ตอนที่ 6 ออกเดินทางไปเมืองจี้โจว

2167 คำ
-เช้าวันต่อมา- "พระชายาทายาอีกสักหน่อยเถอะนะเพคะ ยังต้องนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันแผ่นหลังของท่านต้องระบมอีกเป็นแน่" "พอแล้ว ไว้ค่อยทาทีหลังเถอะรีบไปขึ้นรถม้ากันจวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว เจ้าเตรียมข้าวของๆ ข้าครบแล้วใช่หรือไม่" "ครบแล้วเพคะพระชายา" "ไม่รู้เลยว่าต้องไปนานเท่าใดเมื่อวานข้ายุ่งๆ จนลืมส่งข่าวให้ท่านพ่อเสียสนิทเลย" "พระชายาไม่ต้องทรงเป็นกังวลเพคะเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาต้องเดินทางไปยังชายแดนเหนือเวลานี้ล่วงรู้กันทั้งเมืองแล้วล่ะเพคะ" "หืม ใครกันช่างปากไวเช่นนี้เพียงแค่คืนเดียวรู้กันทั่วทั้งเมืองเลยเช่นนั้นหรือ" ลี่ถิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ นางไม่กล้าบอกว่าข่าวที่แพร่สะพัดไปนี้เป็นฝีมือของคุณหนูหยางเพราะกลัวว่าพระชายาจะโกรธหยางซูฉินจนก่อเรื่องขึ้นมาอีกนั่นเอง เมื่อเดินออกมาจากเรือนซินหยางก็มองเห็นบ่าวในจวนช่วยกันยกหีบสัมภาระขึ้นบนรถม้ากันขวักไขว่ข้าวของรุงรังเต็มไปหมดเมื่อพวกเขาหันมาเห็นนางจึงรีบทำความเคารพ ลู่เหยียนซินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องสนใจนางพวกเขาจึงรีบไปทำงานต่อทันที ลู่เหยียนซินรีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถม้าที่หน้าประตูจวนเพื่อออกนอกเมืองไปสมทบกับกองกำลังทหารของอ๋องฉินอีกทีหนึ่ง เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูเมืองนางก็รีบเปิดม่านประตูชะเง้อคอออกมามองนอกรถม้าทันที สายตาของนางจับจ้องไปยังลานกว้างข้างหน้ามองเห็นกลุ่มเหล่าทหารกล้ารูปร่างโปร่งสูงสมส่วนแข็งแรงอกผายไหล่ผึ่งกำลังยืนจัดขบวนกันอยู่อย่างละลานตาเต็มไปหมด สายตาของนางจ้องมองความองอาจของพวกเขาเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกายจนลืมไปว่าตนเองกำลังจะลงจากรถม้า ไม่ทันระวังก้าวเท้าพลาดสะดุดกับขอบรถม้าเป็นอ๋องฉินที่ยื่นมือมารับนางไว้ได้ทัน "ซุ่มซ่ามเสียจริง" นางมุุ่ยหน้าให้เขาลังเลที่จะขอบคุณเขาดีหรือไม่ ‘ปากแบบนี้…ไม่ดีกว่า’ "เช้านี้ปากท่านรับประทานสุนัขเข้าไปหรือเพคะท่านอ๋อง" "ลู่เหยียนซิน!" "ฮ่าๆๆ" นางรู้สึกสะใจอยู่บ้างที่ได้ด่าเขาออกไปก็เล่นบังคับให้เดินทางไปกับเขาทางอ้อมเช่นนี้ ความรู้สึกอึดอัดอัดอั้นใจที่นางมีจะต้องได้ระบายออกมาบ้างถึงจะคุ้มค่ากับที่นางนั่งเคลียดมาทั้งวันทั้งคืน นางถอยหลังออกวิ่งตรงไปยังรถม้าคันใหญ่คันงามที่มีชิงอียืนประกบอยู่กับทหารสองสามคนที่คอยตรวจตรารถม้ากันอยู่รอบคันรถ "ข้าอยากจะบ้าตาย" อ๋องฉินส่ายหัวให้กับกิริยาเหมือนม้าดีดกระโหลกของนางตั้งแต่ถูกโบยคราวก่อนพอฟื้นขึ้นมาก็เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตกลงแล้วนางคือลู่เหยียนซินตัวจริงหรือนางเป็นใครกันแน่นะ วันนี้ลู่เหยียนซินสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสดใสนางไม่ได้แต่งตัวหรูหราแต่ปักเครื่องประดับเพียงปิ่นหยกมรกตชิ้นเดียวเท่านั้น ความสดใสร่าเริงของนางที่แสดงออกมาในวันนี้ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำให้นางรู้สึกทรมานในการเดินทางในครั้งนี้หรือกำลังทำให้นางรู้สึกสนุกอยู่เป็นแน่ ก่อนที่เขาจะเดินตามนางไปก็ได้ยินเสียงเรียกของสตรีนางหนึ่งดังแว่วอยู่ข้างหู "ท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องให้หม่อมฉันตามไปด้วยได้หรือไม่เพคะ" เสียงหวานใสมาพร้อมกับใบหน้าใสซื่อของหยางซูฉินสีหน้าของนางแสดงถึงความโศกเศร้าอย่างที่สุด "ไปครั้งนี้ไม่แน่นอนถึงเวลากลับเจ้าเป็นสตรีทั้งยังไม่ออกเรือนจะเดินทางร่วมกับข้าคงไม่เหมาะเท่าใดนักอีกทั้งเส้นทางข้างหน้าทุรกันดารยิ่ง ข้าไปเพื่อทำตามราชโองการของฮ่องเต้เจ้ารอข้าอยู่ที่เมืองหลวงนี้เถอะ" เสียงอบอุ่นของบุรุษกล่าวปลอบประโลมหญิงสาวตรงหน้า ลู่เหยียนซินคงจะไม่รู้สึกอะไรหากนั่นไม่ใช่เสียงของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางที่กำลังแสดงออกถึงความห่วงใยกับสตรีคนอื่นอยู่ แต่แล้วลู่เหยียนซินก็เพิ่งนึกขึ้นได้ คำปลอบประโลมของอ๋องฉินเมื่อครู่นี้ทำให้นางฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ 'อันตรายเช่นนั้นหรือ หากมีอันตรายแล้วเหตุใดยังให้ข้าไปด้วยกันล่ะคนผู้นี้ต้องการเห็นข้าลำบากหรือต้องการแอบสังหารข้ากันแน่!' "ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะรอท่านอ๋องกลับมานะเพคะ" นางพูดทั้งน้ำตาคลอเต็มดวงตาหยางซูฉินกำลังจะซบไปที่อกของบุรุษตรงหน้าก็ต้องพลันหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง "ท่านอ๋องหากคนนอกเห็นคงคิดว่าหยางซูฉินคือพระชายาของท่านแน่นอน พวกท่านไม่อายคนอื่นแต่ข้าอายแทนนะใบหน้าพวกท่านคงจะหนาน่าดู" "นี่เจ้า!" อ๋องฉินหันหลังกำลังจะตวาดนางกลับแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเห็นนางเดินไปขึ้นรถม้าของตนเองอย่างไม่สนใจต่อสิ่งใดอีกสตรีผู้นี้ชอบยั่วโมโหเขายิ่งนัก "พระชายาค่อยๆ ก้าวขึ้นนะเพคะ" "ขอบใจนะลี่ถิง" นางหันมองไปคนทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะยักคิ้วส่งไปให้อ๋องฉินแล้วรีบปิดม่านลงทันที อ๋องฉินโมโหมากแต่เพราะต้องรีบเดินทางโดยเร็วเลยได้แต่ต้องปล่อยนางไปก่อน ขบวนกองทัพของอ๋องฉินเคลื่อนผ่านเส้นทางตัวเมืองหลวงสองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดู ตรงกลางขบวนเป็นรถม้าที่พระชายาฉินประทับอยู่รถม้าถูกตกแต่งอย่างงามวิจิตรเหมาะสมกับฐานะพระชายาเอกเป็นอย่างมาก สายลมพัดโชยไปยังผ้าม่านสีเขียวเข้มพริ้วไหวบนรถม้าคันงามปรากฎให้เห็นหญิงสาวใบหน้ามนรูปไข่ที่มีเลือดฝาดบนพวงแก้ม ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังอมยิ้มไม่มีร่องรอยความเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวงามลอบมองบรรยากาศข้างนอกผ่านม่านหน้าต่างผิวกายของนางนั้นขาวสะพรั่งสวยงามกว่าสตรีคนใดในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่นานนักฝ่ามือเรียวก็ยกขึ้นเลิกผ้าม่านหน้าต่างของรถม้าขึ้นนางมองออกไปก็เห็นแผ่นหลังกว้างที่อยู่นำหน้าขบวน แผ่นหลังที่ตรงสูงเด่นสง่าน่าเกรงขามนั้นนั่งอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่สีดำทมิฬดูองอาจเช่นเคย ข้างกายเป็นเฟยหยาองค์รักษ์คนสนิทควบม้าอยู่ด้านข้างอ๋องฉินส่วนชิงอีองครักษ์คนสนิทอีกคนควบม้าอยู่ด้านข้างรถม้าของนาง นางมองไปยังสองข้างทางที่มีร้านรวงต่างๆ แออัดกันอยู่มากมายผู้คนหนาแน่นของกินของใช้ตระการตาบางอย่างก็ดูแปลกตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน "ลี่ถิงหากวันใดข้าหย่ากับอ๋องฉินแล้ว ข้าจะเริ่มทำการค้าก่อนเป็นอันดับแรกเลย" ดวงตาของนางเป็นประกายวาววับความใฝ่ฝันของนางคือการได้หลุดพ้นจากตำแหน่งพระชายาที่พันธนาการนางอยู่ในตอนนี้ "พระชายาเหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นกันล่ะเพคะ" "จะเป็นไรไปเล่าท่านอ๋องมีใจรักใคร่ต่อแม่นางหยางผู้นั้นส่วนตัวข้าเองก็ไม่ได้มีจิตพิศวาสกับท่านอ๋องอีกแล้ว ในเมื่อทั้งข้าและท่านอ๋องต่างก็ไม่ได้รักใคร่กันการหย่าขาดจากกันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว" "พระชายาอย่าได้พูดเช่นนั้นออกไปนะเพคะ หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาเป็นพระชายาเองที่จะเดือดร้อน" "จะโกรธข้าด้วยเรื่องอะไรกันมีแต่จะดีใจน่ะสิที่หลุดพ้นจากข้าไปได้" "พระชายา..." "หรือว่าที่เจ้าคัดค้านเพราะไม่อยากไปลำบากข้างนอกกับข้า วางใจเถอะหากข้าได้หนังสือหย่าแล้วข้าจะทูลขอให้ท่านอ๋องรับเจ้าไว้เป็นหญิงรับใช้ในจวนต่อไป" "ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเพคะ พระชายาอยู่ที่ไหนหม่อมฉันก็จะอยู่ที่นั่นเพียงแต่หม่อมฉันไม่อยากให้พระชายาลำบากอยู่ข้างนอกคนเดียวเพคะ" "เมื่อครู่เจ้าก็เพิ่งพูดไปว่าจะไม่มีทางทิ้งข้า ก็นั่นอย่างไรเล่าข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนมีเจ้าอยู่ด้วยนี่นา" นางพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลี่ถิงเห็นแววตาของนางดูมีความสุขต่างจากเมื่อก่อนมากก็ไม่กล้าพูดขัดนางอีกต่อไป "ลี่ถิง การเป็นคนธรรมดาคงจะรู้สึกดีกว่าการอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันนะ วันข้างหน้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะรับอนุเข้ามาอีกสักกี่คนความฝันของข้าก็เพียงแค่อยากให้สามีของข้ามีข้าเพียงคนเดียวซึ่งแน่นอนว่าท่านอ๋องไม่มีทางทำได้" นางพูดจบก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทันที การจากบ้านมาในที่ไกลแสนไกลต้องมาพบเจอกับโชคชะตาที่เล่นตลกแบบนี้ให้นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาก็คงจะดีกว่าต้องมาเป็นพระชายาที่สามีรังเกียจเช่นนี้ การเดินทางดำเนินไปจากเมืองหลวงออกสู่เส้นทางชนบทห่างไกลออกไปเรื่อยๆ สองข้างทางปรากฏบ้านเรือนชาวบ้านอยู่ประปรายก่อนจะเริ่มพบเห็นได้น้อยลง บรรยากาศทิวทัศน์โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ป่าเขาลำเนาไพรที่เริ่มจะไร้บ้านเรือนผู้คนอาศัยอยู่ ขบวนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ช้าบ้างเร็วบ้างการเดินทางไปยังเมืองจี้โจวต้องใช้เวลานานถึงแปดวันหรือสิบวันพวกเขาจึงเร่งเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง หยุดพักเพียงเพื่อทานอาหารกับพักม้าเท่านั้น ในวันที่สามของการเดินทางพวกเขารอนแรมอยู่ในป่ามาค่อนวันก็ยังไม่พบเจอทางออกไปสู่หมู่บ้านข้างหน้าแต่อย่างใดจนเวลาใกล้โพล้เพล้แล้วก็ยังคงอยู่กลางป่าแห่งใดแห่งหนึ่งอยู่ ทางข้างหน้ามีแต่ต้นไม้ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งกี่หนหน้าตาของผืนป่าแห่งนี้ก็เหมือนกันไม่มีผิดเหมือนอยู่ในเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น "คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ส่งคนออกไปล่าตะเวนตรวจสอบบริเวณนี้ให้ละเอียดอีกรอบ" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" "เดี๋ยวก่อน!" "มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" "พวกเจ้าไม่ต้องไปแล้วป่าแห่งนี้แลดูแปลกประหลาดพวกเราวนกลับมาที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากออกลาดตระเวนเวลานี้ข้าเกรงว่าอาจจะคลาดกันได้" "ข้าจะตั้งม่านพลังอำพรางไม่ให้สัตว์ป่าหรือผู้ใดมาพบเห็น พวกเจ้าเพียงแค่ทำเครื่องหมายเอาไว้ก็พออย่าได้หลงออกจากม่านพลังของข้า" "พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" ทางด้านลู่เหยียนซินเมื่อชะโงกหน้าออกมามองดูก็เห็นว่ามีทหารบางส่วนหยิบเอาอุปกรณ์สำหรับตั้งค่ายออกมาแล้ว นางค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีลี่ถิงยืนรอรับอยู่ด้านข้าง สายลมยามเย็นโบกสะบัดพัดโชยมาทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่….. ‘คงไม่ใช่ว่าแถวนี้จะมีผีหรอกนะ! น่าขนลุกชะมัด’ "พระชายาพวกทหารตั้งค่ายกันเสร็จแล้ว เชิญท่านไปอาบน้ำที่ลำธารกันเถอะเพคะ" "อืม ข้ารู้สึกเหนียวตัวอยู่พอดี" ลู่เหยียนซินเดินนำลี่ถิงไปยังลำธารเพื่อชำระล้างตัวบวกกับความเหนื่อยล้าที่นั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันหากได้อาบน้ำสักหน่อยคงจะสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง เมื่อมาถึงลำธารก็ปรากฏให้เห็นแม่น้ำใสแจ๋วรอบๆ ถูกกั้นด้วยผ้าเป็นแถบยาว นางหันมองดูรอบๆ ป่าแห่งนี้ดูแปลกตาให้ความรู้สึกวังเวงน่าขนลุกเป็นอย่างมาก "พ่อแก้วแม่แก้วอย่าได้มาหลอกหลอนกันเลยนะ ไว้ข้าถึงจี้โจวเมื่อไหร่ข้าจะทำบุญไปให้" พูดจบพลันสายลมก็พัดโชยมาทันทีทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บเย็นยะเยือกขึ้นมาดื้อๆ "พระชายาเมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะเพคะ” ลู่เหยียนซินหันมองไปรอบๆ ป่าสายลมพริ้วไหวพัดใบไม้ปลิวสะบัด ต้นไม้ใบหญ้าโอนเอนลู่ไปตามแรงลมความเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล แสงตะวันเริ่มจางหายไปทีละนิดความมืดก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ ลู่เหยียนซินรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างจับจ้องมายังพวกนางอยู่ ‘รู้สึกไปเองใช่ไหมนะ…’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม