ยามค่ำในวังหลวง แสงจันทร์สาดส่องลงสู่ลานเล็กนอกตำหนักหย่งชิง โคมกระดาษสีแดงที่แขวนอยู่ตามระเบียงสั่นไหวตามสายลม กลิ่นดอกเหมยจาง ๆ ลอยอบอวลในอากาศ เซี่ยเหยียนอวี่ไม่อยู่ในตำหนักคืนนี้ เนื่องจากได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในตำหนักหลานหวา ลานแห่งนี้จึงเงียบสงัด ยกเว้นเสียงหัวเราะเบา ๆ และการสนทนาที่ดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ไป๋เหวินเจี๋ยและหลิวจื้อเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มเงาของต้นสน ถ้วยสุราดินเผาวางเรียงอยู่ข้างกาน้ำชาเก่า ๆ สุราหอมหวานที่ทั้งคู่แบ่งปันส่งกลิ่นลอยไปตามสายลม
ไป๋เหวินเจี๋ยในชุดสีเทาอ่อน ผมยาวมัดหลวมด้วยริบบิ้นสีดำ ใบหน้าสง่างามของเขาฉายแววผ่อนคลายผิดจากปกติ ดวงตาคู่คมที่มักซ่อนความลึกลับประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะยกถ้วยสุราขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ หลิวจื้อเฉิน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “ว่าการเป็นองครักษ์ที่จงรักภักดีเช่นเจ้า... มันน่าเบื่อเพียงใด?”
หลิวจื้อเฉินที่นั่งตรงข้ามในชุดสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย เขายกถ้วยสุราขึ้นจิบ สายตาคู่เข้มจ้องไป๋เหวินเจี๋ยราวต้องการจะประเมิน “และเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ หมอหลวง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “ว่าการซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและคอยช่วยเล่นเกมลับ ๆ ของนายน้อยเซี่ยเช่นเจ้า... มันน่าสงสัยเพียงใด?”
ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง ความตึงเครียดลอยอยู่ในอากาศราวสายธนูที่ถูกดึงตึง ก่อนที่ไป๋เหวินเจี๋ยจะหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นนุ่มนวลราวสายลม “เจ้านี่ปากแข็งยิ่งนัก” เขากล่าว “ข้าเพียงแกล้งเจ้าเล่น อย่าทำหน้าดุเช่นนั้นสิ มันทำให้สุราเสียรสชาติ”
หลิวจื้อเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มิใช่รอยยิ้มเต็มที่ แต่ก็เพียงพอที่จะคลายความตึงเครียด “เจ้ามักพูดจาให้คนอื่นรำคาญเสมอหรือไม่?” เขาถาม “หรือข้าเป็นเป้าหมายพิเศษของเจ้า?”
ไป๋เหวินเจี๋ยเอียงศีรษะ สายตาของเขาฉายแววขี้เล่น “บางทีเจ้าอาจพิเศษกว่าที่เจ้าเองคิด” เขากล่าว ก่อนยกถ้วยสุราขึ้นจิบ “แต่บอกข้ามาก่อน เหตุใดเจ้าถึงยอมเสี่ยงเพื่อนายน้อยเซี่ย? ความภักดีของเจ้ามัน... หนักแน่นเกินกว่าที่ข้าจะเข้าใจ”
คำถามนั้นทำให้หลิวจื้อเฉินนิ่งลง เขามองถ้วยสุราในมือราวครุ่นคิดบางอย่าง “นายน้อยเซี่ย... เขามีบางอย่างที่ราชสำนักต้องการ” เขากล่าวช้า ๆ “หัวใจที่แข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นที่มิอาจสั่นคลอน ข้าเห็นมันในสายตาของเขา เหมือนคนที่เคยสูญเสียทุกอย่างและจะไม่ยอมให้มันเกิดซ้ำอีก”
ไป๋เหวินเจี๋ยยกคิ้ว “เจ้าพูดราวกับเจ้ารู้จักเขามานาน” เขากล่าว “แต่เจ้าเพิ่งพบเขาไม่นานมิใช่หรือ? หรือความภักดีของเจ้ามันง่ายถึงเพียงนั้น?”
หลิวจื้อเฉินขมวดคิ้ว สายตาของเขาเข้มขึ้น “เจ้ากำลังตั้งคำถามถึงเกียรติของข้า?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น “ข้าเป็นองครักษ์ ความภักดีของข้าคือมีไว้เพื่อราชสำนักและผู้ที่สมควรได้รับมัน ไม่เหมือนเจ้า ที่ดูเหมือนจะภักดีต่อตัวเองเท่านั้น”
คำพูดนั้นเปรียบดั่งหินที่โยนลงน้ำนิ่ง ไป๋เหวินเจี๋ยชะงัก สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าไร้ความภักดี?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง “ข้าเลือกช่วยนายน้อยเซี่ยเพราะข้าเห็นสิ่งที่เจ้าเห็น แต่ข้ามิได้ตาบอดด้วยคำว่าหน้าที่ ข้าต้องการปกป้องคนที่สมควรได้รับมัน... และบางครั้ง นั่นหมายถึงการช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังก็เท่านั้น”
ทั้งสองนิ่งเงียบครู่หนึ่ง สายลมพัดผ่าน ทำให้โคมกระดาษสั่นไหว หลิวจื้อเฉินถอนหายใจ วางถ้วยสุราลงบนโต๊ะ “บางทีข้าอาจตัดสินเจ้าเร็วเกินไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลง “แต่เจ้า... ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา มันมิใช่ความรู้สึกที่น่าพอใจ”
ไป๋เหวินเจี๋ยยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นอบอุ่นกว่าก่อน “บางทีข้าอาจชอบจับตามองเจ้ามากเกินไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงการหยอกเย้า “เจ้ามีใบหน้าที่ดึงดูดสายตา โดยเฉพาะเมื่อเจ้าโกรธ”
หลิวจื้อเฉินชะงัก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงนั้นทุ้มและจริงใจ “เจ้านี่มัน...” เขากล่าว พร้อมส่ายหัว “ข้าควรระวังคำพูดของเจ้าให้มากกว่านี้”
ทั้งสองยกถ้วยสุราขึ้นชนกัน เสียงดินเผากระทบกันดังเบา ๆ ในความเงียบของค่ำคืน ไป๋เหวินเจี๋ยมองหลิวจื้อเฉินผ่านขอบถ้วย สายตาของเขาฉายแววบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มิใช่เพียงการหยอกเย้า แต่เป็นความสนใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ “บอกข้าสักเรื่อง” เขากล่าวหลังจิบสุรา “เจ้ามีชีวิตนอกเหนือจากการเป็นองครักษ์บ้างหรือไม่? หรือเจ้ามีเพียงดาบและหน้าที่”
หลิวจื้อเฉินมองไป๋เหวินเจี๋ยนิ่งครู่หนึ่ง ราวกับลังเลที่จะเปิดเผยตัวตน “ข้าเคยมีครอบครัว” เขากล่าวในที่สุด น้ำเสียงของเขาต่ำลง “แต่... สงครามพรากพวกเขาไป ข้าสาบานว่าจะปกป้องราชสำนักเพื่อไม่ให้ผู้ใดต้องสูญเสียเช่นข้าอีก”
ไป๋เหวินเจี๋ยเงียบลง สายตาของเขานุ่มลงด้วยความเข้าใจ “ข้าขอโทษ” เขากล่าว “ข้ามิได้ตั้งใจจะขุดความเจ็บปวดของเจ้า”
หลิวจื้อเฉินส่ายหัว “มันเป็นอดีต” เขากล่าว “แต่เจ้าเล่า? หมอหลวงอย่างเจ้ามีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่บ้างหรือไม่”
ไป๋เหวินเจี๋ยยิ้มบาง มิใช่รอยยิ้มขี้เล่น แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้า “ข้าเคยเป็นเพียงเด็กบ้านนอกที่อยากช่วยคน” เขากล่าว “แต่เมื่อเข้ามาในวัง ข้าเรียนรู้ว่าการช่วยคนบางครั้งหมายถึงการเล่นเกมที่สกปรก ข้าจึงเลือกอยู่เงียบๆ ในมุมมืด... เพื่อปกป้องผู้ที่ข้าสนใจ โดยไม่ต้องยอมให้ใครครอบงำ”
หลิวจื้อเฉินมองไป๋เหวินเจี๋ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มิใช่ความระแวง แต่เป็นความเคารพที่เริ่มก่อตัว “บางทีเราอาจไม่ได้ต่างกันมากนัก” เขากล่าว “เพียงแต่... เจ้าเลือกทางที่ข้าไม่กล้าเดิน”
ไป๋เหวินเจี๋ยยกถ้วยสุราขึ้น “เพื่อหนทางที่ต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน” เขากล่าว “และเพื่อนายน้อยเซี่ย ผู้ที่ทำให้เรานั่งดื่มด้วยกันในคืนนี้”
หลิวจื้อเฉินยิ้มกว้างขึ้น “เพื่อนายน้อยเซี่ย” เขากล่าว ทั้งสองชนถ้วยอีกครั้ง สุราไหลลงคอพร้อมกับความเข้าใจที่เริ่มก่อตัวระหว่างพวกเขา
เมื่อสุราหมด ไป๋เหวินเจี๋ยลุกขึ้น โบกมือให้หลิวจื้อเฉิน “คืนนี้สนุกกว่าที่ข้าคิด” เขากล่าว “เจ้าไม่เลวเลย... เมื่อเจ้าไม่ทำหน้าดุ”
หลิวจื้อเฉินหัวเราะ “และเจ้าก็ไม่เลว... เมื่อเจ้าไม่พูดจายั่วโมโห” เขาตอบ “คืนนี้เป็นความลับของเรานะ ท่านหมอหลวง”
ไป๋เหวินเจี๋ยพยักหน้า สายตาของเขาฉายแววอบอุ่น “ความลับของเรา” เขากล่าว ก่อนหันหลังเดินจากไป เงาของเขาค่อย ๆ จางหายในแสงจันทร์
หลิวจื้อเฉินมองตามแผ่นหลังของไป๋เหวินเจี๋ย หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาส่ายหัว ยิ้มกับตัวเอง “เจ้านี่มัน...” เขากระซิบ ก่อนเก็บถ้วยสุราและเดินกลับไปยังตำหนัก
ในอีกมุมหนึ่งของวังหลวง เซี่ยเหยียนอวี่ยังคงอยู่ในงานเลี้ยงที่ตำหนักหลานหวา สายตาของเขากวาดมองขุนนางรอบตัว โดยเฉพาะฉินลี่หรงที่ยิ้มอย่างสมบูรณ์แบบ แต่แฝงความระแวงเอาไว้ ในระหว่างที่อยู่ในงานเลี้ยงนั้นเขานึกถึงไป๋เหวินเจี๋ยและความรู้ด้านการแพทย์ที่อาจช่วยเขาในอนาคต และหลิวจื้อเฉินที่ปกป้องเขาอยู่เบื้องหลัง เขารู้ว่าเกมในวังหลวงกำลังเข้มข้นขึ้น แต่พันธมิตรของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน