5# ตอน สมุดที่เก็บได้ไม่ธรรมดา

2037 คำ
พอฟ้ามืดมีเพียงแสงจากน้ำมันตะเกียง อี้หานใช้น้ำมันปลากับเศษผ้าเพื่อช่วยในเรื่องแสงสว่าง ในตอนแรกมันก็ไม่ติด ลองผิดลองถูกอยู่นานในที่สุดก็สามารถใช้ได้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถทำเป็นแท่งได้เหมือนเทียนไข ตะเกียงหนึ่งอันใช้ส่องทั้งบ้าน ตอนนี้มีผ้าเก่าขาดกั้นห้องเพราะอย่างไรก็เป็นชายหญิง ปกติพันเก็บขึ้นเวลานอนค่อยเอาลง อี้หานนอนตะแคงมองไปอีกฟาก เขาอยากรู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไร เหมือนจะเห็นเธอกำลังหยิบสมุดขึ้นมาดู แต่ไม่เห็นว่ากำลังเขียนสิ่งใดลงไป เป็นความจริงที่เฟิ่งอิงไม่ได้เขียน เพราะสมุดเล่มนี้มันอ่านความต้องการของเธอเอง จะปรากฏเป็นรายละเอียดข้อมูลที่เธออยากรู้ นั่นคือสิ่งที่มหัศจรรย์มาก แต่ก็ทำให้เธอได้รู้ในสิ่งที่ใหม่เสมอ เช่นเดียวกับเรื่องหาปลาตอนกลางคืน เธอจึงมักออกไปจับปลากับอี้หานหลังฟ้ามืด เก็บกุ้งปูหอย อะไรที่กินได้เอามาหมด นอกจากสัตว์น้ำแล้วยังมีสัตว์จำพวกหนูนา ใช้บ่วงคล้องรุ่งสางออกไปดู กู้กับดักนำกลับมาเผาขนผ่าตากแดดบ้างย่างต้มน้ำแกงกินบ้าง จึงไม่ขาดอาหารนัก ในตอนนี้เธอกำลังดูวิธีการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตมากๆ การบำรุงดินการทำปุ๋ย เพราะบ้านที่เลี้ยงสัตว์แทบไม่มี และเธอไม่อยากเสียงเงินเพื่อซื้อมูลของมันมาใช้ “เพิ่งรู้ว่าใบไม้ก็ทำปุ๋ยได้ ยังมีการปลูกถั่วก่อนเพื่อช่วยบำรุงดิน อืม สงสัยต้องไปหาถั่วมาปลูกแซมแล้ว” เสียงพูดงึมงำอันแผ่วเบาของเธอ อี้หานได้ยินแล้วยิ้ม ช่วงเวลานี้ถึงลำบากแต่ก็มีความสุข ดวงตาของเขายังจ้องมองเธอกระทั่งเห็นเธอขยับผ้าเพื่อดับไฟ เขาจึงแกล้งทำเหมือนว่าหลับนานแล้ว “ฝันดีนะอี้หาน” เสียงกระซิบเบาๆ ของเธอทำให้เขาสบายใจ ทุกคืนมักจะเป็นเช่นนี้ ‘ฝันดีอิงอิง’ “อี้หาน! เฟิ่งอิง! พวกเธอตื่นกันรึยัง” “อยู่ทางนี้ครับ น้าจี ทำไมถึงวิ่งมาแบบนั้นครับ” “เฟิ่งอิงเด็กดีของฉันล่ะ? เธออยู่ที่ไหน” “ฉันอยู่นี้ค่ะ กำลังต้มน้ำ น้าจีมีอะไรหรือคะ” “ดี! ดีจริงๆ วิธีของเธอมันได้ผล ตอนนี้อาเป่าไม่มีไข้แล้ว เขายังร้องหิวกินน้ำแกงผักหมดไปสองชาม เสี่ยวอิง น้าขอบใจเธอมากนะ” “อาเป่าเขาดีขึ้นแล้ว! ฟู่แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย” “ใช่แล้ว ฉันอยากตอบแทนน้ำใจเธอเลยเอาข้าวโพดมาให้ รับไปสิ” “น้าไม่จำเป็นต้องลำบาก เอากลับไปเถอะค่ะ ข้าวโพดหนึ่งฝักปลุกได้ตั้งหลายต้น” “แค่ของเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะลำบากฉันจะมอบให้เธอมากกว่านี้ เธอช่วยชีวิตลูกชายน้าไว้ทั้งคน” “เอ่อเช่นนั้นฉันจะรับไว้ก่อน แต่ฉันจะคืนให้ในภายหลัง” “เธออยากให้ฉันลงหลุมเร็วๆ หรือ! เอาไปเถอะ ฉันไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณความแค้น ใครดีกับฉันฉันไม่ลืม” “อิงอิงรับไว้เถอะ น้าจีจะได้สบายใจ” “ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” “ยังมาขอบคุณกันอีก! เกรงอกเกรงใจทำไม เช่นนั้นฉันกลับก่อน” “ค่ะ” ส่งคนออกไป มือยังถือข้าวโพดสองฝักไว้ มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์เพราะมีเปลือกห่อหุ้ม เมื่อฉีกแกะออกดูไม่ลีบฝ่อ นางจีคงตั้งใจเลือกมาเป็นพิเศษ “โล่งอกไปที! นึกว่าจะถูกบีบคอแล้วเสียอีก” “หึๆ ดูเธอสิ กลัวจนหน้าเหว๋อเชียว” “ฉันแทบไม่อยากยื่นหน้าออกมา กลัวจะโดนตี แต่ฉันห่วงนายมากกว่า” “ฉันไม่ยอมให้คนอื่นมาตีเธอหรอก แล้วคิดออกรึยังว่าจะทำยังไงกับข้าวโพด พรุ่งนี้ทางการจะเอามาแจกตามโควตา เธอจะกินมันไหม” “ฉันเสียดายนะ คิดว่าถ้าเอาไปปลูกจะดีกว่า มันน้อยเกินจะทำเป็นแป้ง” “เอาสิ ที่ข้างบ้านถูกจัดการให้ว่าง เราสามารถปลูกมันได้” “แต่เรายังซ่อมรั้วไม่เสร็จ ฉันกลัวว่ามันจะเสียหาย” “วันนี้ฉันจะรีบซ่อมแซม เธออยากปลูกก็ลงมือได้เลย” “ตกลง” แบ่งงานกันเรียบร้อย เฟิ่งอิงแบ่งพื้นที่เพื่อปลูกข้าวโพดสองฝัก เธอแกะเอาเมล็ดมาแช่น้ำในถ้วยเก่าพอท่วม ขุดหลุมตากแดดไว้ กะว่าตอนเย็นค่อยปลูก อี้หานสงสัยแต่ไม่ถาม เขาคิดว่ามันคงเป็นวิธีของเธอ จึงตั้งใจทำรั้วรอบบ้านให้เสร็จในวันนี้ ยังต้องไปดูที่ดิน เงินจากการขายหนูนาถูกใช้ซื้อจอบเก่าไว้ทำไร่จนเกลี้ยง “ตอนนี้บ้านเริ่มดูดีขึ้น ในอนาคตคงสามารถปรับปรุงให้แข็งแรง” “แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น พรุ่งนี้หลังจากได้พันธุ์พืชฉันจะพาเธอไปดูที่ดิน เธอบอกว่าเราต้องแบ่งพื้นที่เพื่อปลูกสองอย่างพร้อมกัน” “ใช่แล้ว อันหนึ่งคือพืชหัว อันหนึ่งคือออกฝัก ต้องเว้นระยะห่างให้ดีไม่อย่างนั้นผลผลิตจะออกมาน้อย” “ฉันเชื่อเธอ” “อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น นายดูหลอกง่ายนะ” อี้หานยิ้มแต่ไม่ตอบ เขามองดูหลุมข้าวโพดที่เฟิ่งอิงปลูกเสร็จ เธอเองก็ไม่ได้เอะใจถึงความผิดปกติอันเล็กน้อย เพียงหัวเราะชวนเขาคุยสัพเพเหระอย่างสนุกสนาน “ต่อแถวกันให้เป็นระเบียบหน่อย! ใครไม่เชื่อฟังจะถูกตัดสิทธิ์” เพราะความวุ่นวายจนแทบจะกลายเป็นเหตุจลาจลเล็กๆ เมื่อมีบางคนซึ่งไม่มีที่ดิน แต่อยากได้รับการจัดสรรเช่นเดียวกับผู้ที่มี พวกเขาจงใจเข้ามาก่อกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ หวังใช้โอกาสนี้หยิบฉวยสิ่งของไปขาย ทหารจึงระดมพลเข้าควบคุม “แบบนี้ไม่ดีเลย คนยังกรูเข้าไปไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง อี้หานเราถอยออกไปก่อนดีมั้ย” “ไปทางนั้นเถอะ เราไม่ควรอยู่ห่างสายตาทหารมากนัก” เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะดึงมือเธอฝ่ากลุ่มคนออกไปยังจุดที่มีคนยืนสังเกตการณ์สี่คน พวกเขาไม่เหมือนทหารแต่กลับมีบางอย่างทำให้คนยำเกรง “ขอหลบยืนสักครู่นะครับ” “เอาสิ พวกนายมารับของแจกรึ” “ครับ ผมสองคนได้รับจัดสรรบนที่ดินสามไร่” “ฟังดูน้อยมาก มันจะคุ้มหรือ อย่าลืมว่าปลูกแล้วยังต้องส่งคืน” “ถึงจะน้อยแต่มันไม่ใช่ปัญหาครับ อย่างไรยังมีที่ทำกินเป็นของตัวเอง หากต้องรอสวัสดิการจากเบื้องบน คงต้องวุ่นวายเหมือนพวกเขา” คำพูดของอี้หานถูกต้อง ภัยสงครามทำให้หลายคนสูญเสียทรัพย์สินจนหมดสิ้น แต่ยังมีคนบางกลุ่มที่รักษาสมบัติไว้ได้และได้รับการยืนยันเพื่อครอบครอง ส่วนใหญ่แล้วคนจะต้องรอการจัดสรรที่พักจากหน่วยงานที่มีอำนาจจัดการ ซึ่งต้องอยู่ในค่ายอย่างแออัดจนกว่าจะถึงคิวเคลื่อนย้าย ปัง! “กรี๊ด!!!!” “ทุกคนหยุด! ใครที่ยังกล้าทำลายความสงบจะได้รับโทษสูงสุด” ดูเหมือนเหตุการณ์จะบานปลาย ทหารจึงยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ และมันได้ผลตอนนี้ไม่มีใครกล้าวุ่นวายอีก แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่ก่อเหตุจะต้องถูกตรวจสอบ “บอกมา! ใครที่เป็นต้นเรื่องก่อกวนความไม่สงบ ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ จนกว่าจะจับตัวผู้ก่อเหตุได้ จะไม่มีการจัดสรรพืชเพื่อการเกษตร” เงียบกริบ! เมื่อถูกถามต่างคนต่างมองหน้ากัน เพราะมันชุลมุนมาครู่หนึ่งจึงจำไม่ได้ว่า ใครคือคนเริ่มก่อน “เอายังไงดี? ถ้าหาตัวคนออกมาไม่ได้ พวกเขาจะไม่แจกของนะ” “งั้นเราก็เลือกมาสักคน จะได้จบ” หญิงชาวบ้านสองคนกระซิบกระซาบเสียงเบา ทั้งคู่ไม่อยากยืนรอการสอบสวน มันสิ้นเปลืองเวลา แทนที่จะได้รับของแล้วกลับบ้านไปทำอย่างอื่น สายตาเจ้าเล่ห์กวาดมองบุคคลต้องสงสัย และไปจบลงที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ห่างออกไป “รึจะเป็นเขาคนนั้น ดูสิไปยืนเสียไกล นั่นแกกำลังกลัวอะไรอยู่!” เฟิ่งอิงขมวดคิ้วแบบนี้มันเกินไปแล้ว รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เธอยังไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากอี้หานแตะมือเธอแล้วส่ายหน้า “เราไม่จำเป็นต้องเล่นตามคำยั่วยุ เห็นชัดว่าสองคนนั้นจงใจป้ายสี สุ่มหาคนผิดเพื่อจะได้จบปัญหาเร็วๆ” “แบบนั้นไม่ได้สิ! หากเราไม่ตอบโต้คนอื่นจะเข้าใจผิด” “เราไม่ได้ทำ การร้อนรนรีบปฏิเสธจะยิ่งทำให้น่าสงสัย ปล่อยให้ป้าแก่ตะโกนอย่างนั้นแหละ ไว้ทหารมาสอบถามค่อยตอบออกไปตามความจริง” ชายสี่คนที่ยืนใกล้ย่อมได้ยิน พวกเขารู้สึกชื่นชมความสุขุมของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ไม่ได้ออกตัวเป็นพยาน เพื่อดูว่าจะเอาตัวรอดจากการถูกใส่ร้ายอย่างไร “เห็นมั้ยเขาไม่ตอบล่ะ ชัดเจนว่าเขาคือตัวดีๆ ที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย” “ใช่แล้ว! พอก่อเรื่องเสร็จก็หลบออกไปไกลๆ คนเราช่างเห็นแก่ตัว ทำให้คนเขาเดือดร้อนไปหมด” เฟิ่งอิงเม้มปากแน่นมองกลุ่มคนที่ยืนกล่าวหาเธอ มีหลายคนที่ถูกคนลิ้นยาวพูดจายุยง ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจผิด ถึงอย่างนั้นอี้หานยังไม่เอ่ยปาก เขาปล่อยให้อีกฝ่ายใส่ความต่อไป จนตอนนี้มีคนมากมายเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ชี้มือมาทางเขา “คุณทหารจับเขาเลย! เขานั่นแหละตัวการที่ก่อเรื่อง” “ใช่ต้องเป็นเขาแน่ ฉันเห็นว่าเขาเพิ่งเกินออกไป” “ว่ายังไงหนุ่มน้อย มีพยานยืนยันว่านายกับพวกมาปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย” “ผมเปล่าครับ ที่ผมมาเพื่อรอรับการจัดสรรเหมือนคนอื่นๆ แต่มีคนมากเกินไป ผมจึงถอยมายืนรอตรงนี้ ถอยมาก่อนที่เหตุการณ์จะวุ่นวายจนควบคุมลำบาก” “โกหก! แกเพิ่งเดินออกไปชัดๆ” “ผมมาสิบนาทีได้ ไม่ใช่เพิ่งเดินออกมาอย่าที่คุณบอก ป้าอยู่ถึงตรงนั้นทำไมถึงบอกว่าเห็นผมล่ะ ไม่ใช่แค่อยากให้เรื่องจบไวๆ จึงใส่ร้ายคนหรือ” “ฉันยังไม่แก่จนเลอะเลือน สองตาของฉันเห็นแกเพิ่งเดินออกไป” “เห็นชัดขนาดนั้น แล้วก่อนหน้าผมยืนตรงไหน” “แก แกยืน ตรงนี้! ยืนข้างๆ เธอคนนั้น” “อ้อ..! ผมยืนข้างเธอคนนั้น เพิ่งเดินออกมาเมื่อกี้ ป้าช่วยขยี้ตาที่เห็นชัดแล้วดูอีกที เธอคนนั้นอยู่ที่เดิมไหม เธอยืนตรงนั้นนานรึยัง” “แน่นอนว่ายืนนานแล้ว!” “ป้าคนนี้พูดไม่ถูกนะ! ฉันเพิ่งขยับขึ้นมาเพราะตกใจเสียงปืน ไม่ได้ยืนตั้งแต่แรกเลย นี่ทุกคนฉันมีพยานนะ คนตรงนั้นคือน้องชายฉันเอง เรามาด้วยกัน แล้วก็คนนั้นเพื่อนบ้านฉัน เขาเห็นว่าฉันเพิ่งขยับขึ้นมา ที่สำคัญฉันไม่ได้อยู่ใกล้เขา ฉันไม่รู้จักเขา” “หืม? หมายความว่ายังไง ตกลงว่าที่บอกว่าเห็นพูดจริงหรือพูดมั่ว บอกไว้ก่อนถ้าโกหกละก็จะต้องถูกลงโทษ ที่ต้องจับให้ได้คือคนร้ายตัวจริง ไม่ใช่จับใครก็ได้” “บางที... ฉันอาจมองผิดไป แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่เขา” “ป้าคนนี้เกลียดชังอะไรผม ทำไมถึงพูดใส่ร้ายกันไม่เลิก ผมมารับของ แน่นอนว่าอยากรับให้เสร็จเร็วๆ จะก่อเรื่องวุ่นวายทำไม” “เหอะ! บางทีแกอาจจะแย่งของไปขายไง ตอนนี้คนที่สิ้นเนื้อประดาตัวมีน้อยที่ไหน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม