อยดี” คนเป็นลูกส่งยิ้มอย่างมีความหมาย เกรียงไกรพยักหน้าอย่างพอใจ
“ถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ เอาไว้ถ้าถึงเวลารสจะบอกนะคะ” รสสุคนธ์เดินไปสวมกอดพ่อของตนอย่างออดอ้อน เกรียงไกรจึงลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างเอ็นดู
“ไปพักผ่อนเถอะลูก ฝันดีนะลูกนะ”
“เช่นกันนะคะคุณพ่อ” หญิงสาวเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มบิดาของตน ก่อนจะกอดท่านแน่นๆ อีกครั้งแล้วผละออกมาเพื่อเข้าสู่ห้องนอนของตัวเองและทำธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อย
‘ถึงบ้านหรือยังคะพี่คี รสเป็นห่วงค่ะ’ รสสุคนธ์คว้าโทรศัพท์ของตนขึ้นมาส่งข้อความหาชายหนุ่มที่ยังคงทำให้ใจของเธอยังคงเต้นรัวจนถึงตอนนี้ หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วใช้ไดร์ค่อยๆ เป่าผมก่อนจะรีบคว้าเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมันส่งเสียงเตือน
‘ถึงแล้วล่ะ ขอบใจนะที่เป็นห่วง’
รสสุคนธ์ยิ้มกว้างทำท่าเคลิ้มฝันขณะอ่านข้อความของเขาก่อนจะต้องชะงักเมื่อเขาส่งข้อความต่อมา
‘แล้วพ่อของรสถามอะไรหรือเปล่า’
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่มือบางจะพิมพ์ข้อความตอบกลับ
‘ถามค่ะ แต่รสก็พยายามเลี่ยงๆ ให้ท่านคิดไปว่ารสไม่ค่อยมีความสุข ท่านจะได้รู้ไงคะว่าเราไม่เต็มใจคบกันเท่าไหร่’
‘ดีแล้วล่ะ วันที่เราจะคุยกับพวกท่านอีกทีจะได้ง่ายขึ้น’
รสสุคนธ์หน้าขรึมเมื่อได้เห็นข้อความตอกย้ำความคิดของชายที่เธอรักในยามนี้ มือบางยิ่งกำเข้าหากันแน่นเมื่อได้อ่านข้อความถัดไปของเขา
‘ถ้าอย่างนั้นพี่เตรียมตัวนอนก่อนนะ พี่ต้องตื่นไปรับน้ำตั้งแต่เช้า’
‘ค่ะพี่คี ฝันดีนะคะ’ รสสุคนธ์ส่งข้อความสุดท้ายพร้อมกับสติ๊กเกอร์เป็นตัวการ์ตูนทำท่านอนหลับหน้าตาน่ารักแต่ไม่มีคนอ่านอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวโยนโทรศัพท์ในมือลงบนเตียงอย่างขัดใจ แววตาของเธอมุ่งร้ายจ้องมองไปที่กระเป๋าถือของตน
พรุ่งนี้...คงต้องเลือกทาลิปสติกสีใหม่...
รสสุคนธ์เหยียดยิ้มก่อนจะหันกลับไปทางโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง เมื่อตอนนี้ลิปสติกสีโปรดของเธอที่เคยพกติดตัวมาตลอดไม่ได้อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว