“หนูชอบพี่ค่ะ!”
“.....” ร่างสูงของเทวินทร์หยุดเดินพร้อมกับมุมปากที่กระตุกขึ้นอย่างร้ายกาจโดยที่เธอไม่เห็น แต่แล้วมุมปากก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ชวนให้ความรู้สึกอบอุ่นหลังจากเขาหันกลับมามองหญิงสาวด้านหลังตัวเองอีกครั้ง หญิงสาวที่ตอนนี้กล้าเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็ยังไม่กล้าสบตาเขานาน หญิงสาวที่ใบหน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วยังไงต่อครับ” เทวินทร์ลองถามหยั่งเชิงเธอออกไปดูว่าเธอบอกชอบเขาแล้วจะพูดอะไรต่อ ชอบแล้วต้องทำยังไงต่อ
“.....” หัวคิ้วของคนตรงหน้าขมวดขึ้นเบาๆ หลังจากได้ยินคำถามของเขา แต่นั่นเพราะเธอไม่เข้าใจว่าเธอต้องทำยังไงต่อ ไม่เข้าใจในคำถามของเขาว่าแล้วยังไงต่อหมายถึงอะไร
เธอไม่เคยมีแฟนและไม่เคยบอกชอบผู้ชายที่ไหนมาก่อน แล้วมันต้องยังไงต่อดีล่ะ ส่วนนี้ต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ต้องพูดอะไรกับเธอ
“เบอร์ครับ” เทวินทร์เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะจำได้ที่เพื่อนเธอเคยบอกครั้งก่อนว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่เคยชอบใคร นี่ก็เท่ากับว่าไม่เคยมีแฟน เพราะแบบนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาเธออีกครั้งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองปลดล็อคแล้วให้เธอกดเบอร์ของเธอ
“.....” ปากอิ่มเอิบเผลอเม้มเบาๆ ระหว่างช้อนสายตาขึ้นมาลอบมองเขาแต่ก็ยื่นมือบางที่ดูเล็กและขาวเนียนของเธอรับโทรศัพท์จากมือของเทวินทร์แล้วกดเบอร์ตัวเองลงไปส่งให้กับเขา
หลังจากโทรศัพท์คืนถึงมือเจ้าของมันไม่นานความสั่นในกระเป๋าสะพายของพริมาก็สั่นขึ้นทำให้เธอรู้ว่าคงเป็นเขาที่โทรออกมาหาเธอก่อนความสั่นจะหยุดลงและร่างสูงตรงหน้าก็ก้มหน้าพิมพ์อะไรบางอย่างในโทรศัพท์
“น้องพริม” ชื่อที่เขาได้ยินเพื่อนเธอเรียกมากกว่าหนึ่งครั้งทำให้เขาจำได้และพิมพ์ลงในรายชื่อก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของเธอออกมาพร้อมกับมองหน้าเธอ หน้าของคนที่กำลังแดงราวกับมะเขือเทศ
“.....” พริมาได้ยินเขาเรียกชื่อของเธอหัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างแรงด้วยความดีใจที่เขาจำชื่อเธอได้ เธอไม่เคยอยากกรี๊ดออกมาเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าอยู่คนเดียวตอนนี้เธอคงตัวบิดเป็นเกลียวไปแล้วก็ว่าได้
“กลับห้องพักยังไงครับ” แล้วเทวินทร์ก็ถามขึ้นเพราะรู้ว่าเธอหมดคาบเรียนแล้ว
“ขะ...ขับรถกลับค่ะ” ทันทีที่เธออายุสิบแปดปีและได้บอกครอบครัวว่าอยากมาเรียนมหาลัยที่นี่แม่เธอก็ได้จัดการให้สอบใบขับขี่ไว้เลยเพราะจะได้เอารถมาไว้ใช้เพื่อความสะดวกและปลอดภัยกับการเดินทาง
ส่วนการขับรถเวลาอยู่บ้านเธอก็เคยขับบ่อยๆ ขับภายในเขตรั้วบ้านตั้งแต่ยังไม่มีใบขับขี่แล้วเลยไม่กลัวที่จะใช้รถในเมืองหลวงในครั้งแรก
“ไปสิ พี่ไปส่งที่รถ” แล้วเทวินทร์ก็พูดขึ้นเพราะตอนนี้บนอาคารแทบไม่เหลือนักศึกษาอยู่แล้วจะเดินไปคนเดียวให้เธอตามไปทีหลังคนเดียวก็ดูจะเกินไปหน่อย
แต่เขาไม่พูดเปล่า ฝ่ามือใหญ่กลับยื่นไปจับฝ่ามือเล็กของเธอมากุมไว้แล้วเดินจูงมือของเธอไปตามทางเดินเพื่อไปลิฟท์ทันที
“.....” พริมมาที่ไม่ได้ตั้งตัวทำได้เพียงเดินตามร่างสูงไปติดๆ เดินมองมือของเขาที่กำลังกุมมือของเธออยู่ด้วยหัวใจที่ฟูฟ่องแทบจะลอยอยู่แล้วก็ว่าได้
มันไม่ได้แย่หรือน่ากลัวอย่างที่คิดเลยสักนิดแม้จะตื่นเต้นราวกับคนเป็นโรคหัวใจที่ควบคุมอัตราจังหวะหัวใจไม่ได้ แต่มันกลับดีและโล่งอกมากที่ได้พูดความรู้สึกออกไป มันรู้สึกดีมากที่ผลลัพธ์เป็นแบบนี้ แค่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปก็ได้แลกเบอร์กัน และก็ได้เดินจับมือไปข้างๆ พี่เขาอย่างที่ไม่เคยกล้าคิดจะมีโอกาสนี้
“เรียนเป็นยังไงบ้าง” ระหว่างเดินตามทางที่มันเงียบเทวินทร์ก็ชวนเธอคุย
“ก็ดีค่ะ ไม่ยากอย่างที่คิด” เธอรู้สึกดีมากเลยนะที่ได้เดินข้างกันกับเขาแบบนี้และพูดคุยกันไป
“ได้คุยกับพี่รหัสบ้างหรือเปล่า เขาได้แนะนำอะไรบ้างไหม”
“คุยบ้างค่ะ พี่รินก็แนะนำเรื่องเรียนเรื่องกิจกรรม แล้วก็บอกว่าปรึกษาได้ทุกเรื่อง” เธอตอบออกไปอย่างที่เขาถาม ตอบออกไปอย่างคล่องแคล่วราวกับลืมอายไปแล้ว
แต่จริงๆ เธอแค่อยากคุยกับเขาให้มากๆ ต่อให้เธอจะยังกลัวและเขินอายเขาอยู่ก็ตาม
“กลัวพี่เหรอ” เทวินทร์เปลี่ยนเรื่องขึ้นถามเธอหลังจากหยุดหน้าลิฟท์เพื่อรอเพราะเธอก็ไม่กล้ามองหน้าเขาทั้งที่ตอนแรกแอบมองอยู่เรื่อยๆ
“ปละ...เปล่าค่ะ” ไม่ได้กลัวแต่เขินต่างหาก
“แล้วทำไมชอบหลบหน้า” เทวินทร์หันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอก้าวไปใกล้กว่าเดิมหนึ่งก้าวแล้วถามขึ้น
“ก็...ไม่กล้ามองนี่คะ” ไม่ได้ชอบหลบหน้า เธออยากเจอเขาบ่อยๆ อยากมองหน้าเขามากๆ แต่นั่นมันเป็นได้แค่การแอบมองฝ่ายเดียวไง ถ้าเกิดเขามองกลับมาหรือเห็นเธอนั่นคือสิ่งที่เธอกลัวและตื่นเต้นมากจนได้แต่หลบหน้าเขาตลอด
“แล้วยังไง เวลาคุยกันหรือเจอกันก็จะมองพื้นตลอด?” เทวินทร์ถามขึ้นอีกครั้ง
“.....” และนั่นก็ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาแต่มองแป๊บเดียวก็หลบสายตาอีกครั้งก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธคำพูดของเขา
“ไปเถอะ” ในเมื่อบอกว่าเธอไม่เคยมีแฟนงั้นก็คงต้องให้เวลาเธอหน่อยแล้วกัน จะไปแกล้งกดดันมากเดี๋ยวหัวใจวายพอดี
ภายในลิฟท์ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเพียงแต่เทวินทร์ก็ไม่ได้ปล่อยมือของพริมาเลยและเธอเองก็ให้เขาจับมือเดินไปทั้งแบบนั้นอย่างมีความสุขแทบอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ
“ขับรถดีๆ ล่ะ แล้วถ้ามีอะไรก็ติดต่อพี่ได้” เมื่อเดินมาส่งเธอถึงรถของเธอเทวินทร์ก็พูดขึ้นทั้งในฐานะผู้ชายคนหนึ่งและรุ่นพี่คนหนึ่ง
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” พริมาได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมากแต่พยายามเก็บอาการเอ่ยขอบคุณเขาออกไป
เธอหมุนตัวกำลังจะยื่นมือไปเปิดประตูแต่แล้วร่างสูงที่ตอนนี้ถือว่ายืนอยู่ด้านหลังของเธอก็ก้าวเข้ามาแทบจะประชิดเธอพร้อมกับยื่นมือมาจับมือจับประตูรถของเธอแทนก่อนรถจะปลดล็อคเพราะกุญแจอยู่ใกล้รถแล้วก่อนเขาจะเป็นฝ่ายดึงประตูรถเปิดให้ด้วยตัวเองจนพริมาเม้มปากเกร็งตัวแน่น
“เชิญครับ” คำพูดที่เพราะพริ้งดังขึ้นกับการกระทำที่ดูสุภาพมาก นั่นยิ่งทำให้พริมาหัวใจเต้นระรัวจนแทบหายใจไม่ทันจึงรีบพาตัวเองขึ้นประจำตำแหน่งคนขับและได้รับรอยยิ้มจากเขาพร้อมกับประตูรถที่ปิดลงอย่างนุ่มนวลไม่ดังเกินไป
“ใจเย็นๆ พริม ใจเย็นๆ” ประตูรถที่ปิดสนิทแล้วกั้นเสียงของเธอไม่ให้เขาได้ยินอีกทั้งฟิล์มรถที่มองจากข้างนอกไม่เห็นข้างในทำให้พริมากล้าที่จะพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างปิดไม่อยู่ เธอตื่นเต้น เธอดีใจ เธอทำตัวไม่ถูก และกำลังจะขับรถไม่ไหว เพราะแบบนั้นเธอจึงต้องนั่งสงบสติตัวเองให้เย็นลงก่อนจะได้ไม่มือไม้สั่นจนขับรถเกิดอุบัติเหตุได้
ร่างบางพ่นลมออกจากปากอย่างสงบลงและติดเครื่องยนต์ก่อนจะขับรถออกจากที่จอดและตรงกลับคอนโดของตัวเองไปทันที กลับไปเพ้อฝันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้อย่างที่พยายามเก็บอาการมาตลอดวินาทีและไม่ลืมโทรไปเม้าท์มอยกับเพื่อนสนิทที่เป็นแม่สื่อแม่ชักให้นั่นเอง
(กรี๊ดด! ฉันบอกแล้วไม่เชื่อถ้าแกบอกพี่เขาเร็วกว่านี้ตอนนี้คงได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปไกลกว่านี้แล้ว!) นิสาพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นกับเรื่องของเพื่อนหลังจากได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้น แบบนี้ค่อยคุ้มกับความกล้าที่เธอยอมวิ่งไปขอให้เขารอหน่อย
“ฉันตื่นเต้นมากเลยแก หัวใจฉันเกือบวายตายเลยแหละ ยิ่งได้อยู่ใกล้ยิ่งตื่นเต้น” พริมาพูดถึงอาการที่จนตอนนี้ที่นึกถึงก็ยังตื่นเต้นไม่หาย เป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอมีความสุขอย่างไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลยตั้งแต่กลับห้องมา
(ต่อไปนี้แกก็กล้าๆ หน่อย คิดยังไงรู้สึกแบบไหนก็พูดกับพี่เขาไปตรงๆ เลย อึกอักมากบางทีอาจจะทำให้ผู้ชายเขาเบื่อได้รู้หรือเปล่า) ปกติเพื่อนของเธอก็เป็นคนพูดเก่งคุยเก่งอยู่หรอก แต่นั่นมันกรณีที่พูดคุยกับคนที่สนิทหรือพูดคุยกับคนทั่วไป เทวินทร์เป็นผู้ชายคนแรกเลยที่ทำให้เพื่อนเธอเสียอาการได้มากขนาดนี้แต่เธอก็ไม่ลืมแนะนำออกไปตามที่พอจะรู้เรื่องแบบนี้อยู่บ้าง
“อืม ฉันจะพยายาม” อย่างน้อยการตอบรับความรู้สึกของเธอจนถึงขั้นแลกเบอร์แบบนี้มันก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าเทวินทร์ไม่ได้ไม่ชอบเธอ เพราะงั้นหลังจากนี้เธอก็จะกล้าให้มากกว่านี้เพราะเธอก็ไม่อยากให้เขาเบื่อเธอเหมือนกัน
(ดีมาก แล้วเบอร์ที่ได้มาก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ล่ะ ส่งข้อความไปหาพี่เขาบ้าง โทรหาบ้าง แต่อย่าถี่เกินไป เว้นช่องว่างให้เขาคิดถึงและโหยหาแกบ้าง) นิสาพูดขึ้นอีกครั้งราวกับผู้เชี่ยวชาญ แต่คนเป็นโค้ชก็แบบนี้แหละ
“ได้ๆ ฉันจะจำแล้วนำไปใช้” พริมาพูดกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อยก็วางสายไป วางพร้อมกับรอยยิ้มที่จนตอนนี้ยังไม่สามารถหุบลงได้เลย
“ไงมึง ได้เบอร์สาวมาแล้วทำไมออกมากับพวกกูได้” ชวดลทักเทวินทร์ขึ้นหลังจากเพื่อนเดินเข้ามาหาพวกเขาที่โต๊ะในคลับประจำทั้งที่พึ่งแลกเบอร์กับสาวสวยไปเพราะปกติแลกเบอร์กันปุ๊บก็จะต้องแลกพันธะทางเคมีกันต่อเลย
“แค่เจอหน้ากูยังไม่กล้ามองมึงคิดว่าจะข้ามขั้นเร็วขนาดนั้น?” เทวินทร์ย้อนถามเพื่อนตัวเองในสิ่งที่พวกมันก็รู้เห็นกัน
“เพื่อนน้องบอกว่าไม่เคยชอบใคร... แต่ทำไมต้องมาชอบมึงคนแรกด้วยวะ ไม่รู้หรือไงว่าทำให้ตัวเองอันตราย” กวินทร์พูดขึ้นอย่างเห็นใจสาวน้อยที่ไม่เคยมีประสบการณ์(ตามที่เพื่อนเธอบอกมา)และต้องมาเปิดโลกกับเสือร้ายอย่างเพื่อนเขา
“เออมึงแม่งเลว เห็นว่าน้องเขาดูบริสุทธิ์ขนาดนั้นถ้าไม่จริงจังแล้วจะทอดสะพานให้เขาทำไมวะ” ชวดลเสริมกวินทร์ขึ้นอย่างเห็นด้วยกับความบริสุทธิ์ที่หมายถึงนิสัยใจคอจากที่เห็นภายนอก คิดแล้วก็น่าสงสาร
“ก็น่ารักดี” มันจะแปลกตรงไหนหากมีคนสวยๆ น่ารักๆ มาชอบเราและอยากรู้จักกับเราโดยที่เราก็ยังโสดและพร้อมจะเรียนรู้กับทุกคนที่พอใจ
ส่วนจะพอใจกว่านี้ไหมก็ต้องรอดูตอนที่...
“มึงมันไร้หัวใจ!...”
“สงสารน้องพริมของกูจัง” แล้วชวดลก็ว่าให้เพื่อนก่อนจะพร่ำเพ้อออกมาอย่างนึกเห็นใจสาวน้อยที่สวยตรงสเปคเขาจริงๆ
เทวินทร์ได้แต่ส่ายหัวให้กับความตอแหลของเพื่อนก่อนจะเลิกสนใจและนั่งดื่มเหล้าของตัวเองก่อนที่โทรศัพท์เขาจะสั่นขึ้นเป็นข้อความจากสาวน้อยโลกสดใส
Prim: ส่งสติกเกอร์บอกฝันดีถึงคุณ