“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ” คาริสาที่ถูกเบนท์พาขึ้นมาบนรถเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“ตอนนี้หมอยังให้การดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่ครับ อากาศยังไม่แน่นอน” เบนท์รู้ว่าตัวเองไม่ควรเอ่ยออกมาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่อาจจะปิดบังคาริสาไปมากกว่าที่เป็นอยู่
“ทำไมถึงไม่มีใครบอกอะไรริสาเลยคะ ทั้ง ๆ ที่พ่อป่วยหนักขนาดนี้ ทำไมถึงยังพากันปิดเงียบแบบนี้” คาริสาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ดวงตาคู่สวยตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำสีใสที่พร้อมไหลเอ่อออกมาอยู่ตลอดเวลา
“คุณท่านไม่อยากให้คุณหนูต้องเป็นห่วงครับ ถึงได้สั่งให้ทุกคนห้ามพูดเรื่องนี้ให้คุณหนูได้ยิน”
“เลยรอให้เรื่องมันมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่เข้าโรงพยาบาลกะทันหันก็คงไม่มีใครคิดจะบอกริสาใช่ไหมคะ” คาริสาเอ่ยถามออกมาพร้อมมองอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ
“เอ่อคือว่า...”
“ตอบสิคะ”
“ครับ ถ้าคุณท่านไม่เข้าโรงพยาบาล เรื่องนี้ก็คงยังปิดเงียบเหมือนเดิมครับ” ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเธอจะได้รับคำตอบแบบนี้จากเบนท์ แต่ก็ไม่คิดว่าพอได้ยินแล้วจะเสียใจขนาดนี้
คาริสานั่งเงียบอย่างไม่คิดจะเอ่ยอะไรอีกเมื่อได้คำตอบในสิ่งที่เธออยากได้ยิน จนกระทั่งตอนนี้รถตู้คันหรูได้เคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายในโรงพยาบาล หญิงสาวก็รีบเดินตรงไปยังห้องพักของผู้เป็นพ่อที่เบนท์คนสนิทของพ่อได้เอ่ยบอกเอาไว้
“คุณพ่อ คุณพ่อฟื้นนานยังคะ” คาริสาเอ่ยออกมาอย่างดีใจ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาด้านในแล้วเห็นว่าพ่อของตนเองนั่งพิงอยู่บนเตียงนอน
“สักพักแล้ว พ่ออยากกลับบ้าน” คริสเตียนพูดขึ้นมาตามตรง
“ไม่ได้ค่ะ ต้องอยู่ให้หมอดูอาการก่อนนะคะ”
“อยู่ที่โรงบาลไปก็เท่านั้น” คริสเตียนเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่นิ่งเรียบ คำพูดของเขาทำให้คาริสาลูกสาวเพียงคนเดียวตกใจไม่น้อย
ด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเหลือเวลาให้ได้ใช้อีกนานแค่ไหน ทำให้ตอนนี้คริสเตียนอยากจะอยู่กับลูกสาวของตัวเองให้ได้มากที่สุด แม้ว่าหมอจะห้ามเขามากแค่ไหนเรื่องอาการที่เป็นก็ตาม แต่เขากลับไม่คิดสนใจมันเลย
“แต่คุณพ่อคะ ตอนนี้อาการของคุณพ่อไม่ดีเลยนะคะ คุณพ่อต้องอยู่ที่โรงพยาบาลไปก่อนนะคะ”
“ก็ได้ก็ได้ ว่าแต่วันนี้ไปไหนมา” คริสเตียนที่เห็นท่าทีของลูกสาวที่ดูเศร้าลง เขาจึงเอ่ยอย่างตัดบทและเปลี่ยนเรื่องพูดในทันที
“ไปหาหมอมารักษาคุณพ่อไงคะ”
“รักษา มีหมอที่รักษาฉันได้ด้วยเหรอ” คริสเตียนมองใบหน้าของเบนท์อย่างเป็นคำถาม แทนการมองใบหน้าของลูกสาว เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“คุณมาร์ตินไงครับ” คำพูดของเบนท์ทำให้คนที่ได้ยินนิ่งลงทันที เขาไม่คิดว่าคนที่จะรักษาตัวเองได้จะเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรู
“ไม่ต้องไปหาหมอมารักษาพ่อหรอกนะ แค่ลูกสาวพ่อไม่ดื้อก็พอแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ ริสายังอยากอยู่กับคุณพ่อไปนาน ๆ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะ เดี๋ยวเรื่องหมอริสาจัดการเอง คุณพ่อไม่ต้องห่วง” คำพูดของหญิงสาวไม่ได้ทำให้พ่อของเธอสบายใจขึ้นเลยสักนิด มีแต่กังวลใจมากขึ้น
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าคนอย่างมาร์ตินเป็นคนที่โหดร้ายแค่ไหน ยิ่งอดีตที่ฝังลึกระหว่างชายหนุ่มกับคริสเตียน ยิ่งแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรักษาเขา
หลังจากคริสเตียงพูดคุยกับลูกสาวมาได้สักพัก หญิงสาวก็ได้บังคับให้มาเฟียอย่างคริสเตียนที่ใคร ๆ ก็ต่างเกรงกลัวให้พักผ่อน ซึ่งอีกฝ่ายทำได้เพียงแต่ทำตามอย่างว่าง่ายเขาไม่อยากให้ลูกสาวของตนเองต้องเป็นกังวลมากกว่าที่เป็นอยู่
อีกด้าน
ภายในห้องทำงานของระดับผู้บริหารที่ถูกตกแต่งเอาไว้ด้วยสีดำสลับขาว จนทำให้ที่นี่ดูหรูหราและดูน่าเกรงขาม มีชายหนุ่มที่สง่างามและหล่อเหลาจนทำให้คนที่เห็นต่างพากันมองจนเหลียวหลัง
เขาเป็นหนึ่งใน 3 ของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ และเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ที่มีเพียงแค่คนไข้ VVIP เท่านั้นที่เขาจะรักษา และคนไข้เหล่านี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงเงินเท่านั้นที่เขาจะทำการรักษาให้ แต่ทว่าไม่มีเงินก็รักษาได้ถ้าเขาพึงพอใจจะรักษาให้
ซึ่งในเวลานี้เจ้าของห้องอย่างมาร์ตินกำลังตรวจเอกสารกองโตอย่างไม่สนใจอย่างอื่น ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เขามีเรื่องให้กวนใจอยู่ ใบหน้าของใครบางคนยังคงวนเวียนมาหลอกมาหลอนให้เขาได้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นไม่ได้เรียกให้คนที่นั่งทำงานอยู่เงยหน้าขึ้นไปมองแต่อย่างไร เขายังคงก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารตรงหน้าเหมือนเดิม
“นายท่านครับ ประวัติของคุณผู้หญิงเมื่อครู่ครับ” มาร์ชพูดก่อนเดินนำเอกสารเดินเข้ามาวางลงบนโต๊ะทำงานของเจ้านายตัวเอง
“อืม” มาร์ตินไม่เพียงแต่เอ่ยรับ เพราะเขาได้หยิบเอกสารขึ้นมาเปิดอ่านอย่างให้ความสนใจในทันที
“เธอเป็นลูกสาวของคริสเตียนครับ ซึ่งตอนนี้คริสเตียนล้มป่วยกะทันหันเข้าโรงพยาบาล”
“เธอเลยต้องการให้ฉันผ่าตัดให้พ่อของตัวเอง” มาร์ตินเอ่ยออกมาทั้ง ๆ ที่สายตาของเขายังคงกวาดดูข้อมูลในเอกสาร
“ใช่ครับ นายท่านอย่าบอกนะครับว่านายท่านจะรักษา...”
“ไม่...สั่งออกไปว่าถ้าเห็นผู้หญิงคนนี้มาที่โรงพยาบาลอย่าให้เข้ามา”
“ได้ครับ” มาร์ชรับคำของนายเหนือหัวก่อนเดินเลี่ยงออกไปจากห้องทำงานของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
ในขณะที่มาร์ตินยังคงนั่งมองเอกสารตรงหน้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เขาอ่านประวัติของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนไม่เว้นเอาไว้แม้แต่ตัวอักษรเดียว
ฉันจะทำยังไงกับคนอย่างเธอดี
มาร์ตินเอ่ยก่อนถอนหายใจออกมา เพราะตอนนี้มาร์ตินรู้สึกว่าเขาควรจะเริ่มแก้แค้นให้กับคนที่เขารักได้แล้ว
เช้าวันต่อมา
คาริสาได้อยู่เฝ้าผู้เป็นพ่อจนถึงช่วงค่ำของเมื่อวานก่อนจะถูกผู้เป็นพ่อไล่ให้กลับบ้าน ซึ่งหญิงสาวก็ยอมกลับบ้านอย่างว่าง่าย แต่ทว่าพอเช้ามาเธอกลับแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าของวัน
“คุณหนูจะไปไหนคะ” ป้าไหมแม่บ้านเก่าแก่ของคาริสาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
“ไปทำธุระค่ะ ป้าไหมช่วยทำซุปบำรุงให้คุณพ่อหน่อยได้ไหมคะ” คาริสาเอ่ยสั่งอีกฝ่ายออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ซึ่งทุกคนที่นี่ต่างรู้ดีว่าหญิงสาวเป็นคนที่เอาแต่ใจ ไม่ยอมใคร แต่ทว่าเธอก็เป็นที่รักของคนในบ้านเพราะด้วยนิสัยที่ไม่ถือตัวของเธอ
“ได้เลยค่ะ แล้วคุณหนูจะให้คนเอาไปส่งให้หรือมาเอาเองคะ”
“ฝากพี่เบนท์ไปก็ได้ค่ะ ถ้ารายนั้นไม่มาก็ให้คนเอาไปส่งให้ค่ะ” คาริสาเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มให้คนที่เห็นถึงกับยิ้มตาม
“แล้วทำไมคุณหนูไม่เอาไปให้เองครับ จะไปไหนครับ” เบนท์ที่ได้ยินบทสนทนาของป้าไหมและหญิงสาวจึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
“ไปทำธุระค่ะ”
“ไปหาหมอมารักษาคุณท่านเหรอครับ” เบนท์เอ่ยถามออกมาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะไปหามาร์ติน
“ใช่ค่ะ ริสาว่าจะเข้าไปคุยกับเขาอีกรอบ”
“งั้นให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” เบนท์ที่เป็นห่วงคุณหนูของตัวเองได้เอ่ยอาสาออกมาทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกอย่างถ้าเสร็จธุระตรงนี้แล้วยังไงริสาก็ต้องไปที่โรงพยาบาลอยู่ดี ขอตัวก่อนนะคะ” คาริสาพูดจบก็เดินออกไปทันทีอย่างไม่คิดสนใจป้าไหมหรือเบนท์ที่มองดูเธออยู่เลยแม้แต่น้อย