อมีเลีย :
สองสัปดาห์ยาวนานผ่านไปนับตั้งแต่วันที่ฮวน หลุยส์มาที่บ้านครั้งสุดท้าย ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่านห้องซักรีด สายตาของฉันก็มักจะหยุดอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของเขา มันยังคงวางอยู่ที่เดิม ฉันคงพูดไม่ได้ว่าฉันก้าวผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะนั่นคงเป็นการโกหก มันยังคงเจ็บปวดอยู่มาก และฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในบางคืน ฉันยังคงแอบร้องไห้ เพราะความว่างเปล่าจากการไม่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้หัวใจฉันหนักอึ้ง
แต่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงมัน เพราะไม่นานหลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้น ลิลลี่จับได้ว่าฉันกำลังสะอื้นในตอนกลางคืน
ความเจ็บปวดของลูกสาวที่เห็นฉันเสียใจ ทำให้ฉันได้สติขึ้นมาบ้าง ฉันรู้ดีว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่เจ็บปวดจากสถานการณ์นี้ แต่ลูก ๆ ของฉันพยายามทำให้ทุกอย่างที่บ้านดูเหมือนปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากพวกเขาร้องไห้ พวกเขาก็ทำมันเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ความเศร้าของตัวเองกลายเป็นน้ำหนักที่ทำร้ายจิตใจของคนอื่น
เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เราพยายามดำเนินชีวิตให้เหมือนตอนที่ฮวน หลุยส์เคยออกเดินทางไปทำงาน
อย่างน่าประหลาด สองวันมานี้ ฉันเริ่มนอนหลับสนิท โชคดีที่ฉันไม่ต้องพึ่งยานอนหลับเลย วันนี้ ฉันมีนัดทานอาหารกลางวันที่บ้านแม่ ขณะที่ลูก ๆ อยู่โรงเรียน แม่โทรชวนทันทีที่ฉันตื่น ฉันจึงตอบตกลงทันที แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหมือนแม่กำลังวางแผนอะไรบางอย่าง และฉันคงได้รู้เร็ว ๆ นี้
ฉันแต่งตัวค่อนข้างสุภาพ กางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตสีครีม และมัดผมหางม้าสูง ด้วยพันธุกรรมที่ดี หลายคนบอกว่าฉันดูอ่อนกว่าวัย และนี่คือตัวตนที่ฉันตั้งใจจะแสดงออกสู่โลกภายนอก
หลังจากไปหาแม่ ฉันมีนัดสำคัญที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลใจมาก นั่นคือนัดสัมภาษณ์กับมิสซิสโดรันเตส ช่างตัดเสื้อของคอนนี่
ฉันไม่มีอะไรให้แสดงมากนัก จึงทำพอร์ตโฟลิโอเล็ก ๆ รวมผลงานชุดที่ฉันออกแบบให้ลิลลี่ใส่ในงานเทศกาลและงานเลี้ยงต่าง ๆ แม้มันจะดูเหมือนงานประดิษฐ์ของเด็กอนุบาล แต่ฉันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ สิ่งเดียวที่ฉันมีคือพรสวรรค์ที่แท้จริงและความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
หลังจากเช็กหน้าตาในกระจกและหยิบกุญแจบ้าน ฉันออกจากบ้านทันที ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงบ้านแม่ แต่สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจคือรถหรูคันหนึ่งที่ฉันไม่คุ้นเคยจอดอยู่หน้าบ้าน มันเป็นรถหรูสะดุดตา ทำให้ฉันต้องไปจอดรถที่หน้าบ้านเพื่อนบ้าน
เพื่อนบ้านเดินออกมามองด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นฉัน เขาเพียงโบกมือทักทาย เขารู้ดีว่าฉันไม่จอดขวางทางนานแน่นอน ฉันหยิบกุญแจขึ้นมาเพื่อไขประตู แต่พอเอื้อมมือไป ประตูเปิดออกเหมือนว่าพวกเขารอฉันอยู่
แม่ของฉันยืนอยู่ที่ประตู แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก สายตาของฉันเต็มไปด้วยคำถาม
"เอมี่! ในที่สุดลูกก็มาถึง แต่รีบเข้ามาเถอะ เราไม่มีเวลาเหลือมากนัก"
เธอจับมือฉันและดึงเข้าไปข้างในเกือบจะลากไปด้วยซ้ำ ฉันเดินตามอย่างงุนงง ก่อนจะเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาแต่งตัวอย่างสุภาพและมีมารยาท ดูจากภายนอกน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปี
"นี่ไง รอดี้ นี่คือลูกสาวที่ฉันเล่าให้ฟังจ้ะ เอมี่ นี่คุณโดรันเตส เขาเป็นลูกชายของเพื่อนบิงโกของแม่ และเป็นทนายความฝีมือดีมาก เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องหย่าของลูก"
ปากของฉันอ้าค้างด้วยความตกใจ ฉันยังไม่ได้คุยเรื่องหย่ากับฮวน หลุยส์เลย แต่แม่กลับเตรียมทนายให้พร้อมแล้ว โอ้โห คุณแม่!
"ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอมี่... ผมเรียกคุณว่าเอมี่ได้ไหม?" ชายคนนั้นส่งสายตามาทางฉัน เป็นสายตาที่ฉันไม่อาจระบุได้ชัดเจน แต่มันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย ฉันจึงยิ้มให้เขาแบบเสแสร้ง
"เช่นกันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณที่สละเวลามาตามคำเชิญของแม่ฉันนะคะ"
แม่ชี้ให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ตรงข้ามชายแปลกหน้าคนนี้พอดี
"ยินดีมากเลยครับ และผมขอบอกไว้ก่อนเลยว่าคุณไว้วางใจผมได้ ผมมีประสบการณ์ด้านคดีหย่าร้างที่ประสบความสำเร็จมากมาย ถ้าคุณต้องการ เราจะจัดการให้สามีของคุณไม่มีอะไรเหลือเลย ฮ่าฮ่าฮ่า"
ฉันยิ้มเล็กน้อย พอเป็นพิธี เพื่อไม่ให้แม่และทนายดูเสียหน้า แม้ในใจจะไม่ได้รู้สึกสนุกกับเรื่องนี้เลย
"ไว้ค่อยว่ากันค่ะ ตอนนี้ฉันอยากรู้ก่อนว่าเขาจะเสนออะไรให้ฉันบ้าง" ฉันตอบเรียบ ๆ "แต่คงต้องเป็นเรื่องที่ทนายคุยกันเองใช่ไหมคะ อีกอย่าง ฉันอยากทราบเรื่องค่าจ้างของคุณด้วย เพราะอย่างที่คุณคงเข้าใจ ฉันไม่ได้มีเงินทุนมากนัก ฉันยังต้องหางานทำ และจนกว่าจะมั่นคง ฉันยังไม่สามารถจ่ายอะไรให้คุณได้แน่นอน"
ชายคนนั้นส่งยิ้มแบบมีเลศนัยมาให้ ฉันไม่อยากจะคิดว่าเขากำลังคิดอะไรสกปรกอยู่
ตามที่คนชอบพูดกันว่า ผู้หญิงหย่าร้างมักเป็นเป้าหมายง่าย ๆ ของผู้ชายบางคน ฉันได้แต่หวังว่าเขาจะไม่คิดแบบนั้น
"ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลยครับ เอมี่ เราจัดการเรื่องหย่าให้เสร็จก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน"
โอ้โห... ฉันไม่ชอบน้ำเสียงแบบนี้เลยสักนิด คงจะดีกว่าถ้าฉันหาวิธีจ่ายค่าจ้างให้เขาเร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องติดหนี้บุญคุณอะไรเขา
มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนใหญ่แม่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ ซึ่งเป็นแม่ของ "รอดี้" คนนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเขาพยายามทำให้แม่ฉันประทับใจ ใครจะรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากแม่ฉันกันแน่ ถ้าคิดจะทำแบบนี้เพื่อเอาชนะใจฉันล่ะก็ บอกเลยว่าเลิกหวังเถอะ
"ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ อีกครึ่งชั่วโมงมีนัดสัมภาษณ์งาน ยินดีที่ได้พบคุณนะคะ รอดี้ แล้วเราจะติดต่อกันค่ะ"
ฉันยื่นมือไปจับเพื่อกล่าวลา แต่เขากลับจับมือฉันไว้นานเกินความจำเป็น ฉันคิดในใจว่าออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ ฉันคงต้องใช้เจลล้างมือลิตรหนึ่งแน่ ๆ
"ให้ผมไปส่งไหมครับ? รถผมจอดอยู่ข้างนอก" น้ำเสียงของเขาพยายามทำให้ดูอบอุ่นและมีเสน่ห์
น่าขันสิ้นดี
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขับรถมาเอง งั้นขอตัวเลยนะคะ"
ฉันหันไปหอมแก้มแม่ก่อนเดินออกมา รู้สึกได้เลยว่าสายตาของชายคนนั้นยังคงมองตามฉันอยู่จนสุดทาง
เพื่อไล่ความรู้สึกขุ่นมัวออกไปจากหัว ฉันเปิดสถานีวิทยุที่ไม่ค่อยได้ฟังนัก เพราะตอนที่ยังอยู่กับฮวน หลุยส์ เขาไม่ชอบสถานีนี้ แต่ตอนนี้ ฉันสามารถฟังเพลงอะไรก็ได้ที่ฉันอยากฟัง มันน่าแปลกที่ผู้หญิงอย่างเรามักจะปรับตัวตามรสนิยมของคู่รัก
แต่ตอนนี้มันจบแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาก่อนใคร และถ้ามีอันดับที่สอง มันก็ต้องเป็น ฉันอีกครั้ง
ฉันจอดรถตรงหน้าบริษัทแฟชั่นชื่อดังที่เป็นสถานที่สำหรับการสัมภาษณ์งานในวันนี้ หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมา ฉันพยายามตั้งสติและพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ เหมือนเป็นมนตร์ "มันต้องไปได้สวย มันต้องไปได้สวย มันต้องไปได้สวย" สามครั้งรวด เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
ฉันก้าวลงจากรถ หยิบแฟ้มผลงานของตัวเองขึ้นมา ด้วยท่าทางที่ฉันพยายามทำให้เหมือนผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ ฉันเดินด้วยส้นสูงคู่โปรดตรงเข้าสู่โอกาสแห่งความสำเร็จ
แต่ว่า... ความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เมื่อพนักงานต้อนรับพาฉันไปยังห้องรอ ฉันต้องนั่งรออยู่นานเกือบชั่วโมงกว่าจะได้พบผู้สัมภาษณ์ ฉันไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรเลย เพราะมาที่นี่ได้ก็เพราะคำแนะนำจากคนสำคัญ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความกระวนกระวายที่พยายามกดทับไว้นานก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ความมั่นใจ ฉันคิดวนไปวนมาว่า ถ้าพวกเขาไม่รับฉันล่ะ? ถ้าผลงานของฉันเป็นเพียงงานไร้ค่า? ความรู้สึกอยากร้องไห้ที่เหมือนจะหายไปในช่วงหลายวันมานี้ กลับมาท่วมท้นอีกครั้ง
ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้พ่าย สามีที่นอกใจฉันไปหาผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าและสวยกว่า ฉันเฝ้าถามตัวเองว่า อะไรในตัวฉันถึงจะทำให้ใครสักคนมองเห็นและให้โอกาสได้ ทั้งที่ฉันเหมือนคนที่ถูกทอดทิ้ง
ฉันไม่สามารถห้ามน้ำตาได้อีกต่อไป มันไหลออกมาจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันหยิบแฟ้มผลงานขึ้นมาแนบอก ตั้งใจจะลุกออกไปจากที่นี่ให้พ้น ๆ
แต่ก่อนที่ฉันจะได้เดินออกไป มีใครบางคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูสง่างามมาก ฉันเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นรอยยิ้มของเธอ
"กำลังจะไปไหนหรือจ๊ะที่รัก? ฉันยังไม่ได้ดูผลงานของเธอเลยนะ"
รอยยิ้มของเธอเหมือนช่วยเติมพลังให้ฉันกลับมามั่นใจอีกครั้ง
"ฉันชื่ออมีเลีย ฟูเอนเตสค่ะ ยินดีที่ได้พบคุณ มิสซิสโดรันเตส" ฉันตอบพลางรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
เอาล่ะ เอมี่ เธอคือนักสู้ เชื่อมั่นในตัวเองสิ!