ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้ายามรัตติกาล สาดแสงสีเงินยวบยาบลงมากระทบหลังคาวังหลวงที่เงียบสงัด
ภายในสำนักหมอหลวงแสงไฟจากตะเกียงดวงสุดท้ายเพิ่งจะมอดดับลง ไป๋เหวินเจี๋ ก้าวเท้าออกมาจากห้องปรุงยาด้วยความอ่อนล้า เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนคลุกคลีอยู่กับสมุนไพรนับร้อยชนิด เพื่อปรุงยาระงับอาการปวดให้เซี่ยเหยียนอวี่ และยาบำรุงหัวใจสูตรพิเศษสำหรับมารดา
กลิ่นสมุนไพรฉุนจมูกยังคงติดอยู่ตามเสื้อผ้า เขาถอนหายใจยาว ขยับคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า เส้นทางกลับเรือนพักแพทย์หลวงในยามนี้ช่างเงียบเชียบและวังเวง มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ร้องระงม
ตึก...
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง หมอหนุ่มชะงักฝีเท้า สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนถึงความผิดปกติ
เขาแสร้งทำเป็นจัดสายสะพายย่าม แต่หางตาเหลือบมองไปที่เงามืดใต้ต้นไทรใหญ่
ไม่มีใคร... หรืออย่างน้อยก็ไม่มีใครที่อยากให้เขาเห็น
ไป๋เหวินเจี๋ยกำเข็มเงินที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อแน่น เขาเร่งฝีเท้าขึ้น เดินลัดเลาะไปตามทางเดินหินอ่อนที่ทอดยาวสู่เขตที่พักอาศัย แต่ยิ่งเดิน เสียงฝีเท้านั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
และไม่ได้มีแค่หนึ่ง... แต่มีถึงสาม
"ออกมาเถอะ" ไป๋เหวินเจี๋ยหยุดเดิน หันกลับไปเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า "พวกเจ้าคงไม่ได้ตามข้ามาเพื่อขอใบสั่งยาหรอกกระมัง?"
สิ้นคำพูด เงาดำสามสายก็พุ่งวาบออกมาจากพุ่มไม้และหลังคาศาลา ล้อมกรอบหมอหนุ่มเอาไว้ทุกทิศทาง
บุรุษชุดดำสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ในมือถือมีดสั้นวาววับที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายมรณะ
"ท่านหมอไป๋ช่างหูไวตาไว" หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "น่าเสียดาย... ที่คืนนี้ท่านจะต้องใช้ทักษะรักษาตัวเองเสียแล้ว"
"ใครส่งพวกเจ้ามา?" ไป๋เหวินเจี๋ยถามเสียงเรียบ แม้ในใจจะเต้นระรัว แต่เขารู้ว่าความกลัวไม่ได้ช่วยให้รอด "ถ้าเป็นเรื่องเงินทอง ข้ามีไม่มาก..."
"เราไม่ต้องการเงิน" นักฆ่าหัวเราะหึๆ “นายท่านฝากมาบอกว่า... คนที่เป็นแขนขาให้เซี่ยเหยียนอวี่ สมควรถูกตัดทิ้ง'!"
พูดจบ มันก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที!
ไป๋เหวินเจี๋ยเบิกตากว้าง เขาเป็นหมอ ไม่ใช่นักรบ สิ่งเดียวที่ทำได้คือซัดเข็มเงินในมือออกไปเพื่อสกัดจุด แต่ศัตรูเป็นยอดฝีมือ มันปัดเข็มทิ้งได้อย่างง่ายดาย คมมีดพุ่งตรงมาที่ลำคอของเขา
ชีวิตข้าจบกันแค่นี้หรือ?
เคร้ง!
เสียงโลหะปะทะกันดังสนั่นจนเกิดประกายไฟวาบ ก่อนที่คมมีดสังหารจะถึงคอหอยของไป๋เหวินเจี๋ย ดาบยาวเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาขวางไว้ได้ทันท่วงที แรงปะทะทำให้นักฆ่าชุดดำกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
ร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์สีดำสนิทมายืนขวางอยู่เบื้องหน้า แผ่นหลังกว้างนั้นดูแข็งแกร่งดุจกำแพงเหล็ก
"รังแกหมอไม่มีทางสู้... ช่างไร้เกียรติสิ้นดี"
เสียงทุ้มกวนประสาทที่คุ้นหูดังขึ้น หลิวจื้อเฉินสะบัดดาบในมือ แววตาคมเข้มที่เคยขี้เล่นบัดนี้วาวโรจน์ด้วยรังสีฆ่าฟัน "ข้ากะแล้วว่าสุนัขจนตรอกอย่างฉินลี่หรงต้องเล่นวิธีสกปรก"
"จื้อเฉิน?" ไป๋เหวินเจี๋ยอุทานด้วยความตะลึง "เจ้ามาได้ยังไง?"
"ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าทำภารกิจลับ" จื้อเฉินหันมาขยิบตาให้ทีหนึ่ง "ภารกิจปกป้องคนสำคัญของนายน้อยเซี่ย... และของข้าด้วย"
คำพูดกำกวมนั้นทำให้หน้าของหมอหนุ่มร้อนผ่าว แต่สถานการณ์ไม่เอื้อให้อาย นักฆ่าอีกสองคนที่เหลือเห็นท่าไม่ดีจึงพุ่งเข้ามาพร้อมกัน
"หลบไป!" จื้อเฉินผลักไป๋เหวินเจี๋ยไปด้านหลัง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่กลุ่มนักฆ่าอย่างไม่เกรงกลัว
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด หลิวจื้อเฉินมีฝีมือดาบที่เก่งกาจสมกับเป็นองครักษ์คู่ใจท่านอ๋อง เขาต้านทานนักฆ่าสามคนได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่กระจอก พวกมันใช้กลยุทธ์หมาหมู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ แถมยังมีอาวุธลับซุกซ่อนอยู่
"ระวัง!"
ไป๋เหวินเจี๋ยตะโกนลั่น เมื่อเห็นนักฆ่าคนหนึ่งซัดผงพิษใส่หน้าจื้อเฉิน
องครักษ์หนุ่มกลั้นหายใจทัน แต่ผงพิษนั้นกัดกร่อนเสื้อผ้าและทำให้ทัศนวิสัยพร่ามัว จังหวะนั้นเอง นักฆ่าอีกคนก็ตวัดมีดเข้าที่ต้นแขนซ้ายของเขา
ฉึก!
เลือดสีแดงสดพุ่งออกมา จื้อเฉินกัดฟันกรอด ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว เขาตวัดดาบกลับฟันเข้าที่กลางลำตัวของนักฆ่าคนนั้นจนล้มลง
"บังอาจทำเสื้อข้าขาด!" จื้อเฉินคำรามด้วยความโกรธและความเจ็บ ก่อนจะไล่ต้อนนักฆ่าที่เหลือจนพวกมันเห็นท่าไม่ดี รีบแบกร่างเพื่อนที่บาดเจ็บหนีหายไปในความมืด
เมื่อศัตรูจากไป ความเงียบก็กลับคืนมาอีกครั้ง
จื้อเฉินทรุดตัวลงนั่งชันเข่า หอบหายใจหนักหน่วง เลือดจากต้นแขนไหลหยดลงบนพื้นหิน
"เจ้าบาดเจ็บ!" ไป๋เหวินเจี๋ยรีบถลันเข้ามาดูแผล สีหน้าของหมอหนุ่มซีดเผือดยิ่งกว่าคนเจ็บเสียอีก "แผลลึกมาก... ข้าต้องรีบห้ามเลือด"
"ไกลหัวใจน่า ท่านหมอ" จื้อเฉินยังคงยิ้มได้ แม้หน้าจะเริ่มซีด "แค่นี้สบายมาก เทียบไม่ได้กับตอนที่ข้า..."
"หุบปาก!" ไป๋เหวินเจี๋ยดุเสียงเขียว มือไม้สั่นเทาขณะรีบฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาพันแผลให้ "ถ้าเจ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะเย็บปากเจ้าแทนเย็บแผล!"
จื้อเฉินมองท่าทางร้อนรนของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แววตาของหมอหนุ่มที่มักจะเย็นชา บัดนี้เต็มไปด้วยความห่วงใยและความตื่นตระหนก
"ข้าดีใจนะ..." จื้อเฉินเอ่ยเบาๆ "ที่ดีใจไม่ใช่เพราะได้แผล แต่ดีใจที่มาทัน... ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป ข้าคง..."
คำพูดที่เหลือกลืนหายไปในลำคอ เมื่อไป๋เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นสบตา แววตาคู่นั้นสั่นระริก
"เจ้ามันบ้า" ไป๋เหวินเจี๋ยว่าเสียงเครือ "ทำไมต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อข้า? ข้าเป็นแค่หมอ..."
"เจ้าเป็นมากกว่านั้น" จื้อเฉินยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นเช็ดคราบเขม่าออกจากแก้มใสของอีกฝ่าย "เจ้าเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม... และเป็นคนที่ทำให้ข้าอยากแกล้งไปตลอดชีวิต"
…
…
...
เช้าวันต่อมา ณ เรือนตระกูลเซี่ย
เซี่ยเหยียนอวี่นั่งฟังรายงานจากไป๋เหวินเจี๋ยและหลิวจื้อเฉินที่มีผ้าพันแผลพันรอบแขนด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดถึงขีดสุด
มือเรียวกำพนักเก้าอี้แน่นจนได้ยินเสียงลั่นกรอบ
"ฉินลี่หรง..." เหยียนอวี่เค้นเสียงต่ำ รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจนคนทั้งห้องรู้สึกหนาวสะท้าน "มันกล้าแตะต้องคนของข้า"
เขาคาดไว้แล้วว่าฉินลี่หรงจะต้องตอบโต้ แต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีสกปรกอย่างการส่งนักฆ่ามาเก็บหมอหลวง การกระทำครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า อีกฝ่ายเริ่มจนตรอกและพร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่สนกฎเกณฑ์
"ข้าขอโทษ" เหยียนอวี่หันมามองไป๋เหวินเจี๋ยและจื้อเฉินด้วยสายตาสำนึกผิด "เป็นเพราะข้าดึงพวกท่านเข้ามาเกี่ยวข้อง..."
"อย่าพูดเช่นนั้น นายน้อย" จื้อเฉินรีบแย้ง "พวกเราเลือกเองที่จะยืนข้างท่าน และแผลแค่นี้... ถือเป็นเหรียญตราเกียรติยศที่ได้ปกป้องคนสำคัญ"
"ถูกต้อง" ไป๋เหวินเจี๋ยเสริม แม้สีหน้าจะยังดูเป็นกังวล "แต่นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าเราประมาทไม่ได้ ยาพิษที่พวกมันใช้เมื่อคืน... ข้าตรวจสอบดูแล้ว มันคือผงสลายกระดูก ซึ่งเป็นของต้องห้ามในยุทธภพ แสดงว่าฉินลี่หรงมีสายสัมพันธ์กับพวกมิจฉาชีพนอกด่าน"
เหยียนอวี่พยักหน้าช้าๆ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
"ในเมื่อมันเล่นสกปรก... เราก็จะเลิกเล่นตามกติกา"
เหยียนอวี่ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังทิศทางของวังหลวง
"จื้อเฉิน เจ้าพักรักษาตัวให้หายดี ส่วนพี่ไป๋... ข้าต้องการยาตัวใหม่"
"ยาอะไร?"
"ยาที่จะทำให้คนพูดความจริงโดยไม่รู้ตัว" เหยียนอวี่หันกลับมา แววตาเป็นประกายวาววับ "ในเมื่อฉินลี่หรงชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ข้าก็จะทำให้เครื่องมือของมันหันกลับมาทิ่มแทงมันเอง... งานเลี้ยงชมจันทร์ในอีกสามวันข้างหน้า จะเป็นเวทีที่ข้าจะกระชากหน้ากากคนดีของมันออกมา!"
…
…
...
ในขณะเดียวกันที่ตำหนักบรรทม
องค์ชายจวิ้นอี่กำลังอ่านรายงานลับที่หลิวจื้อเฉินส่งมาให้เมื่อเช้ามืด พระหัตถ์กำกระดาษแน่นจนยับยู่
"กล้ามาก..." จวิ้นอี่คำราม "กล้าส่งนักฆ่าไล่ล่าคนในเขตวังหลวง... ฉินลี่หรง เจ้าเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรือไร!"
พระองค์รู้ดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่หมอไป๋ แต่คือการตัดกำลังของเหยียนอวี่ และข่มขวัญให้กลัว
"เตรียมรถม้า" จวิ้นอี่สั่งขันทีหน้าห้อง "ข้าจะไปจวนตระกูลเซี่ย"
"ฝ่าบาทจะเสด็จไปอีกแล้วหรือพะย่ะค่ะ? แต่ข่าวลือเพิ่งจะซาลง..."
"ข้าไม่สนข่าวลือ!" จวิ้นอี่ตวาด "ข้าสนแค่ว่า... ตอนนี้เหยียนอวี่กำลังตกอยู่ในอันตราย และข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องเขา แม้แต่ปลายเล็บ!"
ความทรงจำที่เลือนรางในหัวเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีเรื่องอันตรายเข้ามาใกล้เหยียนอวี่ ความรู้สึกหวงแหนและหวาดกลัวการสูญเสียมันรุนแรงจนเขาควบคุมไม่ได้
ข้าจะไม่ยอมเสียเจ้าไปอีก... ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครในความทรงจำข้าก็ตาม