๔
ไกลบ้าน
ภายในห้องโถงใหญ่ คุณนายงามตานั่งเป็นประธานบนโซฟาไม้สักมันวาวบุนวมหนานุ่มอย่างดี ไม่ทิ้งห่างมากนักบนโซฟาตัวเดียวกันนั้นคือภพธร ถัดไปบนเก้าอี้ด้านข้างคือนางพิมพ์คนสนิท และบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามคือนางเรียมและกอหญ้า บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เด็กสาวนั่งก้มหน้างุด ส่วนนางเรียมนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ต่างกับคุณนายงามตาที่มีสีหน้าเคร่งขรึม และกำลังมองสองยายหลานด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ากำลังขบคิดอย่างหนัก
“ใกล้จบม.หกแล้วหรือยัง”
กอหญ้าเงยหน้าขึ้นมองคุณนายงามตาแล้วตอบเสียงแผ่ว มือทั้งสองข้างที่ประสานกันบนตักชื้นฉ่ำด้วยหยาดเหงื่อ
“อีกไม่ถึงสามเดือนก็จบแล้วค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้คุณนายงามตาหันไปมองลูกชายที่นั่งนิ่ง สีหน้าแววตามองเด็กสาวนั้นค่อนข้างอ่านยาก แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของคนเป็นแม่ และท่านรู้ดีว่าเวลานี้ลูกชายกำลังเกิดความสงสารเด็กสาว อีกทั้งคงกำลังโทษตนเองอยู่อย่างแน่นอน
แต่สำหรับคุณนายงามตาไม่ได้คิดเช่นนั้น ท่านหรี่ตาแคบลงพร้อมความคิดบางอย่าง ลูกชายของท่านต้องได้กับคนที่เหมาะสมกันเท่านั้น ไม่ใช่เด็กในบ้านที่ไม่แน่ว่ากำลังคิดจะจับลูกชายของตนอยู่ก็เป็นได้ ท่าทางไร้เดียงสาที่แสดงออกมาก็คงจะเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อให้ลูกชายของท่านตายใจจนเกิดความสงสาร
“ดี ถ้าจบเมื่อไรให้รีบมาบอก ฉันจะส่งเธอไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ที่นั่นฉันมีคนรู้จักมากมาย จะฝากๆ เขาคอยดูแลให้ ผลการเรียนเธอก็ดีไม่ใช่รึ หวังว่าคงสอบติดสักที่นะ”
ทั้งหมดหันไปมองคนพูดเป็นตาเดียว จึงได้เห็นสีหน้าและแววตาที่แสนเย็นชาจากท่าน ภพธรขมวดคิ้วขณะมองมารดา
“แล้วเรื่องผมกับกอ...”
“กอหญ้ายังเด็กเกินกว่าจะมีครอบครัว” ท่านละสายตาจากลูกชายหันมามองเด็กสาว สายตาที่มองนั้นคมปลาบเลยทีเดียว เด็กสาวจึงก้มหน้าหลบตาด้วยความละอายแก่ใจยิ่ง ทั้งยังสับสนหวาดหวั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“เรียนจบ แม่จะส่งเสริมให้เรียนสูงๆ จะได้มีงานดีๆ ทำ เจอคนที่ดีและเหมาะสมกับตัวเอง”
สิ้นเสียงของคุณนายงามตา นางเรียมก็เงยหน้ามองท่านทันที สีหน้าและแววตาของผู้เป็นยายแสดงออกถึงความผิดหวัง แต่ก็เป็นเพียงชั่ววูบหนึ่งเท่านั้นที่เผลอแสดงออกไป ทว่าคุณนายงามตาก็ยังเห็นสายตาของคนเก่าคนแก่ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจนัก ก่อนเอ่ยออกมาว่า
“เรื่องที่เกิดขึ้น ก็ถือเป็นความผิดพลาด เอาเป็นว่า ฉันจะให้เงินชดเชยพวกเธอสองยายหลานสักก้อนหนึ่ง แล้วจะส่งเสียให้เรียนสูงๆ ด้วย ขอแค่พวกเธอไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปก็พอ เพราะหากมีคนอื่นรู้ คนที่เสียหายก็คงจะไม่พ้นกอหญ้านั่นแหละ”
ปลายนิ้วเรียวจิกเข้าเนื้อ ดวงหน้าหวานก้มต่ำ น้ำตาเอ่อคลอ ขณะที่นางพิมพ์เหลือบตามองสองยายหลานด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก คราแรกคิดว่าทั้งสองจะเรียกร้องเงินทองจากคุณนายงามตาจึงเตรียมตั้งแง่รังเกียจ ทว่าเมื่อผล ออกมาเป็นแบบนี้ความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสารและเห็นใจไม่น้อย
เวลาเดียวกันภพธรมองมารดาด้วยสายตาเป็นคำถาม ท่านห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรเลยสักคำ แต่เขาเห็นว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำนั้นไม่ถูกต้อง ไม่มีอะไรถูกเลยสักอย่าง
“ผมคิดว่าเราควรทำสิ่งที่ถูกต้อง ผมจะหมั้นกับหญ้าเอาไว้ก่อน”
เมื่อลูกชายโพล่งออกมาแบบนั้น คนเป็นแม่ก็หน้าแดงก่ำทันที ทั้งยังสร้างความตกใจให้กับคนอีกสามคนที่ได้รับฟังไปพร้อมๆ กันด้วย โดยเฉพาะกอหญ้า เด็กสาวมองเขาอย่างตะลึงงัน เพราะไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะตัดสินใจอะไรแบบนั้นได้
“ตาหนึ่ง!” คุณนายพยายามกดน้ำเสียงให้ต่ำ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงตัวเป็นนางร้ายออกมาให้คนในบ้านนินทา แต่สิ่งที่ลูกชายเสนอนั้นเกินกว่าที่ท่านจะรับได้จริงๆ
แต่เมื่อสบตาเอาเรื่องของลูกชาย คุณนายงามตาจึงรู้ว่าไม่มีใครขวางภพธรได้แม้แต่ท่านเอง ดังนั้นการทำตัวไหลตามน้ำในเวลานี้น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
คิดได้เช่นนั้นท่านก็ฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวและนางเรียมพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“ที่ตาหนึ่งพูดมีเหตุผล เอาไว้เธอเรียนจบม.หกเรียบร้อยแล้ว ฉันจะทำการหมั้นหมายเธอกับตาหนึ่งเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ค่อยไปเรียนต่อ แบบนี้เป็นไงแม่เรียม”
นางเรียมอ้ำอึ้ง เพราะรับรู้ว่าแววตาที่มองมายังตนนั้นไม่มีความจริงใจ นางและหลานสาวเองก็ไม่ได้คิดจะให้เขาต้องมารับผิดชอบมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยสายตาวาววับ นางเรียมจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะหันไปมองหลานสาวที่นั่งหน้าซีดเผือด
“อิฉันแล้วแต่คุณนายค่ะ” พูดจบก็กุมมือหลานสาวเอาไว้แน่น คุณนายงามตาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วหันไปเอ่ยถามลูกชาย
“พอใจไหมตาหนึ่ง”
ภพธรสบตามารดานิ่ง เขาค่อนข้างพอใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกได้ว่าทุกอย่างยังคงหนักอึ้ง คล้ายมีบางสิ่งที่ยังดึงรั้งไม่คลี่คลายอย่างที่ควรเป็น
“ก็…” เขามองเด็กสาวที่ไม่ยอมมองหน้าเขาตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องโถง “ตกลงตามนี้ครับ น้าเรียมต้องการให้ผมทำอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ”
นางเรียมเงยหน้าขึ้น ขยับปากเตรียมขอบคุณ ทว่าคุณนายงามตากลับตัดบทเสียก่อน
“เอาเป็นว่าทุกอย่างก็ตกลงตามนี้ กอหญ้าเรียนจบม.หกก็หมั้นกับตาหนึ่ง จากนั้นไปเรียนต่อ จบแล้วก็ค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป อาจทำงานสักสองสามปียังไม่ต้องรีบร้อนเรื่องแต่งงานนัก เพราะบางทีพวกเธอคนใดคนหนึ่งอาจพบเจอคนใหม่ๆ ที่ดีกว่ากันก็ได้”
นางยิ้มให้ลูกชาย โดยไม่ลืมหันไปยิ้มให้นางเรียม คนทั้งสองทำหน้าคล้ายอึดอัดทั้งคู่ รับรู้ได้ว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างติดค้างในใจไม่คลายลงได้ง่ายๆ
ภพธรมองเด็กสาวด้วยสายตาเป็นห่วง เขารู้ว่าหล่อนกำลังคิดมาก และคงจะไม่เต็มใจให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ เขาเองใช่ว่าจะต้องการ แต่การที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นที่แม่ของเขาคิดจะทำในคราวแรก ภพธรเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องจึงเสนอเรื่องการหมั้นหมายออกไป แม้ว่าสาวน้อยอาจไม่เต็มใจก็ตามที