"คุณมีพรสวรรค์อย่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคุณยังต้องเรียนรู้เทคนิคอีกมาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้" มิสซิสโดรันเตสกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่เปี่ยมด้วยความเมตตา "ถ้าคุณสนใจที่จะทำงานกับฉัน ฉันจะช่วยพัฒนาศักยภาพของคุณให้เต็มที่ มีบางแบบในแฟ้มของคุณที่น่าสนใจมากทีเดียว"
เธอใช้เวลาสองชั่วโมงเต็ม ๆ กับฉัน นั่นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีความสำคัญเหลือเกิน
"แต่ฉันขอเตือนคุณก่อนนะ ฉันต้องการคนที่พร้อมทำงานเต็มที่ ฉันรู้ว่าคุณมีลูก แต่บางครั้งพวกเขาอาจต้องถูกวางไว้เบื้องหลัง ฉันไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นแบบนี้เสมอไป แต่เมื่อถึงช่วงเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ งานจะหนักมาก"
"ฉันมีกลุ่มนักออกแบบที่ทำงานกับฉันมานาน พวกเขามีทิศทางของการออกแบบที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอยู่แล้ว" เธอหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ "แต่ฉันสนใจที่จะให้คุณสนับสนุนคนที่ดูแลกลุ่มผู้หญิงอายุ 20-30 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ท้าทายที่สุด จากที่ฉันเห็นในงานวาดของคุณ คุณดูจะใช้ภาพลักษณ์ของลูกสาวคุณเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก คุณว่าไงล่ะ? พร้อมจะทำงาน 48 ชั่วโมงต่อวันไหม?"
ฉันยังพยายามประมวลผลสิ่งที่เธอพูดอยู่ในหัว
อย่างแรก เธอชอบงานของฉัน ข้อแรกผ่าน!
อย่างที่สอง เธอจะสอนฉันเกี่ยวกับโลกที่ฉันหลงใหลนี้ ข้อสองผ่าน!
ฉันจะยังได้ออกแบบเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ลูกสาว ข้อสามผ่าน!
ได้งานทำ! ใช่เลย! ผ่าน! ฮ่าฮ่าฮ่า
"ฉันไม่ต้องคิดเลยค่ะ ฉันขอบคุณมากสำหรับโอกาสที่คุณให้ ฉันตอบตกลงแน่นอน" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ฉันไม่กลัวงานหนักเลยค่ะ ฉันทำงานหนักกว่านี้มาตลอดตั้งแต่อายุ 18 ปี ทั้งดูแลลูกสองคนและสามี ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง"
มิสซิสโดรันเตสมองฉันอย่างพอใจและยิ้มให้กับคำพูดติดตลกของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ ผู้หญิงที่ฉันเคยเป็นเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนกำลังเลือนหายไป ทุกหยดน้ำตาที่ไหลรินเหมือนกำลังล้างความเจ็บปวดและปลุกความมุ่งมั่นในใจฉันให้กลับคืนมา
การที่ลูก ๆ สนับสนุนฉัน การที่พ่อแม่อยู่ข้างฉัน และการที่มิสซิสโดรันเตสให้โอกาสฉัน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองทรงพลังขึ้นทุกที
"ยินดีต้อนรับนะจ๊ะที่รัก คอนนี่เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังนิดหน่อย ไม่ต้องคิดว่าเป็นการซุบซิบนะ ฮ่าฮ่าฮ่า" เธอหัวเราะเล็กน้อย "เราไม่ได้เป็นแค่ลูกค้า-แม่ค้ากันมานานแล้ว เราเป็นเพื่อนกัน และฉันเข้าใจเธอดีมาก ฉันเองก็เคยผ่านสถานการณ์คล้าย ๆ กับเธอเมื่อหลายปีก่อน"
"ดูสิว่าตอนนี้ฉันมาไกลแค่ไหน ฉันประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องสนว่าใครจะพูดอะไร ฉันอยากให้เธอเป็นแบบนั้นเหมือนกัน และฉันจะช่วยเธอให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้"
"วันหนึ่งความฝันที่เธอเติมเต็มจะส่องประกายจนทำให้คนที่เคยทำร้ายเธอต้องตาพร่า"
คำพูดที่เปี่ยมกำลังใจของผู้หญิงคนสำคัญคนนี้สะเทือนลึกถึงหัวใจของฉัน ถ้าฮวน หลุยส์คิดว่าฉันจะปล่อยให้ตัวเองพังเพราะการทรยศของเขา เขาคงต้องผิดหวังแน่
"ฉันอยากให้เธอปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่เธอเก็บไว้ในจิตใจผ่านงานออกแบบของเธอ" เธอพูด "ความเจ็บปวดคือเครื่องยนต์ที่ดีที่จะดึงแรงบันดาลใจที่ซ่อนเร้นออกมา"
"ฉันมีงานแรกให้เธอทำ ออกแบบมา 5 แบบตามที่เธอต้องการ เลือกกลุ่มเป้าหมายอะไรก็ได้ และนำมาเสนอฉันวันจันทร์นี้"
"ฉันจะให้ผู้ร่วมงานสองคนที่ฉันไว้วางใจช่วยดูผลงาน และถ้าผ่านการประเมิน ฉันจะให้โบนัสต้อนรับกับเธอ ตกลงไหม?"
ฉันกระพริบตาอย่างงุนงง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูด ฉันขยี้ตาเพื่อดูว่านี่เป็นความฝันหรือเปล่า แต่ไม่เลย เธอยังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าฉัน
"ได้เลยค่ะ!" ฉันตอบอย่างมั่นใจ สุดสัปดาห์นี้ฉันจะลงมือทำทันที
"ฉันรับรองค่ะว่าฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน" โดยไม่คิดอะไร ฉันก้าวเข้าไปกอดเธอและจูบแก้มด้วยความตื้นตัน ฉันตื่นเต้นเหลือเกินที่มีคนมองเห็นและให้โอกาสฉัน
"ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ ฉันต้องไปรับลูก ๆ แล้วก็ซื้อของที่ต้องใช้สำหรับร่างแบบด้วย ขออนุญาตนะคะ"
มิสซิสโดรันเตสหัวเราะออกมาเสียงดัง ฉันไม่เข้าใจว่ามันตลกตรงไหน แต่ก็ยิ้มตามไปด้วย เธอคงรู้ว่าฉันไม่เข้าใจมุขของเธอ (ถ้ามันมีจริงนะ)
"ฉันไม่ได้ล้อเธอหรอกจ้ะ แค่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครู แล้วเธอก็เป็นนักเรียนในห้องเรียน เธอไม่ต้องมาขออนุญาตฉันหรอก ไปเถอะไปรับลูก ๆ แล้วเจอกันวันจันทร์ตอนสิบโมงเช้านะ"
รอยยิ้มของฉันกว้างขึ้น ฉันเก็บของแล้วโค้งตัวเล็กน้อยเหมือนเด็กที่เคยชินกับการขออนุญาตจากครู
ความจริงคือครั้งสุดท้ายที่ฉันมีครูต้องย้อนกลับไปถึงสมัยมัธยมปลาย ฉันรู้ตัวว่าพฤติกรรมบางอย่างของฉันต้องเปลี่ยนแปลง ฉันเหมือนเด็กสาวที่ยังติดอยู่ในร่างของผู้หญิงวัยสามสิบปี
เมื่อเดินออกมาจากตึกใหญ่ ฉันหันกลับไปมองมันอีกครั้ง ฉันจะได้ทำงานที่นี่จริง ๆ หรือ? ความรู้สึกเหมือนฝันทำให้ฉันกระโดดโลดเต้น แล้วเต้นท่า "ชัยชนะ" ที่ลูก ๆ สอนให้
ฉันมีความสุขมากจนไม่สนเลยว่าคนจะคิดว่าฉันบ้า
เมื่อการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ ของตัวเองจบลง ฉันรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ และกลับมาสู่โหมดแม่ที่น่าเชื่อถืออีกครั้ง โอ๊ะ! ฉันเริ่มสายแล้ว ฉันรีบวิ่งไปที่รถและอธิษฐานให้ไม่ต้องฝ่าไฟแดงระหว่างทาง
ฉันตัดสินใจว่าการมาสายยังดีกว่าไม่มาถึงเลย ฉันเลยมาสายไปเล็กน้อย เมื่อจอดรถเสร็จ ฉันเดินไปที่หน้าโรงเรียน แต่สิ่งที่เห็นทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน
สายตาของฉันพร่ามัวด้วยความโกรธ ฉันเดินตรงไปเหมือนราชินีสิงโตที่ถูกขังไว้ แต่พร้อมจะปกป้องลูกของเธอ
"คุณมาทำอะไรที่นี่?!" ฉันตะโกนใส่ผู้หญิงที่กล้ามาก่อกวนลูกของฉัน ใบหน้าที่เศร้าหมองของลูก ๆ บอกได้ว่าผู้หญิงคนนี้ได้พูดอะไรบางอย่างกับพวกเขา และมันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าฟัง
"ฉันมีสิทธิ์ที่จะเจอหลาน ๆ และในเมื่อพวกเขารู้แล้วว่าพ่อของพวกเขาแยกทางจากแม่ที่ไร้ค่าอย่างเธอ ฉันก็แค่อยากให้พวกเขารู้ว่าบ้านของฉันพร้อมเปิดรับเสมอ"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เธอไม่มีทางให้สิ่งที่ลูกฉันเคยให้หลานได้เลย ฉันจะทำให้แน่ใจว่าเธอจะไม่มีอะไรติดตัว และเธอจะไม่ได้ดูแลพวกเขา เพราะเธอมันผู้หญิงไร้ค่า ทำอะไรไม่เป็น และรัฐอาจตัดสินว่าพวกเขาควรอยู่กับฉันและลูกชายของฉันมากกว่า"
"ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่า ฉันจะเอาลูก ๆ ของเธอมาให้ได้ และฮวน หลุยส์จะไม่ต้องจ่ายเงินให้เธอแม้แต่สตางค์แดงเดียว อีกอย่าง ลาก่อนบ้านหลังนี้ เพราะมันจะเป็นของฉันในที่สุด จำไว้ด้วยล่ะ"
เธอพูดจบแล้วเดินจากไป ขึ้นรถที่จอดรออยู่ ฉันแทบไม่เชื่อว่าเธอกล้าบุกมาทำร้ายจิตใจลูก ๆ ของฉันแบบนี้
ฉันรู้ดีว่าเธอไม่เคยรักหลาน ๆ เลย โดยเฉพาะโทนี่ที่หน้าตาเหมือนฉัน แต่การข่มขู่พวกเขาแบบนี้ ฉันจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด
ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะตกลงรับเฉพาะสิ่งที่กฎหมายกำหนดเรื่องค่าเลี้ยงดู แต่ตอนนี้ ฉันจะทำให้ฮวน หลุยส์ต้องลำบากถึงขนาดไม่เหลือกางเกงชั้นในเลยสักตัว อย่างที่ทนายของแม่พูดไว้!
"แม่ขา!"
ลิลลี่ของฉันวิ่งเข้ามาหา น้ำตาไหลพรากอย่างไม่หยุดหย่อน ส่วนโทนี่เองก็ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ฉันสังเกตได้ทันที เพราะเขามีอาการเดียวกับฉัน เวลาที่เราโกรธจัด หน้าของเราจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนสีผมของฉัน
"พ่อจะเอาทุกอย่างไปจากเรา แล้วไม่ให้เงินเราเลยเหรอคะ ทำไมล่ะแม่? ทำไมพ่อถึงเกลียดพวกเราล่ะ?"
ฉันมองหน้าลูกสาวที่เต็มไปด้วยน้ำตา คำถามของเธอทำให้หัวใจของฉันเหมือนถูกบีบจนเจ็บปวด
ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายที่ฉันรู้จักมานาน คนที่ฉันใช้ชีวิตร่วมกันมา 12 ปี และเคยบอกว่ารักฉัน เขาหายไปไหน? หรือบางที... เขาอาจไม่เคยมีตัวตนจริง ๆ เลยก็ได้
แต่สิ่งที่ฉันรู้แน่ชัดในตอนนี้คือ ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมาเข้าใกล้ลูก ๆ ของฉันอีกต่อไป
"อย่าร้องไห้เลยนะลิลลี่ กับสิ่งที่ย่าของหนูพูด เธอไม่เคยรักเราเลย" ฉันพูดพลางลูบผมลูกสาวเบา ๆ "แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า ตอนนี้มันมีแค่เราสามคนแล้ว หน้าที่ของเราคือดูแลกันและรักกันให้มากที่สุด"
สำหรับฉัน ผู้หญิงคนนั้นหมดสิ้นความเป็นย่าของหลาน ๆ ไปแล้ว ฉันหวังว่าเธอจะไม่ต้องมาเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในอนาคต เพราะชีวิตมักมีวิธีพาเรากลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราเคยทำ
แต่สิ่งที่สะเทือนใจฉันที่สุดก็คือ ลูก ๆ ของฉันต้องโตเกินวัยอย่างน่าตกใจเพราะเรื่องพวกนี้
ขอบคุณมากนะ ฮวน หลุยส์ ฉันคิดในใจ ฉันจะจดเรื่องนี้ไว้ด้วย ไว้รอถึงเวลาที่ต้องสะสางกัน ฉันจะไม่ลืม
ฉันกอดลูก ๆ ของฉันแน่น ความรู้สึกบางอย่างกำลังตื่นขึ้นในตัวฉัน
พวกเขาปลุกสัตว์ร้ายในตัวฉันให้ลุกขึ้นแล้ว