ในขณะที่ประตูหน้าร้าน
ไป๋เล่อชิงยังคงถูกไป๋หลินเย้ยหยัน
“ดูเถิด พี่แค่ออกมาร้านผ้าเท่านั้น แต่ท่านพี่กลับไม่วางใจให้มาคนเดียว มิรู้ว่าห่วงใยอันใดหนักหนา”
พูดจบก็ยกชายผ้าปิดปากหัวเราะคิกคักมีความสุข เยาะเย้นเหยียดหยันเต็มที่
ลูกไม้ตื้นเขินหาได้แพรวพราวน่ากังวลไม่ เฮอะ!
ไป๋เล่อชิงลอบกลอกตาเอือมระอาตลบหนึ่งก่อนว่า “เช่นนั้น ข้าไปทักทายเขาหน่อยเป็นไร ไม่เจอกันนาน คิดถึงมาก”
เท่านั้นล่ะ ไป๋หลินพลันสะดุดกึก รอยยิ้มเย้ยหุบฉับ “ไม่ดีกระมัง?”
ไป๋เล่อชิงทำตาโต “ไม่ดีรึ? ถึงอย่างไรนั่นก็พี่เขย ญาติสนิทมิตรสหาย อา...ชวนเขาไปร่ำสุราด้วยกันดีกว่า”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินไปหาฉางเฟิงอย่างโจ่งแจ้ง แสดงออกว่าต้องการคนเขาไประลึกความหลัง
ไป๋หลินตกใจ รีบรั้งชายเสื้อของไป๋เล่อชิงเอาไว้ ดวงตาเผยแววหึงหวงจนลนลานด้วยเกรงว่าจะถูกแย่งคืน
“ไม่นะ น้องหญิง”
ไป๋เล่อชิงแอบยิ้มสะใจ
นางไม่คิดไปหาฉางเฟิงจริงๆ เสียหน่อย
บุรุษเช่นนั้นนางไม่มีทางแย่งคืนหรอก ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ!
แต่ปากว่า “พี่หญิงใหญ่ ปล่อยข้านะ ข้าจะไปหาฉางเฟิง”
“ไม่”
หน้าประตูร้านอาภรณ์สองพี่น้องยื้อยุดกันเล็กน้อย ฝ่ายฉางเฟิงเองก็มองไป๋เล่อชิงตาละห้อย แม้ได้ครองคนพี่แต่ก็นึกเสียดายคนน้องไม่น้อย
กลับมาที่ไป๋หลิน
นางให้รู้สึกขุ่นเคืองเสียจนเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ จึงไม่คิดรักษาภาพลักษณ์สกุลว่าพี่น้องรักใคร่ให้เกียรติต่อธารกำนัลอีกต่อไป นางยิ้มเย้ยเกทับอีกว่า
“สามีของข้าสง่างามผึ่งผายมองปราดเดียวก็รู้ว่าเฉลียวฉลาดเกินใคร ไม่เหมือน...”
ท้ายประโยคนางก้มหน้ามาชิดแล้วกระซิบเสียงเหยียดให้ได้ยินเพียงพวกนาง “ไม่เหมือนสามีของเจ้า ทึมทื่อซื่อบื้อ เป็นตัวโง่งมไม่เอาไหน มิรู้ว่าโง่เขลาปานใด”
วาจาหยันเช่นนั้นพลันทำเอาประกายในดวงตาของไป๋เล่อชิงลุกวาบทันใด
สามีข้าไม่โง่เสียหน่อย เขาแค่หยิ่งยโสพูดน้อย แต่คมในฝัก ฉลาดล้ำจะตาย
ได้แต่คิด เพราะนางไม่มีทางพูดโอ้อวดให้สตรีชั่วเฉกพี่สาวคนนี้ฟังแน่นอน
ประเดี๋ยวอีกฝ่ายหาเรื่องหย่าสามีอย่างฉางเฟิงแล้วมาแย่งสามีของนาง
ไม่ดีแน่!
อู๋หมิงไม่ควรต้องเดือดร้อนปานนั้น
ไป๋เล่อชิงจึงไม่โต้เถียงแล้ว ทำเพียงเม้มปากเบิกตา
ไป๋หลินมีหรือจะรู้ความนัย เห็นน้องสาวเงียบไปก็สะใจนัก! นางพูดจาโอ้อวดต่อเนื่องว่า “ท่านพี่ฉางได้ซิ่วไฉยังต้องเตรียมตัวสอบจวี่เหรินไม่แน่ว่าอาจได้จิ้นซื่อเร็วๆนี้เพื่อภรรยาเช่นข้า ภายหน้าเขายังต้องเหน็ดเหนื่อยอีกมาก น้องพี่เจ้าน่ะจะไปรบกวนเขาเช่นเมื่อก่อนไม่ได้อีกเด็ดขาด เอาเวลาไปดูแลสามีของเจ้าดีกว่านะ เห็นว่าทำงานรับจ้างแลกค่าแรงอันน้อยนิดไปวันๆ ไม่คิดอ่านตำราเสาะหาลู่ทางให้ตัวเองได้เข้าสอบบ้างหรือไร? ไฉนไม่คิดก้าวหน้าเพื่อคนในครอบครัวบ้างหนอ ท่าทางจืดชืดยังปัญญาทึบ ชีวิตมืดมัวไม่สดใส ช่างน่าสังเวชเสียนี่กระไร”
เมื่อได้ฟังวาจาหยาบคายลามปามเกินขอบเขตยากให้อภัยเช่นนั้น ไป๋เล่อชิงพลันค้อนขวับเริ่มมีโทสะแล้ว นางปรารถนาเพียงสามีธรรมดา ไม่ต้องการขุนนางใหญ่อันใดทั้งนั้น ไม่ต้องมายุแยงตะแคงรั่วเลยนะ!
พี่สาวผู้นี้รูปลักษณ์สะสวยชดช้อยก็จริง แต่มักมีคำด่าทอตามอำเภอใจเสมอ ปากสกปรกยิ่งกว่าน้ำเน่า ไป๋เล่อชิงชินชาตลอดมา ทว่าวันนี้ผู้ถูกด่าคือสามีเชียวนะ
หญิงสาวกำหมัดเชิดหน้าทำท่าตอกกลับพี่สาวเพื่อปกป้องสามี พลันได้ยินพี่สาวกล่าวเสียงเหยียดเบาๆ แต่เย็นเยียบว่า
“จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ ไม่พอใจเสียแล้ว อยากด่าข้าหรือ ต้องการงัดข้อกับข้ากระมัง เอาสิ กล้าหรือไม่? นังลูกอนุ!”
ไป๋เล่อชิงสูดลมหายใจกัดฟันกรอดกระซิบกลับว่า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นแค่ลูกภรรยารองนี่นา คงไม่กล้าเสียเวลาอันมีค่ามาคอยหาเรื่องลูกของนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ คนปกติที่มีจิตสำนึก ย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอ เขาไม่ทำกัน ข้าเองก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง จรรยาต่ำ ศีลธรรมไม่มีเสียด้วย ข้าไม่กล้างัดข้อกับคนอย่างพี่หญิงหรอก เพราะมันเสียเวลา และไม่คุ้มค่าอะไรเลย”
“เจ้า!” ไป๋หลินหน้าชาทันใด วาจานี้ไยมิใช่ด่านาง ว่าเหมือนพวกไร้อารยะ ทำตัวไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทำตัวถ่อย ชอบเสียเวลาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้หรือไร
แท้จริงไป๋เล่อชิงไม่ได้ด่าทอถึงขั้นนั้น แต่ไป๋หลินร้อนตัวไปเองและคิดวาจาหยาบคายได้เองตามวิสัย
ไป๋หลินว่าเสียงเครียด “เดี๋ยวนี้เก่งกาจเหลือเกินนะ ไม่เหมือนตอนอยู่จวนไป๋ หรือเจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วจะทำตัวเหิมเกริมอย่างไรก็ได้ จำไว้ สามีผู้ต่ำต้อยของเจ้า ไม่อาจช่วยเจ้าได้หรอก เอาเวลาไปหาลู่ทางให้สามีเจ้าสอบบัณฑิตดีกว่า อย่ามัวทำตัวเอ้อระเหยลอยชายวันๆ แล้วมาโอหังกับข้าเช่นนี้ หึ! ช่างไม่เจียมตัว!”
หญิงสาวทำท่าเอื้อมมือไปแอบหยิกน้องสาวเหมือนที่ชอบทำตอนอยู่ที่จวนไป๋
ไป๋เล่อชิงรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบอย่างไว นางไม่ต้องให้สามีช่วยเหลืออันใดมากมายเสียหน่อย กำลังจะบอกว่าปกป้องตัวเองได้ กลับได้ยินเสียงบุรุษกล่าวอย่างเย็นชา
“เรื่องของข้า คงไม่ต้องรบกวนพี่ภรรยาเป็นกังวล”
เสียงนั้นทำสองสตรีสะดุ้งหันขวับ เห็นเป็นอู๋หมิงในอาภรณ์สีครามอึมครึมพาร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาเนิบช้าตรงทางเข้าหน้าร้านอาภรณ์
ชายหนุ่มเป็นอีกคนที่มีบุคลิกและหน้าตาขัดแย้งกับอุปนิสัย ภายนอกแลดูซื่อบื้อทึมทื่อแต่แท้จริงกลับไม่ใช่
ไป๋หลินรีบเม้มปากไม่กล้าพูดอีก
ต่อหน้าผู้อื่นโดยเฉพาะบุรุษ นางไม่กล้าเหมือนอยู่ต่อหน้าน้องสาวหรอกนะ คิดแต่ก็ยังเชิดหน้ามองอู๋หมิง ด้วยถือว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่ดี
ส่วนไป๋เล่อชิง เพราะหนีเที่ยวไม่ได้บอกสามีเอาไว้ นางถึงขั้นต้องมองหาที่กำบังเพื่อหลบภัย ทว่าหาไม่ได้ จึงหันไปประจันหน้ากับสามีตรงๆ ผลิยิ้มถามระมัดระวัง
“ท่านพี่มาได้อย่างไร”
อู๋หมิงละสายตาจากไป๋หลินอย่างไม่ให้ค่าอันใด มองเพียงภรรยาตัวน้อย
“ข้ามีกิจธุระกับคุณชายฉางเล็กน้อย”
เขาว่าพลางหันไปมองทางรถม้าที่ฉางเฟิงยืนอยู่ ก่อนหมุนกายผละจากภรรยา เดินไปทางฉางเฟิงแทน
เป็นการทักทายตามประสาบุรุษพูดน้อยโดยแท้
ไป๋เล่อชิงกับไป๋หลินจึงมองตาม
และพวกนางได้เห็น
ฉางเฟิงที่เป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉเป็นฝ่ายเดินมาหาแล้วคารวะทักทายอู๋หมิงก่อนด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่งยวด!
สองพี่น้องถึงกับตะลึงงันมองหน้ากันอย่างงุนงง
ไป๋หลินถาม “ฉางเฟิงกับอู๋หมิงรู้จักกันด้วยหรือ”
ไป๋เล่อชิงส่ายหน้า “แม้ข้ากับฉางเฟิงรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย แต่ข้าก็ไม่อาจรู้ทุกเรื่องของเขาหรอกนะ”
นางไม่อยากเสวนากับพี่สาวแล้วจึงว่าตัดบท
“ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ท่านก็รีบซื้อผ้าเถอะ ท่าทางพี่เขยเหมือนมารอพบสามีของข้ามากกว่ามาส่งท่านนะ ไม่แน่คุยเสร็จอาจกลับเลยก็เป็นได้”
พูดจบก็ยอบกายตามมารยาทแล้วเดินผละไปทันที ไม่สนใจพี่สาวอีกเลย
ไป๋หลินชะงักกับวาจาน้องสาวยิ่งนักจึงมองค้อนจนตาแทบถลนออกมา
นางรู้สึกเสียหน้าเรื่องสามีเสียจริง แต่ว่า...
หญิงสาวหันมองฉางเฟิงกับอู๋หมิงอีกครา
พวกเขาคุยอะไรกัน?
ไฉนฉางเฟิงถึงต้องทำท่าทางนอบน้อมปานนั้น?
ไป๋หลินหงุดหงิดจนบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแทบขาด