ณ ร้านขายข้าวสกุลฮั่ว
เพ่ยเจินเดินทางกลับมาถึงบ้านอย่างหัวเสียและวางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้อย่างแรงด้วยความโมโห ทำเอาบิดาที่กำลังสานตะกร้าอยู่หลังร้านต้องเหล่สายตามองมาด้วยความสงสัย
"คุณหนูเพ่ยเจินของข้าไปกินรังแตน ณ ที่ใดมา ถึงได้มีท่าทีกระฟัดกระเฟียดเอาเช่นนี้ ผู้ใดทำอันใดเจ้าเช่นนั้นหรือ?"
บิดาถามขึ้นมาน้ำเสียงขึงขัง
"แล้วนั่นแบกอะไรมาจนเต็มตะกร้าเช่นนั้นหรือ?"
มารดาถามขึ้นอีกพร้อมทั้งเดินมาชะเง้อคอดูในตะกร้าก่อนจะเบิกตาโตขึ้นด้วยความดีใจ
"หน่อไม่ป่างามๆทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะท่านพี่" ไป๋ซูเจียวมารดาของ
เพ่ยเจินพูดพลางหยิบหน่อไม้ป่าออกมาวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรง
โต๊ะไม้สักขัดมันอย่างดี
"ผลไม้พวกนี้ก็น่ากินยิ่งนัก เว่ยหยางเป็นคนมอบมันให้กับเจ้าใช่หรือไม่?" มารดาถามขึ้นมาอีกน้ำเสียงยินดี
"ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่ แล้วก็เพราะเขานี่แหล่ะที่เป็นตัวการทำให้ข้าอารมณ์เสียเจ้าค่ะท่านพ่อ" เพ่ยเจินชิงฟ้องบิดาขึ้นมาหน้าตางอเง้า
"เขาทำอะไรเจ้าเช่นนั้นหรือเพ่ยเจิน?" บิดาวางมือจากตะกร้าที่กำลังสานอยู่เงยหน้าขึ้นมามองบุตรสาวของตนด้วยความเป็นห่วงพร้อมทั้งกวาดสายตามองผมเผ้ารกรุงรัง เสื้อผ้าที่เปียกน้ำ และชุดคลุมใหญ่มหึมาอย่างนึกสงสัย
เพ่ยเจินนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วก็เอาแต่เม้ม
ริมฝีปากแน่น หน้าแดงขึ้นอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ และมิกล้าตอบคำถามของบิดาแต่อย่างใด จึงเสเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทนว่า
"พี่ใหญ่ยังอยู่ในบ้านหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ?"
"อ้อ เห็นว่าพี่สะใภ้ของเจ้ามิค่อยสบายนัก พี่ใหญ่จึงได้ปิดร้านขายข้าวสารของเราไวหน่อยวันนี้ เพื่อไปดูแลนางอย่างไรเล่า"
บิดาว่าพลางลอบส่งยิ้มให้กับมารดาอยู่เป็นระยะ
"พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พึ่งจะแต่งงานกันมาได้ราวห้าหกเดือน
คนแข็งแรงเช่นพี่สะใภ้นางจะล้มป่วยด้วยเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะ?"
เพ่ยเจินพูดพลางยกแขนขึ้นมากอดอกไว้หลวมๆและทำหน้าตาครุ่นคิดไปด้วย
'ไม่ได้การเสียแล้ว น้องสาวที่ดีเช่นนางเห็นควรว่าจะต้องรีบไปเยี่ยมดูอาการของพี่สะใภ้เสียหน่อย หาไม่แล้วชาวบ้านอาจจะติฉินนินทาเอาได้ว่าสกุลฮั่วของนางช่างแล้งน้ำใจนัก'
คิดได้ดังนั้นแล้วเพ่ยเจินจึงพูดออกไปว่า
"ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะเจ้าคะ
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะได้ไปดูอาการของพี่สะใภ้เสียหน่อย"
"เจ้าไปเถอะ แต่อย่าอยู่กวนพี่สะใภ้นานนักเล่า นางจะได้มีเวลาพักผ่อนมากๆหน่อย" ฮั่วหานตี้กล่าวกำชับ
"เจ้าค่ะท่านพ่อ" เพ่ยเจินกล่าวรับคำพร้อมทั้งก้าวขาเล็กเดินเข้าไปในเขตคฤหาสต์ของสกุลฮั่วอย่างช้าๆ
"คุณหนูกลับมาแล้ว" เสียงสาวรับใช้วัยสิบเจ็ดปีพูดขึ้นอย่างดีใจ
"แต่เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะคุณหนู เหตุใดคุณหนูถึงได้เปียกปอนไปทั้งตัวเอาเช่นนี้ แล้วชุดคลุมนี่เป็นของผู้ใดกันหรือเจ้าคะ?"
หยุนซีบ่าวรับใช้ข้างกายถามขึ้นด้วยความตกใจ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตที่อยู่รับใช้ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาเพ่ยเจินเป็นคนถือตัวนักมักไม่ยอมใช้ของร่วมกันกับใครหรือสวมใส่เสื้อผ้าของผู้อื่นเอาง่ายๆ
"เสื้อคลุมนี่เป็นของเจ้าหมียักษ์ซ่งเว่ยหยาง หากเจ้าซักทำความสะอาดเสร็จแล้ว ข้ารบกวนฝากให้เจ้านำเสื้อคลุมนี่ไปส่งคืนเขาให้ด้วยนะ"
เพ่ยเจินพูดเพียงเท่านั้นก็รีบไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อไปเยี่ยมพี่สะใภ้ของตนทันที
ขณะที่เดินไปถึงหน้าที่พักของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ เพ่ยเจินก็ได้ยินเสียงของพี่สะใภ้แว่วดังออกมาด้านนอกอยู่เป็นระยะ
"บ่าวรับใช้หายไปที่ใดกันหมดนะ เหตุใดที่พักของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ถึงได้เงียบเชียบปราศจากผู้คนยิ่งนักวันนี้?"
เพ่ยเจินพึมพำขึ้นมาด้วยความสงสัย จนกระทั่งเดินเข้ามาถึงหน้าประตูห้องของพี่สะใภ้ เสียงร้องของพี่สะใภ้ก็ดังยิ่งขึ้นอีกราวกับคนกำลังใกล้จะขาดใจตาย
'หรือว่าจะมีคนบุกเข้ามาทำร้ายพี่สะใภ้ของนางกันแน่นะ?'
เพ่ยเจินคิดขึ้นมาในใจอย่างร้อนรนจึงทุบประตูขึ้นเสียงดังปังๆด้วยความหวั่นใจ
ฮั่วหวังซูพี่ชายคนโตของสกุลฮั่วที่กำลังพลอดรักอยู่กับภรรยาอย่างแนบแน่นต้องเผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากภรรยาแผ่วเบาอย่างให้กำลังใจก่อน
จะลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องออกอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่
กัวซินเหยียนพี่สะใภ้คนงามแต่งตัวได้เสร็จเรียบร้อยพอดี
"พี่ใหญ่เหตุใดพี่จึงมาเปิดประตูให้ข้าช้านัก ข้านึกเป็นห่วงพี่สะใภ้จนใจคอไม่ดีเลยรู้หรือไม่?"
เพ่ยเจินตำหนิพี่ชายคนโตขึ้นมาเสียงเบาพร้อมทั้งสอดส่ายสายตามองหาพี่สะใภ้ไปทั่วทั้งห้องนอน
"เพ่ยเจินเข้ามาข้างในก่อนสิ" กัวซินเหยียนพูดพลางเดินออกมาหน้าประตูและจับจูงมือของเพ่ยเจินให้เข้ามานั่งบนเก้าไม้ในห้อง
"ข้าได้ข่าวจากท่านพ่อว่าพี่สะใภ้ไม่ค่อยสบายจึงได้รีบเดินทางมาเยี่ยมเจ้าค่ะ"
เพ่ยเจินพูดพลางกวาดสายตามองไปทั่วร่างกายของกัวซินเหยียนก่อนจะเบิกตาโตขึ้นด้วยความตกใจเมื่อพบว่าบริเวณต้นคอของกัวซิน
เหยียนมีจุดแดงเล็กๆกระจายไปทั่ว
"พี่สะใภ้เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงได้มีจุดแดงเป็นจ้ำไปทั่วต้นคอได้ขนาดนี้ แล้วนี่พี่ใหญ่ได้ตามหมอมาตรวจดูอาการให้พี่สะใภ้หรือยังเจ้าคะ?"
เพ่ยเจินพูดพลางบีบมือกัวซินเหยียนแน่นขึ้นอีกด้วยความห่วงใย
"ท่านหมอมาตรวจดูอาการพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว พึ่งจะกลับไปได้
เมื่อราวๆสองเค่อที่ผ่านมานี้เอง"
ฮั่วหวังซูตอบแทนภรรยาของตนที่เริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วในยามนี้
"แล้วท่านหมอว่าอย่างไรบ้างเล่าเจ้าคะ รีบบอกข้ามาเร็วเข้า
พี่ซินเหยียน" เพ่ยเจินถามเร่งรัด
"หมอหลวงบอกว่า ข้า ข้ากำลังตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว"
กัวซินเหยียนตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แก้มขาวแดงจัดดั่งลูก
ตำลึงสุกปลั่ง
"จริงเช่นนั้นหรือเจ้าคะ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่รู้เรื่องนี้หรือยัง
เจ้าคะ?" เพ่ยเจินถามขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
"ข้าว่าจะประกาศข่าวดีให้สกุลฮั่วของเราได้รับรู้ในเย็นวันนี้พร้อมกัน แต่น้องสาวข้าช่างเป็นคนดีนัก รีบรุดมาดูอาการพี่สะใภ้ก่อนใคร
จึงได้รับรู้เรื่องราวอันเป็นมงคลนี้ก่อนผู้ใดเลยทีเดียวเชียวล่ะ"
ฮั่วหวังซูเค้นเสียงตอบไปด้วย และแอบลอบสบตากับภรรยาไปด้วยความหิวกระหาย
"พี่ซินเหยียนช่างเก่งนัก แต่งเข้าสกุลฮั่วของเราไม่นานก็มีหลานมาให้ข้าเล่นด้วยเสียแล้ว"
เพ่ยเจินพูดขึ้นอย่างดีใจพร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างเต็มที่
"ความดีความชอบที่เจ้ากล่าวมานี้ ต้องยกให้พี่ใหญ่ด้วยสักครึ่งหนึ่งด้วยเล่าเข้าใจหรือไม่ เอะอะอะไรก็ชมเชยแค่พี่สะใภ้ใช้ได้ที่ไหนกัน?" ฮั่วหวังซูแกล้งกล่าววาจาทำท่าน้อยใจออกไปเล็กน้อย
"เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็เก่ง พี่สะใภ้ก็เก่งที่พากันมีหลานมาให้ข้าเล่นด้วยเช่นนี้ ดีเสียจริงเลยนะเจ้าคะ แค่เรามีคนมานอนกอดด้วยไม่นานพี่สะใภ้ก็
ตั้งครรภ์แล้ว"
เพ่ยเจินพูดออกมาด้วยความซื่อ ทำเอาฮั่วหวังซูต้องส่ายศีรษะไปมาเบาๆ กับความไร้เดียงสาของน้องสาวตน สุดท้ายแล้วจึงพูดออกมาว่า
"เพ่ยเจินแค่การนอนกอดกันไม่ได้ทำให้พี่สะใภ้ของเจ้าตั้งครรภ์ขึ้นมาได้หรอกนะ"
หลังกล่าวจบฮั่วหวังซูก็ต้องร้องโอ๊ยขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกกัวซินเหยียนหยิกหมับเข้าที่ต้นแขนด้วยความหมั่นไส้ และโดนภรรยาค้อนขวับวงโตเข้าให้อีกหนึ่งคำรบ ฮั่วหวังซูจึงได้ปิดปากของตนเอาไว้ให้แน่นสนิท และเดินไปรินน้ำชามาดื่มแก้อาการคอแห้งดับกระหาย พร้อมทั้งกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องเสียงดัง และรีบทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่อย่างใด
"ได้ข่าวว่าพี่สะใภ้มิได้เจ็บไข้ได้ป่วยอันใด ข้าก็สบายใจขึ้นมามากแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ แล้วนี่ข้าคงไม่ได้เข้ามารบกวนหรือขัดจังหวะอันใดของพวกท่านทั้งสองคนหรอกนะ ใช่หรือไม่
เจ้าคะ?"
เพ่ยเจินถามขึ้นเมื่อลอบสังเกตเห็นว่าพี่สะใภ้ของตนมีอาการกระสับกระส่ายอยู่ไม่ค่อยนิ่งนัก ส่วนพี่ใหญ่ของตนก็เอาแต่ลอบกุมขมับ และส่งเสียงหายใจฟึดฟัดออกมาอยู่เป็นระยะ
"เพ่ยเจินคนดีมีจิตใจคิดห่วงใยพี่สะใภ้มากขนาดนี้ จะมองว่าเป็นการรบกวนและขัดจังหวะไปได้อย่างไร เจ้ามิต้องคิดมากอันใดไปหรอกนะ"
กัวซินเหยียนพูดพลางบีบมือน้องสาวของสามีแสดงความขอบใจในความเป็นห่วงที่ตนได้รับ
"จริงนะเจ้าคะพี่สะใภ้?" เพ่ยเจินถามย้ำขึ้นมาอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
"จริงสิ" กัวซินเหยียนเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงหนักแน่นหวังให้เพ่ยเจินได้สบายใจเสียที
"งั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้วนะ ข้าไปล่ะ" เพ่ยเจินพูดพลางเดินออกจากห้องไปและปิดประตูห้องนอนให้สนิทเรียบร้อย
ฮั่วหวังซูรีบตามไปลงกลอนห้องนอนเอาไว้ให้แน่นหนาโดยทันที พร้อมกับพึมพำกับตนเองขึ้นมาเสียงเบาว่า
"อย่าให้ถึงทีของข้าบ้างก็แล้วกันนะเพ่ยเจิน หึ!!"