8 ปีต่อมา ณ กรุงมอสโกประเทศรัสเซีย
“ไงปีเตอร์ได้ข่าวอะไรมาล่ะ” น้ำเสียงที่ยังหวานใสราวระฆังแก้วของแมรีแอน ชาร์ตันวัย 45 ปีไม่ได้ทำให้ปีเตอร์ชาร์ตันรู้สึกดีแม้แต่น้อยตรงกันข้ามเขากลับหวาดกลัวและรังเกียจเสียงใสๆ ที่ได้ยินนี้จับใจ
“ทางคอนแวนแจ้งมาว่าเด็กสองคนนั้นเรียนจบมัธยมปีที่สามเรียบร้อยแล้ว”
“เด็กคนไหนปีเตอร์ แกก็รู้ว่าฉันเลี้ยงเด็กเอาไว้เป็นสิบ ๆ คนอย่ามาโยกโย้นะ” น้ำเสียงของเธอเริ่มเปลี่ยนแววตาดุดันไม่เท่ากับกล่องไม้สี่เหลี่ยมบนโต๊ะที่ถูกขว้างเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว
“กะ...ก็เด็กสองคนนั้นที่เราพามาจากหมู่บ้านบนดอยสูงของประเทศไทยเมื่อ 8 ปีก่อนสองพี่น้องอันตรากับนันทภัทร์ ชาร์ตันไงครับนี้ครับรูปถ่าย” ปีเตอร์ลนลานส่งภาพถ่ายในวัยเด็กของทั้งคู่ให้กับนายสาวเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ
“อ้อ...เด็กสองคนนี้เองหึ ๆ ตอนนี้คงโตแล้วสินะ”
“โตแล้วและก็พร้อมที่จะทำงานแล้วด้วยครับนี้รูปของพวกเธอปัจจุบัน” รูปถ่ายอีกใบขนาดเท่ากระดาษเอสี่ถูกยื่นไปตรงหน้าของนาง
“โอ้ว...พระเจ้านี้เด็กสองคนนั้นเหรอ...ไม่น่าเชื่อ” นางอุทานออกมาก่อนจะนำรูปภาพทั้งสองใบมาเปรียบเทียบกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เสียแรงที่ฉันหอบหิ้วมันมาด้วย ส่งคนตามประกบดูแลพวกมันให้ดีอยากได้อะไรก็สรรหาให้กับพวกมันยกเว้นผู้ชายถนอมพวกมันให้ดีฉันจะรออีก 3 ปีให้มันโตเต็มที่รับรองว่าฉันจะเอาคืนจากพวกมันให้คุ้มทีเดียว”
“หมายความว่า....”
“ก็หมายความว่าให้พวกมันเรียนต่ออีก 3 ปีพอมันเรียนจบฉันจะส่งมันให้กับลูกค้าที่กระหายสาวบริสุทธิ์ แกก็รู้นะปีเตอร์ว่าพวกมันโง่ขนาดไหนที่ยอมเสียเงินมหาศาลเพียงเพื่อเยื้อบางๆ จากเด็กสาว ฮ่า ๆ”
“ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ดีมากแกทำยังไงก็ได้ให้พวกมันรักและบูชาฉันและเห็นว่าฉันเป็นคุณแม่ที่แสนดีของพวกมัน”
“ครับ”
“สินค้าที่ส่งไปงวดก่อนเป็นยังไงบ้างเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยครับลูกค้าพอใจมากโอนเงินให้กับเราเรียบร้อยครบทุกบาท”
“ดีมากปีเตอร์ฮ่า ๆ”
แมรีแอน ชาร์ตันเป็นผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลมากอีกคนหนึ่ง ในกรุงมอสโกเธอเป็นต้นแบบของหญิงสาวที่รักครอบครัวรักความยุติธรรมและเป็นแม่พระของเด็กน้อยทั่วโลกเป็นนักบุญที่มีแต่คนนับหน้าถือตาเธอยืนหยัดในสังคมด้วยหน้ากากอันสวยหรูของคนดีแต่ความจริงแล้วน้อยคนนักที่จะทราบว่าภายใต้ใบหน้าอันงดงามนั้นเต็มไปด้วยความโสมมความชั่วร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ผ้าขาวของสังคมต้องแปดเปื้อนทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของเธอมานักต่อนัก
ประเทศไทย ณ โรงเรียนหญิงล้วนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง
ในวันนี้เป็นวันที่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่3 จบการศึกษาคุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัวต่างมาร่วมแสดงความยินดีให้กับลูกหลานทุกคนต่างก็มีแต่รอยยิ้มของความสุข
“นันทภัทร์ อันตรา มีญาติมารอพบที่ห้องประชุมนะ” อาจารย์ประจำตึกเดินเข้ามาแจ้งกับสองพี่น้องที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง
“ใครกันพี่นัน” น้องสาวหันมาถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“พี่ว่าไปดูกันดีกว่าอย่ามัวเดาเลย” สองพี่น้องพยักหน้าให้กันก่อนจะเดินตามอาจารย์ประจำตึกไปยังห้องประชุม
“นั้นไงคนที่จะมาพบพวกเธอ” มือเรียวขาวชี้ไปยังหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำตาลแดงถูดม้วนมวยขึ้นกลางกระหม่อมที่ยืนหันหลังให้กับพวกเธอ
“มาแล้วหรือลูกสาวของฉัน” หญิงสาวตรงหน้าค่อยหันมาช้า ๆ ใบหน้าของมิสแมรี่ยังคงงดงามไม่เปลี่ยนรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนที่พวกเธอเคยได้รับยังคงเหมือนเดิมแววตาที่มองมายังคงแลดูอบอุ่นเสมอ
“คุณแม่” สองสาวอุทานออกมาด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งเข้าหาอ้อมแขนที่กางออกรออยู่ตรงหน้า
“ลูกสาวของฉันโตขึ้นเยอะจริง ๆ สวยทั้งคู่ยิ่งมองก็ยิ่งสวย” นางเอ่ยชมไม่ขาดปากพลางลูกไล้ใบหน้าสวยหวานของทั้งสองพี่น้อยด้วยความชื่นชม สมองอันชาญฉลาดคำนวณตีราคาค่าความสวยของทั้งสองทันที
“คุณแม่สบายดีแล้วหรือค่ะ” นันทภัทร์เอ่ยถามผู้มีพระคุณอย่างห่วงใย
“อืม...ค่อยดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ไหนคุณลุงบรุ๊คบอกว่าคุณแม่เดินทางไกลๆ ไม่ได้ไงคะ แล้วทำไม”
“อาการแม่ดีขึ้นแล้วล่ะ และวันนี้ก็เป็นวันสำคัญของลูก แม่จะไม่มาได้อย่างไรจริงไหม” น้ำเสียงที่อ่อนโยน กับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าทำให้สองพี่น้องรู้สึกตื้นตัน เด็กสาวทั้งสองทรุดตัวลงกราบแทบเท้าของนาง มิสแมรีแอนถึงกับยืนนิ่งอึ้งก่อนจะขยับเท้าหนี
“พวกเธอทำอะไรลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” น้ำเสียงและแววตาของเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“พวกเราอยากกราบขอบพระคุณคุณแม่ที่ดีกับพวกเราค่ะ”
“นั่นสิคะทำไมคุณแม่ต้องไม่พอใจด้วยค่ะ” สองสาวรีบบอกเหตุผลของการกราบทันทีเมื่อเห็น ท่าทางอันเกรี้ยวกราดของผู้มีพระคุณ
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องคิดมากฉันเพียงแต่ไม่ชอบให้ลูกสาวของฉันมากราบแบบนี้” นางเริ่มรู้สึกตัวก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มอบอุ่นส่งให้
“แม่มาทีนี้ก็เพื่อจะบอกกับลูกทั้งสองว่าจะให้ลูกเรียนต่ออยู่ที่นี้อีก 3 ปีจนจบไฮสคูลจากนั้นแม่จะมารับลูกทั้งสองไปมอสโกตกลงตามนี้นะ” มิสแมรีแอนรวบรัดตัดความเสร็จสรรพ
“ค่ะคุณแม่” สองสาวรับคำด้วยรอยยิ้มพวกเธอดีใจที่จะได้อยู่ที่นี่ต่อ
นันทภัทร์หวังเอาไว้ว่าถ้าเธอจบไฮสคูลเธอจะขอสอนเด็ก ๆ ที่นี่แล้วก็เรียนต่อปริญญาไปด้วยส่วนอันตราเธออยากเป็นแอร์โฮสเตสเธอจะทำงานแล้วก็เรียนควบคู่กันไป ทั้งสองก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไปที่มีความฝัน วาดหวังและวางเป้าหมายของชีวิตเอาไว้อย่างสวยงาม แต่ใครจะรู้ว่าอนาคตของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร จะก้าวไปถึงสิ่งที่ฝันไว้หรือไม่ก็สุดแต่ฟ้าจะลิขิต
“ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมแม่จะพาลูกไปเที่ยวพักผ่อนไปเก็บของเถอะ” สองสาวยิ้มกว้างดีใจที่จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกคอนแวนแห่งนี้บ้างและยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอได้ไปกับคุณแม่ผู้แสนใจดีของพวกเธอ
“ไปไหนคะคุณแม่” อันตราเอ่ยถามด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนออกนอกหน้า
“ไปทะเล” สองสาวดีใจยกใหญ่พากันวิ่งไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าปล่อยให้คุณแม่ผู้แสนใจดีอย่างมิสแมรีแอนยืนมองตามหลังด้วยรอยยิ้มมาดหมายพลันภาพที่สองสาวก้มลงกราบแทบเท้าก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
“ไม่นะอย่านะแมรีแอนพวกมันคือสินค้าพอพวกมันได้ดีก็จะมองไม่เห็นหัวแก” นางสะบัดศีรษะอย่างแรงเพื่อไล่เอาจิตที่อ่อนแอออกไปคนอย่างแมรีแอนจะไม่ยอมตกเป็นทาสแห่งความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม