16.สุดท้ายเป็นข้าที่ทรมาน

1863 คำ
อีสเซวางเธอลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา ดาฟเน่กำลังหลับสบายบนเตียงนอนของเขา เขาถอดเสื้อคลุมออกก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างเธอ พร้อมทั้งโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ร่างกายของเรากำลังสร้างความอบอุ่นในกันและกันเพราะอากาศในคืนนี้ช่างหนาวเย็น หลังจากที่เธอกล่าวเตือนเขา อยู่ดีๆเธอก็ร้องไห้ออกมา แถมร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากการพร่ำบอกขอโทษและโอบกอดเธอเอาไว้ จนเธอผล็อยหลับไป อีสเซแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ คนเช่นเขาหากจะทำอะไรสักอย่าง เธอย่อมไม่มีทางจับทางเขาได้อย่างแน่นอน เรื่องการลอบสังหารนี้เขาจงใจที่จะลองใจเธอเท่านั้นเอง ดาฟเน่เป็นสตรีที่เอาแต่ใจ แถมยังเจ้าเล่ห์มากทีเดียว เธอมิได้ถนัดเรื่องการจับผิดคนตรงนี้คือช่องโหว่ที่ใหญ่มากของเธอ และแน่นอนพวกบรรดาบุรุษที่เข้าหาเธอคือคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้น...เขาจึงอยากทดสอบเธอ และเธอสามารถมองแผนการเขาออกเพียงแค่สามครั้งหลังจากถูกลอบสังหาร สติปัญญาของเธอพัฒนาขึ้นมากทีเดียว... และมันไม่ใช่เพียงสติปัญญาอย่างเดียว การพูดจาและการวางแผนเธอเหนือชั้นกว่าเดิมมาก จนตัวเขาอดหวาดหวั่นมิได้ ว่าวันหนึ่งเธอจะวางแผนหนีไปจากเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะหลอกดาฟเน่ได้ก็คือเขาจะต้องโง่กว่าเธอ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้ยอมเธอมากมายขนาดนั้น การเป็นองค์จักรพรรดิมิได้ง่ายดาย เขาเจอปัญหามาแทบจะทุกรูปแบบ หากว่าเขาก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวสิ่งที่สร้างมาทั้งหมดจะพังทลายลง นั่นทำให้ปัญหากับเขาเป็นของคู่กัน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีมากที่สุดคือน้ำตาของเธอ ดาฟเน่ร้องไห้ราวกับเป็นเด็ก...และเธอร้องไห้อย่างหนักก็เพราะว่าเสียใจที่เขาหักหลังเธอ... ถึงจะน่าดีใจแต่ว่านั่นจะเป็นจุดเปลี่ยน การกลั่นแกล้งของเขาจะทำให้เธอไม่กล้าไว้ใจเขาอีกเลย นั่นมันก็อาจจะแย่นิดหน่อย แต่ว่าไม่เป็นไร การได้โอบกอดเธอเช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ เขาจะสร้างความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อเขาขึ้นมาใหม่เอง ดาฟเน่รู้สึกหนาวเธอจึงดึงผ้าห่มมาห่มแต่ทว่าก็ไม่รู้สึกว่าอุ่นขึ้นเลย เธอจึงลืมตาขึ้นมามองไปที่หน้าต่างบานใหญ่ หิมะกำลังโปรยปรายลงมา ท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นเต็มไปด้วยหิมะที่แสนจะงดงาม "อีสเซ!! อีสเซ หิมะแรกตกลงมาแล้ว!!" เธอเขย่าตัวของอีสเซที่นอนอยู่เพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาดูหิมะกับเธอ เขาลุกขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงียก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้ "ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันในวันที่หิมะแรกตกลงมา " อีสเซกระซิบข้างหูของดาฟเน่ "ข้ารักเจ้านะ ดาฟเน่!" ในค่ำคืนที่เงียบสงบนั้น หัวใจของเธอมันกลับกำลังเต้นแรง เธอควรจะยังโกรธเขาอยู่แท้ๆแต่ดันมาหน้าแดงเพราะลมปากของเขา เขาลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างพร้อมกับเดินไปหยิบผ้าห่มขนสัตว์ออกมาจากตู้เก็บของ เพราะอากาศจะเย็นลงอย่างรวดเร็วทำให้ผ้าห่มธรรมดามิอาจป้องกันความเย็นเอาไว้ได้ อีสเซล้มตัวนอนลงอีกครั้งพร้อมกับดึงดาฟเน่มากอดไว้ "ดีขึ้นไหม? แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่ชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว.." "อื้ม อุ่นขึ้นแล้ว" ดาฟเน่หลับตาลงอีกครั้ง ห้องนี้มิใช่ห้องที่เขาพาเธอไปวาดรูปครั้งก่อน รอบๆห้องตกแต่งอย่างหรูหรา นี่คือห้องนอนของเขาจริงๆสินะ... ให้ตายเถอะช่วงนี้เจอเรื่องทุกวันจริงๆ เธอยังคงยืนยันคำเดิมว่าเป็นดาฟเน่ไม่ได้ง่ายเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกำลังมีความสุข ในการเป็นดาฟเน่ ได้ลองทำอะไรหลายๆอย่างที่เธอไม่เคยทำมาก่อน.. และได้มีคนที่รักและพร้อมทำร้ายเธอตลอดเวลาอย่างอีสเซ ความสัมพันธ์เช่นนี้ดาฟเน่ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกกล่าวคำนิยามว่าอย่างไรดี เธอรู้ดีว่าเขาอันตราย แต่ก็มิอาจหักห้ามหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปกับเขาได้เลย....หรือว่าเธอจะชอบบุรุษที่หลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันเช่นเขา? อ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดาฟเน่ก็เลยเลือกที่จะเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง เช้าที่เหน็บหนาวและไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ พระราชวังบาทีเรี่ยนขาวโพลนไปด้วยหิมะ แต่ทว่านั่นกลับทำให้มันสวยงามขึ้นโดยยากจะละสายตา เธอไม่ชอบอากาศเย็น แต่พอหิมะตกก็อดจะยืนดูไม่ได้.. อีสเซโอบกอดเอวเธอเอาไว้พร้อมกับสวมเสื้อคลุมให้เธอ เขาก้มหน้าลงเพื่อพรมจูบที่ซอกคอเธอเบาๆอย่างรักใคร่ "ข้ายังไม่หายโกรธ.." เขาหมุนตัวเธอให้หันหน้ามามองสบตาเขา พร้อมกับใช้มืออีกข้างดึงผ้าม่านให้ปิดลง "โกรธนานๆก็ได้ หากว่าการโกรธเคืองของเจ้ามันทำให้เจ้ามาติดอยู่ในห้องนอนของข้าเช่นนี้..." เขาจับคางเธอให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมองบาดแผลขนาดเล็กที่ลำคอขาวนวลของดาฟเน่ มันเด่นชัดตัดกับผิวขาวเนียนของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเขาที่จงใจทำให้มันเกิดเป็นรอยแผล ถึงจะรู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกายอันงดงามของเธอมีบาดแผล แต่นี่จะเป็นหลักฐานชั้นดีในการบอกลอร์ดมาเดลีนว่าเขาและเธอมีปัญหากัน.. อีสเซคิดว่าเขามองไม่ผิดแน่นอน สายตาของหมอนั่นที่มองมายังดาฟเน่มันแปรเปลี่ยนไป นั่นหมายความว่าทั้งสองคนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่รู้... บางทีเขาอาจจะต้องส่งคนแฝงตัวเข้าไปสืบเรื่องราวของเธอเพิ่มอีกหน่อย "ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?" "ไม่แล้ว..." "จนกว่าแผลนี่จะหายดีเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ กับข้า! เพราะว่าข้าจะต้องใช้เวลาเพื่อสำนึกผิดในการกระทำที่เลวร้ายในครั้งนี้" "อีสเซ ข้ามีงานที่ต้องทำ คงมิอาจจะมาอยู่ที่นี่ได้ตลอด" เขาใช้นิ้วลูบริมฝีปากของเธอเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปทาบทับริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน อีสเซกำลังใช้ความอ่อนโยนของเขาหลอมละลายดาฟเน่ช้าๆ เขาดันตัวเธอไปติดกับผ้าม่านหน้าต่างด้านหลังโดยที่ริมฝีปากของเรายังคงประกบกัน เธอออกแรงผลักเขาออกเบาๆแต่นั่นมิอาจทำให้เขายอมผละออกจากริมฝีปากที่หวานล้ำนั้นเลย เธอไม่มีทางถอยหนีอีกแล้วเพราะด้านหลังคือกระจก และอีสเซก็บดเบียดเข้ามาหาเธอ พร้อมกับจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้นมากกว่าเดิม เขาสอดขาเข้ามาในหว่างขาของเธอพร้อมทั้งโอบกอดเธอเอาไว้ นี่คงจะไร้หนทางที่จะหนีจากเงื้อมมือเขาจริงๆ อีสเซผละริมฝีปากออกช้าๆ เขาสบตามองเธอด้วยความเสียดาย "น่าเสียดายที่วันนี้ข้ามีประชุมกับพวกสภาอาวุโส มิอาจทำต่อจนสิ้นสุดได้" เขาจับมือเธอไปกอบกุมตัวตนของเขาเอาไว้ "ดาฟที่รัก เห็นรึเปล่าว่าข้าเองก็กำลังทรมานเช่นเดียวกันกับเจ้า ทั้งที่ข้าเกลียดชังการรอคอยแต่เจ้ากลับทำให้ข้าต้องทนรอคอยเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือคำสาปใช่หรือไม่?" "ข้าเพียงจะกลับเมอลิน.." มือของเขามุดเข้าไปใต้กระโปรง ก่อนที่มันจะหมุนวนเบาๆที่จุดกึ่งกลางของเธอเบาๆ "อึก!" "อาา ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้ากลับไปโดยที่อารมณ์ของเจ้าคุกรุ่นเช่นนี้หรอกนะดาฟ" เธอยกมือขึ้นมาผลักเขาออกเบาๆ "เลิกแกล้งข้าได้แล้วอีสเซ วันนี้ข้าจะเป็นฝ่ายรอเจ้าอยู่ที่นี่เองก็ได้ และเจ้าเอง..." เธอออกแรงขยับมือที่กอบกุมความเป็นชายของเขาช้าๆ "...เจ้าควรจะรีบกลับมา" อีสเซยกยิ้ม เขาหอมแก้มเธออย่างมันเขี้ยวก่อนอุ้มเธอไปนอนบนเตียง "ตั้งใจจะแกล้งเจ้าแท้ๆแต่สุดท้ายเป็นข้าที่ทรมานยิ่งกว่า" เธอยกมือมากุมหน้าเขาเอาไว้ "หัวใจของข้ามิอาจทนรับความเจ็บปวดได้อีกแล้ว ถึงแม้ข้าจะยอมอยู่ในอ้อมกอดของเจ้า แต่อย่าลืมว่าข้าจะไม่ยอมอีกแล้วถ้าเจ้ากล้าหักหลังข้าอีก..." "ไม่กล้าทำอีกแล้วดาฟ ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นอีกแล้ว" เธอมองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มออกมา "รีบไปเถอะ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่" ........ ลาร์ซเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารเพราะลาม่อนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม "พี่ควรจะไปดูนางหน่อย นางเริ่มดีขึ้นมากแล้วในทุกๆด้านรวมทั้งการทานอาหาร การพูดจา" "อืม เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะไปดูเอง ขอบใจเจ้ามาก" "แค่พี่จ่ายเงินก็พอ คำขอบคุณอะไรนั่นข้ามิได้ต้องการ!" ลาร์ซลุกขึ้นมาลูบผมน้องชายวัยสิบหกเบาๆ ลาม่อนคือเด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่คนในตระกูลมาเดลีนไม่มี นั่นคือพลังเวทที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เขาเป็นคนส่งเสียน้องชายเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ ในขณะที่แม่เลี้ยงคัดค้านอย่างหนัก เพราะพวกนักเวทมิได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่นัก สู้พวกขุนนางมิได้ นั่นเป็นสาเหตุหลักที่แม่เลี้ยงไม่ชอบลาม่อน ลูกชายที่แม่เลี้ยงรักมากที่สุดก็คือลูอีส หมอนั่นก็เลยเติบโตขึ้นมาเป็นคนเอาแต่ใจและนิสัยเสียสุดๆไปเลยต่างจากลาม่อนที่เป็นเด็กดีกว่าที่คิด ลาร์ซก็เลยทำหน้าที่เป็นทั้งพี่และผู้ปกครองให้น้องชายไปพร้อมๆกัน "พี่ฝากเงินเข้าบัญชีเจ้าเรียบร้อย อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้ว เตรียมเก็บของกลับไปเรียนรึยัง" ลาม่อนพยักหน้า "เรียบร้อยแล้วครับ หากว่าข้าสามารถสอบเข้าประจำการที่หอคอยเวทมนตร์ได้ คราวนั้นข้าจะทยอยคืนเงินทั้งหมดให้พี่เอง" ลาร์ซโบกมือเบาๆ "เจ้าคือน้องของพี่ เป็นมาเดลีนคนหนึ่งที่พี่ต้องดูแล เพียงแค่เจ้าสอบเข้าหอคอยเวทมนตร์ได้พี่ก็ภูมิใจในตัวเจ้ามากแล้ว" ลาม่อนส่งยิ้มให้ลาร์ซ เรื่องท่านแม่เขาไม่รู้สึกเสียใจหรือว่าน้อยใจอีกแล้ว เขาคิดว่าแค่เขามีพี่ชายคนเดียวก็พอ แค่มีคนที่รอดูความสำเร็จของเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม