บทที่ 8

1915 คำ
ความเงียบงันเข้าปกคลุมท้องพระโรงราวกับหมอกหนา ทันทีที่คำถามเชือดเฉือนของเซี่ยเหยียนอวี่หลุดออกมา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ฉินลี่หรงเป็นจุดเดียว “...หรือว่าท่าน... รู้จักหมึกชนิดนี้ดี?” ฉินลี่หรงยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มมั่นใจบัดนี้ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมผ่านแผ่นหลัง เขาตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่าตนเองก้าวพลาดอย่างมหันต์ ไม่ใช่แค่พลาดที่ประเมินศัตรูต่ำไป แต่พลาดที่หลงกลเดินตามเกมที่เด็กหนุ่มผู้นี้วางไว้ตั้งแต่ต้น สมุดบัญชีที่ว่างเปล่าตรงหน้า ไม่ต่างอะไรกับหลุมพรางที่เปิดอ้ารอรับร่างของเขา "ข้า... ข้าจะไปรู้จักหมึกพิสดารเช่นนั้นได้อย่างไร?" ฉินลี่หรงพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น "ข้าเพียงแต่ตกใจ... ที่หลักฐานสำคัญกลับเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ หรือว่านายน้อยเซี่ยเล่นกลสิ่งใด?" "เล่นกล?" เหยียนอวี่เลิกคิ้ว แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ "ใต้เท้าฉิน ท่านเป็นคนนำบัญชีเล่มนี้มาถวายเองกับมือมิใช่หรือ? หากจะมีใครเล่นกล คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นคนที่เตรียมหลักฐานมา... หรือท่านจะบอกว่า บัญชีเล่มนี้ท่านมิได้ตรวจสอบมาก่อน?" "ข้า..." ฉินลี่หรงพูดไม่ออก เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากยอมรับว่าตรวจสอบแล้ว ก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิดใช้เอกสารปลอม แต่หากบอกว่าไม่ได้ตรวจสอบ ก็เท่ากับละเลยหน้าที่ นำความเท็จมากราบทูลเบื้องสูง องค์ชายจวิ้นอี่ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ทอดพระเนตรดูละครฉากนี้ด้วยแววตาเย็นเยียบ พระองค์เห็นธาตุแท้ของขุนนางหนุ่มผู้นี้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ "ฉินลี่หรง" จวิ้นอี่เอ่ยเสียงต่ำ ทรงอำนาจ "เจ้ากล่าวหาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ว่าทุจริต เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่หลักฐานที่เจ้านำมากลับกลายเป็นเพียงกระดาษเปล่าที่เปื้อนหมึกยางสน... เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?" ฉินลี่หรงรู้ตัวว่าจนมุม เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสละเบี้ยเพื่อรักษาขุน ตุบ! ฉินลี่หรงคุกเข่าลงกระแทกพื้นเสียงดัง ใบหน้าฉายแววสำนึกผิดจอมปลอมอย่างรวดเร็ว "ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตา! กระหม่อมโง่เขลาเบาปัญญา ถูกคนชั่วชักใย!" ฉินลี่หรงโขกศีรษะกับพื้น "บัญชีเล่มนี้... มีผู้หวังดีประสงค์ร้ายนำมาวางไว้ที่หน้าจวนกระหม่อม พร้อมจดหมายร้องเรียน กระหม่อมเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่กระทบต่อราชสำนัก จึงรีบร้อนนำมาถวายโดยมิทันได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน ไม่นึกเลยว่า... จะเป็นแผนการใส่ร้ายป้ายสีใต้เท้าเซี่ย!" "ผู้หวังดีประสงค์ร้าย?" จวิ้นอี่แค่นหัวเราะ "แล้วคนผู้นั้นคือใคร?" "กระหม่อม... กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมยินดีรับโทษฐานสะเพร่าเลินเล่อ ขอฝ่าบาทลงอาญา!" เหยียนอวี่มองการแสดงละครฉากใหญ่นั้นด้วยความขยะแขยง ลื่นไหลราวกับปลาไหลอาบน้ำมัน... ในชาติก่อน ฉินลี่หรงก็ใช้วิธีนี้เอาตัวรอดมานักต่อนัก โยนความผิดให้บุคคลนิรนามแล้วตัวเองก็รับโทษสถานเบา แลกกับการรักษาภาพลักษณ์ขุนนางตงฉินผู้ถูกหลอกใช้ "ฝ่าบาท" เหยียนอวี่ก้าวออกมาข้างหน้า ประสานมือคารวะ "ในเมื่อใต้เท้าฉินยืนยันว่าตนเองถูกหลอกใช้ และบัญชีฉบับนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นของปลอม... เช่นนั้นความบริสุทธิ์ของท่านพ่อข้า ก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?" จวิ้นอี่พยักหน้า “ถูกต้อง ใต้เท้าเซี่ยจงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด ข้อกล่าวหาทั้งหมดถือเป็นโมฆะ ส่วนฉินลี่หรง” สายตาคมกริบตวัดกลับมามองร่างที่หมอบราบอยู่ "ถึงเจ้าจะอ้างว่าถูกหลอก แต่การนำความเท็จมาทูลเกล้าฯ สร้างความแตกแยกในหมู่ขุนนาง โทษทัณฑ์นั้นละเว้นไม่ได้... สั่งลงโทษฉินลี่หรง หักเบี้ยหวัดหนึ่งปี กักบริเวณในจวนสามเดือน และให้คัดลอกกฎมณเฑียรบาลร้อยจบ เพื่อให้หลาบจำว่าก่อนจะกล่าวหาผู้ใด ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ!" "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา!" ฉินลี่หรงรับคำเสียงสั่น แม้โทษทัณฑ์จะไม่ถึงตาย แต่การถูกหักหน้ากลางสภาขุนนางเช่นนี้ นับเป็นความอัปยศที่เขาจะไม่มีวันลืม การประชุมจบลงด้วยชัยชนะของตระกูลเซี่ย ขุนนางทั้งหลายต่างพากันเข้ามาแสดงความยินดีกับเซี่ยจง ส่วนฉินลี่หรงรีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสุนัขจนตรอก เหยียนอวี่เดินตามบิดาออกมาที่หน้าประตูวัง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่แผ่นหลังไวๆ ของฉินลี่หรง "นายน้อยเซี่ย" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเรียกเขาไว้ เหยียนอวี่หันกลับไป พบกับองค์ชายจวิ้นอี่ที่เดินตามออกมาพร้อมกับหลิวจื้อเฉินองครักษ์คู่ใจ "ถวายบังคมฝ่าบาท" เหยียนอวี่และเซี่ยจงรีบทำความเคารพ "ใต้เท้าเซี่ย ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะตรัสกับบุตรชายท่านสักครู่" เซี่ยจงมองลูกชายสลับกับองค์ชายด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาที่มั่นคงของเหยียนอวี่ เขาก็ยอมถอยออกไปรอที่รถม้า เมื่อเหลือกันเพียงลำพัง องค์ชายจวิ้นอี่จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเหยียนอวี่ แววตาของพระองค์เต็มไปด้วยความสงสัยและความชื่นชมระคนกัน "เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก" จวิ้นอี่เอ่ยชม "หมึกยางสนดำ... เจ้าไปรู้วิธีการนี้มาจากไหน?" เหยียนอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "กระหม่อมชอบอ่านหนังสือแปลกๆ พะย่ะค่ะ เรื่องพวกนี้เป็นเพียงกลเม็ดเดรัจฉานวิชา ไม่นึกว่าจะได้นำมาใช้จริง" "กลเม็ดเดรัจฉานวิชา..." จวิ้นอี่ทวนคำ "แต่กลเม็ดนี้ช่วยชีวิตพ่อเจ้า และช่วยหน้าข้าไว้... เจ้ารู้ไหม ว่าวันนี้เจ้าดูน่ากลัวกว่าฉินลี่หรงเสียอีก" เหยียนอวี่เงยหน้าขึ้นสบตา แววตาไหววูบ "ฝ่าบาททรงรังเกียจหรือพะย่ะค่ะ? ที่กระหม่อมเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย" "ตรงกันข้าม" จวิ้นอี่ก้าวเข้ามาประชิดตัว ลดเสียงลงกระซิบ "ข้ากลับรู้สึกว่า... เจ้าในวันนี้ ดูมีชีวิตชีวาและน่าค้นหายิ่งกว่าดอกบัวขาวที่ไร้เดียงสาเสียอีก" คำพูดนั้นทำให้หัวใจของเหยียนอวี่กระตุก เขาเผลอก้าวถอยหลัง แต่ก็ชนเข้ากับเสาหินด้านหลัง จวิ้นอี่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นยันเสาไว้ กักขังเขาไว้อีกครั้งในพันธนาการที่มองไม่เห็น "เจ้ามีความลับมากมายนะ เซี่ยเหยียนอวี่" จวิ้นอี่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย "ทั้งเรื่องอาการป่วยประหลาด ทั้งเรื่องหมึกยางสน... และเรื่องที่เจ้ามองข้าด้วยสายตาเหมือนคนรู้จักกันมาแรมปี" "กระหม่อม..." "ข้าจะไม่คาดคั้นเจ้า" จวิ้นอี่ถอนหายใจ ผละตัวออกมาเล็กน้อย "แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้... วันนี้เจ้าสร้างศัตรูที่น่ากลัวขึ้นมาแล้ว ฉินลี่หรงไม่ใช่คนที่จะยอมจบง่ายๆ เขาเหมือนงูพิษ ยิ่งบาดเจ็บ ยิ่งดุร้าย" "กระหม่อมทราบดีพะย่ะค่ะ" เหยียนอวี่ตอบเสียงแข็ง "และกระหม่อมก็เตรียมยาถอนพิษไว้รอเขาแล้วเช่นกัน" จวิ้นอี่ยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่หาดูได้ยากจากเทพสงครามผู้เย็นชา "ดี... ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเสนอตัวเป็นผู้ช่วยปรุงยาให้เจ้า จะได้หรือไม่?" เหยียนอวี่มองชายตรงหน้าด้วยความสับสน ในชาติก่อน จวิ้นอี่ไม่เคยสนใจการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก พระองค์สนเพียงการทหารและการปกครอง แต่ในชาตินี้... ทำไมพระองค์ถึงก้าวเข้ามาพัวพันกับเขามากขนาดนี้? "ฝ่าบาททรงเป็นถึงองค์ชาย ไม่ควรลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับโคลนตม" เหยียนอวี่ปฏิเสธทางอ้อม "ข้าไม่สน" จวิ้นอี่ตอบทันควัน "ข้าสนใจแค่ว่า... โคลนตมนั้นจะเปื้อนเจ้าหรือไม่ หากใครคิดจะทำร้ายเจ้า ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ จำคำข้าไว้" จวิ้นอี่ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในวัง ทิ้งให้เหยียนอวี่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ความรู้สึกอบอุ่นวาบขึ้นมาในอกข้างซ้ายที่เคยเจ็บปวด ทำไมท่านถึงเพิ่งมาทำดีกับข้าในตอนนี้... ในตอนที่ข้าตัดสินใจจะเลิกรักท่านแล้ว … … ... ขณะเดียวกัน ที่มุมมืดของกำแพงวังด้านนอก หลิวจื้อเฉินที่ได้รับคำสั่งลับจากองค์ชายให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหว กำลังยืนพิงต้นไม้อย่างเบื่อหน่าย สายตาของเขาสอดส่ายไปทั่ว จนกระทั่งไปสะดุดเข้ากับร่างโปร่งบางในชุดหมอหลวงที่กำลังเดินแบกตะกร้าสมุนไพรออกมาจากประตูข้าง ไป๋เหวินเจี๋ย "ท่านหมอไป๋?" จื้อเฉินร้องทัก "มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้?" ไป๋เหวินเจี๋ยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทำหน้าดุใส่ "ใครลับๆ ล่อๆ? ข้าออกมาเก็บสมุนไพรตามคำสั่งนายน้อยเซี่ยต่างหาก แล้วเจ้าล่ะ องครักษ์หน้ามึน มาแอบอู้ราชการตรงนี้หรือ?" "ข้าปฏิบัติภารกิจลับอยู่ต่างหาก" จื้อเฉินยักคิ้ว ก้าวเข้าไปดูตะกร้าของอีกฝ่าย "ไหนดูซิ... หญ้าลิ้นงู? รากหนอนตายยาก? นายน้อยเซี่ยจะเอาของพิษพวกนี้ไปทำอะไร?" "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า" ไป๋เหวินเจี๋ยปัดมืออีกฝ่ายออก "และนี่ไม่ใช่ของพิษ... ถ้าใช้ถูกวิธี มันคือยารักษาชีวิตคน" "รักษาหรือฆ่า ก็ขึ้นอยู่กับคนใช้สินะ" จื้อเฉินพึมพำ สายตาคมเข้มมองหมอหนุ่มอย่างพิจารณา "เหมือนกับเจ้า... ดูภายนอกเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วซ่อนเข็มไว้ข้างใน" "ถ้าเจ้าไม่มีธุระ ข้าจะไปแล้ว" ไป๋เหวินเจี๋ยตัดบท หน้าขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าโกรธหรือเขิน "ข้ามีงานต้องทำอีกมาก ไม่ว่างมาต่อปากต่อคำกับคนว่างงาน" หมอหนุ่มเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว จื้อเฉินมองตามหลังพลางหัวเราะในลำคอ "น่าสนใจ..." องครักษ์หนุ่มพึมพำ "คนรอบตัวนายน้อยเซี่ย มีแต่คนน่าสนใจทั้งนั้น" … … ... คืนนั้น ณ จวนตระกูลฉิน ฉินลี่หรงนั่งดื่มสุราเพียงลำพังในห้องมืด แววตาแดงก่ำด้วยความเมามายและความแค้น เขาจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในจอกสุรา "เซี่ย... เหยียน... อวี่..." เขาบดขยี้ชื่อนั้นด้วยฟันกราม มือปัดจอกสุราจนกระเด็น "เจ้าคิดว่าชนะข้าได้แล้วงั้นหรือ? คิดว่าการมีองค์ชายหนุนหลังจะทำให้เจ้าปลอดภัยงั้นหรือ?" ฉินลี่หรงลุกขึ้นยืนโซซัดโซเซ เดินไปที่ตู้ลับหลังภาพวาด หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมา ภายในนั้นบรรจุขวดกระเบื้องสีดำสนิทที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา "ในเมื่อเล่นงานเจ้าทางตรงไม่ได้... ข้าก็จะเล่นงานจุดอ่อนของเจ้าแทน" เขานึกถึงสายตาห่วงใยที่เหยียนอวี่มองไป๋เหวินเจี๋ยในงานคัดเลือก และความสนิทสนมผิดปกติระหว่างสองคนนั้น "ตัดแขนซ้ายแขนขวาของมันซะ... แล้วดูซิว่านกปีกหักอย่างเจ้า จะบินหนีข้าไปได้สักกี่น้ำ!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม