EPISODE 03-01
นอนไม่หลับ
หลังจากมีการสร้างโรงงานผลิตขนาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หน้าที่ต่อไปจนถึงการบริหารจัดการนั้นลูซิเฟอร์ยกให้แพทริคดูแลทั้งหมด เขาบอกว่าเขาจะคอยดูอยู่เบื้องหลัง คอยจ่ายเงินและลงทุน ส่วนทิศทางการบริหารต่าง ๆ ให้แพทริคทำอย่างที่เคยทำตอนอยู่ต่างประเทศเลย
ในทีแรกยังทำใจเชื่อได้ว่าลูซิเฟอร์อยากทำธุรกิจใหม่แล้วจ้างแพทริคให้ทำงานให้จริง ทว่าพอทำงานร่วมกันไป ๆ มา ๆ จึงรู้สึกได้ว่าลูซิเฟอร์นั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำสิ่งนี้ตั้งแต่แรก เขาไม่ได้อยากมีธุรกิจผลิตตุ๊กตากับของเล่นเด็ก เพียงแต่เห็นว่าแพทริคอยากทำ เขาจึงสร้างทุกอย่างให้
แน่นอนว่าแพทริคไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้น เหตุใดถึงต้องตามใจจนถึงขั้นเสียเงินเสียทองไปหลายร้อยล้านเพื่อริเริ่มธุรกิจที่ตัวลูซิเฟอร์เองไม่ได้อยากทำ
“ผมขอถามคุณลูฟอีกครั้งว่าคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ ลงทุนเงินเป็นร้อย ๆ ล้านแล้วไม่สนใจงานแบบนี้ผมเริ่มฉุนแล้วนะครับ คุณดูไม่ใส่ใจสักเท่าไรเลย อะไรก็ให้ผมทำเองหมด ให้คำปรึกษานิด ๆ หน่อย ๆ เอง”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมจะจ้างแพททำ แพทเป็นลูกจ้างก็ทำไปเถอะ จะบ่นอะไรนักหนา”
“ผมรู้แล้วว่าผมเป็นลูกจ้าง แต่ผมก็รู้สึกว่าคุณลูฟไม่ได้อยากทำมันอยู่ดี”
“แพทอยากทำผมก็ให้ทำไง ชอบไม่ใช่เหรอธุรกิจนี้น่ะ เคยทำมันได้ดีก็มาเริ่มทำต่อสิ จะเป็นไรไป ทำให้มันได้กำไรเถอะ แพททำได้ผมก็ได้เงินไปด้วย แต่ถ้าทำเจ๊งผมจะเก็บเงินกับแพททีหลัง”
“...”
แพทริคกอดอกมองคนที่ตัวสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยแววตาจับพิรุธ ซึ่งลูซิเฟอร์เห็นอีกฝ่ายมองแบบนี้เขาก็ตีหน้าขรึม ยกมือขึ้นลูบผมที่เซตเป็นทรงอย่างดี ก่อนจะหาจังหวะหลบสายตาครู่หนึ่ง
ทว่าจนแล้วจนรอดไม่ว่าเขาจะขยับตัวไปทำอะไร แพทริคก็จะเดินตามมาจ้องหน้าอย่างกวนประสาท เหมือนต้องการกดดันให้ลูซิเฟอร์พูดความจริงบางอย่างออกมา
“จะเดินตามผมมาทำไม แพทไม่ไปดีลงานกับลูกค้าเก่าเหรอ?”
“งานผม ผมจัดการได้ แต่ผมต้องจัดการคุณลูฟก่อน ผมรู้สึกว่าคุณตามใจผมมากเลยในเรื่องงาน ทั้งที่คุณลูฟก็รู้ทั้งรู้ว่าผมทำแบบนี้เพื่ออยากเอาชนะญาติตัวเอง ที่จริงก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดี แต่คุณลูฟก็ไม่เคยห้ามผม แถมลงเงินสนับสนุนเรื่องงานทุกอย่างอีกต่างหาก”
“เฮ้อ บอกก็ได้ ก็ผมอยากมีลูกกับแพทไง”
“เกี่ยวอะไรกับเรื่องลูกครับ?”
“ถ้าแพทมีความสุข อารมณ์ดี ร่างกายก็จะแข็งแรงและอาจพร้อมต่อการมีลูก สภาวะทางอารมณ์และจิตใจสำคัญน่ะ ผมเลยตามใจแพท เพราะถ้าแพทได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมดแล้วจะได้ไม่มีเรื่องกังวล บางทีอาจมีลูกตั้งแต่ทำครั้งแรกเลยก็ได้”
“ผมเริ่มกลัวกับความคาดหวังของคุณลูฟแล้วนะ คุณลูฟหวังกับผมไว้มาก ผมกลัวว่าคุณจะโดนญาติผมหลอกน่ะสิ ร่างกายผมมันมีพันธุกรรมพิเศษอยู่ไหมยังไม่รู้เลย”
“รอหมอที่ผมสนิทกลับมาจากต่างประเทศก่อน อีกไม่นานหรอก ถ้ากลับมาแล้วผมจะพาแพทไปตรวจร่างกาย อ้อ แต่ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อลูกทั้งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อแพทสักหน่อย ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“อ้อ เพื่อลูกสินะครับ โอเค ผมเข้าใจแล้ว ผมจะตั้งใจทำงานนะครับ เพราะถ้าผมมีลูกให้คุณลูฟเรียบร้อยแล้วเราจะได้แยกย้ายกันด้วยดี”
สิ้นประโยคที่ค่อนข้างใช้น้ำเสียงราบเรียบและทุ้มต่ำ ต่างฝ่ายต่างช้อนตามองกันแวบหนึ่งก่อนจะเดินหนีไปคนละมุมของปราสาท แพทริคเดินไปทิ้งตัวนั่งหน้ากองงานของเขา ส่วนลูซิเฟอร์ก็เดินออกไปยังสวนดอกไม้นอกปราสาท เขาสั่งคนรับใช้ให้นำชาและขนมไปให้ด้วย
คนที่มีท่าทางสุขุมอย่างลูซิเฟอร์นั้นย่อมไม่มีใครมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานี้เก็บงำความคิดอันซับซ้อนไว้มากมาย แต่ก็แสดงออกมาเพียงความเย็นชาและเฉยเมยเหมือนไม่ค่อยสนใจใครทั้งนั้น
ทว่าอันที่จริงเขาเป็นคนอ่อนไหวมาก ซึ่งแน่นอนว่าเขากำลังนั่งจิบชาไปพร้อมกับคิดทบทวนสิ่งที่แพทริคพูดใส่เขาเมื่อครู่ไม่หยุดเลย
ไม่ต่างจากแพทริคที่กำลังหัวเสียอย่างหนัก เขาลิสต์รายชื่อลูกค้าจากบริษัทเก่าผิด ๆ ถูก ๆ ในหัวเอาแต่คิดว่าถ้ามีลูกให้ลูซิเฟอร์แล้วชีวิตเขาจะไปทางไหนต่อ ตกลงเขามาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ผลิตทายาทให้เผ่าพันธุ์หมาป่าครึ่งมนุษย์ เหมือนแม่อุ้มบุญที่เมื่อคลอดลูกให้เขาแล้วก็แยกย้ายไปคนละทาง ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นน่ะหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเพราะชีวิตเขานั้นมืดแปดด้าน จะกลับไปทำงานที่เดิมก็ไม่ได้ จะกลับไปเป็นคนของตระกูลเทวะจุติภพก็ไม่มีใครต้อนรับ
หรือจะให้อยู่เป็นลูกจ้างของลูซิเฟอร์ไปแบบนี้เขาคงไม่สะดวกใจ ในเมื่อทำหน้าที่มีลูกให้อีกฝ่ายแล้ว ลูซิเฟอร์ได้สิ่งที่ต้องการจากแพทริคไปแล้ว เชื่อเลยว่าถึงเวลานั้นทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม
แต่ถ้าถามว่าแพทริคต้องการอะไรนอกจากการทำตามสัญญาประมูลแล้วแยกย้าย เขาก็ตอบอะไรไม่ได้เช่นกัน
จริงอยู่ว่าในทีแรกเขามีความคิดที่จะล้มสัญญา คิดจะหนีออกไปจากที่นี่ แต่พออยู่ปราสาทฝั่งขวามาจนถึงวันนี้ก็หนึ่งเดือนเต็มแล้ว ทุกอย่างราบรื่นและสงบสุขกว่าที่แพทริคคิดไว้มาก เขาไม่ได้ลำบากอะไรเลย ออกจะสบายทั้งกายทั้งใจเสียด้วยซ้ำ
ตึก ตึก ตึก
ขณะที่ความคิดของแพทริคกำลังฟุ้งซ่าน คนรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาหาเขา คนหนึ่งยืนรายงานสิ่งที่เจ้านายสั่งมา ส่วนอีกคนถือตะกร้าทรงสี่เหลี่ยมมาเตรียมใส่ของด้วย
“คุณแพทริคคะ คุณลูซิเฟอร์เรียกหาค่ะ บอกว่าให้เอางานไปทำด้านนอก เดี๋ยวคุณลูซิเฟอร์จะช่วยทำค่ะ”
ร่างเล็กถอดแว่นตาที่สวมใส่ขณะทำงาน ก่อนจะช่วยหยิบเอกสารลงในตะกร้าแล้วเดินตามหลังคนรับใช้ไปหาลูซิเฟอร์ที่สวนดอกไม้ด้านนอกปราสาท ซึ่งก็อยู่ด้านข้างของปราสาทฝั่งขวา
แต่บริเวณนี้แพทริคไม่เคยมานั่งเลย เขาชอบออกไปสูดอากาศที่สนามหญ้ากว้างขวางด้านหน้าเสียมากกว่า
“เรียกผมมาทำไมไม่ทราบ ผมกำลังตั้งใจทำงานอยู่นะครับ”
“ผมว่าง เดี๋ยวจะช่วยทำก็ได้”
“ทุกทีไม่เห็นจะสนใจงานอะไรเลย เห็นจ่ายเงินอย่างเดียว”
“ก็ตอนนี้เริ่มสนใจแล้ว”
แพทริคยังคงทำหน้าบึ้งตึงอย่างไม่มีเหตุผลอยู่เหมือนเดิม เขาพาลหงุดหงิดลูซิเฟอร์ไปด้วยจนถึงขั้นคว้าแก้วชาของอีกฝ่ายมาดื่มจนหมดแก้ว ขนมบนจานเล็กก็ถูกแพทริคหยิบมาทานไม่เหลือ คิดว่าจะก่อกวนให้อีกฝ่ายหัวเสียได้บ้าง
แต่ความจริงคือไม่เลย ลูซิเฟอร์สั่งคนรับใช้ให้นำชาและขนมมาเพิ่มมากพอจนแพทริคทานไม่ทัน สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ไปเองเพราะอิ่มท้องเป็นอย่างมาก
หลังจากอารมณ์สงบลงทั้งคู่ก็เริ่มช่วยกันทำงานอย่างจริงจัง เมื่อเข้าสู่โหมดการทำงานแล้วต่างฝ่ายต่างเผยด้านที่จริงจังขึ้นให้กันและกันได้เห็น
แพทริคดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแบบผิดหูผิดตา ลูซิเฟอร์เองก็สุขุมและทรงอำนาจสมกับคนที่มีประสบการณ์ทำงานมามาก คนทำงานเก่งสองคนมาคุยกันบทสนทนาจึงไหลลื่นตั้งแต่ต้นจนจบ
ความตั้งใจในการทำงานของแพทริคครั้งนี้ เขาต้องการบริหารบริษัทให้ได้ดีเหมือนที่เขาเคยทำ และจะดึงรวมฐานลูกค้าเดิมที่เคยทำการค้ากันที่ต่างประเทศด้วย
แพทริคติดต่อไปหมดทุกที่ ส่วนหนึ่งก็ตกลงทำการค้าทันที อีกส่วนก็ขอคิดดูก่อน การกระทำแบบนี้จะบอกว่าเป็นการแย่งลูกค้าจากที่เดิมหรือไม่ ก็คงตอบตามตรงว่าใช่
ความโกรธแค้นในใจของแพทริคคือเหตุผลที่สั่งให้เขาทำแบบนี้ ในเมื่อญาติของเขากำลังแย่งธุรกิจที่เขาดูแลมาหลายปีไป เขาก็จะทำลายมันแล้วทำให้ญาติเหล่านั้นเห็นว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ยืนหยัดได้ด้วยความสามารถ ไอ้ตัวประหลาดคนนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ทุกคนคิด
ถึงจะเป็นการแย่งฐานลูกค้ามาจริง แต่ลูกค้าครึ่งหนึ่งในตอนนี้แพทริคก็เป็นคนหามาเองในตอนที่เขาบริหารอยู่ที่เก่า ตัวเขาเข้าไปจัดการในวันที่ธุรกิจของคุณปู่กำลังมีปัญหาจนมันรุ่งเรืองขึ้นภายในห้าปี จู่ ๆ พอธุรกิจเข้าที่เข้าทางก็ถูกญาติชุบมือเปิบไปอย่างหน้าไม่อาย เขาก็แค่อยากได้สิ่งที่เคยลงแรงไปกลับมาก็เท่านั้น
การถูกแย่งสิ่งที่สร้างมา แพทริคคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับเขาเลยสักนิด แต่เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่กำลังทำอยู่ตอนนี้แล้ว ทางเดียวที่จะทำให้เขามีจุดยืนขึ้นมาบ้างนั่นคือเขาต้องทำอะไรให้ประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยทำ
แม้ในอดีตคนที่เคยผลักดันเขาทุกทางคือคุณปู่ แต่วันนี้เมื่อไม่มีคุณปู่แล้ว แพทริคก็ได้หมาป่าครึ่งมนุษย์มาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูในเรื่องการทำงานโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ ซึ่งจะว่าดีมันก็ดี แต่จะว่าแปลกมันก็แปลก
“คุณลูฟครับ ผมถามหน่อยสิ ถ้าผมมีลูกให้คุณลูฟแล้วบริษัทนี้จะทำยังไงต่อครับ จะว่าไงดีนะ ผมไม่ได้อยากจะขอให้คุณยกให้ผม แต่ผมอยากเห็นมันสำเร็จแม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่กับคุณแล้วก็ตาม ผมตั้งใจทำจริง ๆ นะ”
“ถึงเวลาเดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าไปคิดมากกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มีความสุขกับปัจจุบันก็พอ”
“มีความสุขกับปัจจุบันงั้นเหรอ อืม...คุณลูฟก็พูดได้สิ คุณมีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้วนี่ แต่ผมมันถังแตก ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ชีวิตไม่แน่นอนจะให้คิดแค่ปัจจุบันอย่างเดียวคงไม่ได้หรอก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัจจุบันของผมนี่มีอะไรบ้าง”
“แพทมีผมไง ผมเป็นปัจจุบันของแพทนะ”
ลูซิเฟอร์พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมยังหลุบมองเอกสารตรงหน้าอย่างตั้งใจ แต่ถ้อยคำมันแปลกหูจนแพทริคอดหันไปมองด้วยความสงสัยไม่ได้จริง ๆ
“ปากหวานเหมือนกันนะเนี่ย คุณลูฟจีบผมอยู่เหรอ?”
คนแซวก็แซวโดยไม่คิดอะไร แต่ลูซิเฟอร์ที่ถูกแซวกลับดึงสีหน้าไม่อยู่ เขาทั้งตื่นตระหนกและร้อนรนอย่างน่าประหลาด จะเถียงแพทริคเพื่อปฏิเสธก็คิดคำไม่ออก ทำได้แค่ยกชาขึ้นมาดื่มแล้วลุกหนีไปเสียอย่างนั้น ซึ่งทำให้แพทริคมองตามด้วยความรู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม
“เป็นอะไรของเขาวะน่ะ”
มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ และดูท่าจะต้องวางแผนการทำงานกับกองเอกสารนี้ไปอีกหลายวันเลยด้วย
นั่นทำให้หลายวันผ่านไปแพทริคต้องทำงานหลายอย่างแทบไม่ได้หยุด ทุกวันเขาต้องจมอยู่กับกองเอกสารในตอนเช้า ช่วงบ่ายออกไปดูการก่อสร้างทั้งส่วนของโรงงานที่ผลิต และคุยกับพนักงานขายเรื่องเครื่องจักร รวมถึงคุยกับผู้รับเหมาในการสร้างออฟฟิศทำงานอีก
งานทั้งหมดนี้แพทริควิ่งเต้นอยู่คนเดียว แต่ละวันวุ่นเสียจนทานข้าวไม่เป็นเวลาจึงโดนลูซิเฟอร์ดุอยู่ตลอด ดีที่ช่วงนี้พวกเขาได้คุยกันแพทริคจะขอคำปรึกษาและได้คำตอบที่เป็นทางการจากลูซิเฟอร์เสมอ ทำให้หลายปัญหาคลี่คลายไปได้บ้างเขาเลยไม่ค่อยเครียดมากสักเท่าไรนัก
ออกจะเหนื่อยกายเสียมากกว่าที่ต้องเทียวไปตรงโน้นที ตรงนี้ที กว่าจะกลับมาถึงปราสาทก็พลบค่ำเสียทุกวัน ไม่เคยกลับมาทันดื่มด่ำบรรยากาศพระอาทิตย์ลาลับหายไปบนหลังคาปราสาทเลยสักวัน
วันนี้ก็เช่นกัน แพทริคกลับมาถึงในเวลาหนึ่งทุ่มกว่า ทันทีที่คนขับรถจอดเทียบประตูปราสาทปีกขวา คนรับใช้ก็จะออกมาเตรียมเปลี่ยนรองเท้าและถือของให้อย่างเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้มีบทสนทนาใหม่เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
“เชิญด้านในค่ะ คุณลูซิเฟอร์รอทานมื้อเย็นกับคุณแพทริคอยู่”