เมื่อเดินมาถึงรถของพี่ไรม์ เขาเปิดประตูและจับฉันใส่รถเสร็จเขาก็อ้อมมานั่งฝั่งคนขับ แม้ว่ารถจะเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยมาแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่กล้าปริปากถามอะไรเขาเลย ตลอดทางเต็มไปด้วยความเงียบงัน ฉันลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเส้นทางที่รถแล่นผ่านมาคือทางกลับบ้าน
ความเงียบกลืนกินบรรยากาศระหว่างเราจนกระทั่งเดินเข้าบ้าน ฉันรั้งรอพี่ไรม์เล็กน้อยเพื่อรอดูว่าเขามีอะไรจะพูดกับฉันไหม แต่พอเห็นร่างสูงเดินเข้าบ้านมาแล้วผ่านหน้าฉันไปทางบันได ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างระบายความอึดอัด ทว่า… น้ำเสียงทุ้ม ๆ ติดเย็นชากลับเอ่ยออกมาเบา ๆ ขณะที่เจ้าของเสียงหยุดยืนบนกลางบันได เรียกสายตาฉันเงยหน้าขึ้นมองแทบจะทันที
“จะอยู่ก็อยู่ไป จะทำอะไรก็ทำ” หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจในความหมายของเขา พี่ไรม์หลุบตาลงก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินขึ้นบันไดต่อ โดยชี้นิ้วโป้งไปทางรูปภาพบนผนังข้างบันไดเป็นเชิงบอกนัย ๆ แทน
“เขาหมายถึง… ชมรมถ่ายภาพสินะ” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางเงยหน้ามองความว่างเปล่าที่ไม่กี่วินาทีก่อนมีร่างสูงเดินหายลับไป
ไม่รู้ทำไม… หัวใจฉันมันเต้นแรงอย่างฉับพลัน เพียงเพราะคำพูดแสนจะธรรมดาที่มาจากคนใจร้ายไม่กี่คำเท่านั้นเองนะ อย่าบ้าไปหน่อยเลย…
ไม่เอาสิ… อย่าสำคัญตัวเองผิดสิอองฟอง…
.
.
.
วันนี้ฉันตื่นเช้ามาทำอาหารเช้าง่าย ๆ สำหรับตัวเองก่อนไปมหาวิทยาลัย ฉันนัดกับหวานและพี่โชไว้ตอนสิบโมงครึ่ง ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงให้พอนั่งพักทานอาหารรองท้องอยู่บ้าง ทว่าขนมปังที่กำลังกัดค้างในปากจำต้องชะงักเมื่อสายตาหยุดมองร่างสูงในชุดเสื้อช็อปกางเกงยีนเดินลงจากบันไดมา พี่ไรม์มองฉันเล็กน้อยก่อนทำเรื่องน่าประหลาดใจด้วยการเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ครัว
“เอ่อ… พี่ไรม์มีเรียนเช้าเหมือนกันเหรอคะ?” เพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลก ๆ จนเกินกว่าจะทำเมินเฉยต่อกันเหมือนที่ผ่านมาร่วมสัปดาห์ได้ ฉันจึงเป็นฝ่ายทักเขาก่อน
“…อืม” เขาตอบรับด้วยวลีสั้น ๆ แล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อหยิบนมในตู้เย็นมาเทใส่แก้ว ฉันอึกอักเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชินกับบรรยากาศแบบนี้ ทั้งที่ปกติเขาแทบไม่เฉียดเข้าใกล้ฉันเลยด้วยซ้ำ
“ขะ ขนมปังไหมคะ” ฉันกลั้นใจเลื่อนจานบรรจุขนมปังอบของตัวเองสองแผ่นไปทางเขาอย่างพยายามทำใจดีสู้เสือ พี่ไรม์หลุบตามองมันชั่วครู่ก่อนจะหยิบมันขึ้นกัดอย่างว่าง่าย ฉันแทบจะเก็บสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ วันนี้เขาแปลกไปจริง ๆ ด้วย!
และเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว เขาเปลี่ยนจากกัดขนมปังเป็นคาบมันไว้ที่ปากแล้วหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาถือเดินผ่านหน้าฉันไป แต่ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาเลิกคิ้วใส่ฉันนิด ๆ ดวงตาเรียบเฉยต่อทุกสิ่งจดจ้องใบหน้าฉันนิ่ง
“รออะไร ไม่ไปเรียนหรือไง?”
“ขะ… คะ?” คราวนี้ฉันอ้าปากเหวออย่างไม่เก็บอาการอีกแล้ว ฉันเห็นมุมปากหนายกขึ้นนิด ๆ ก่อนเขาจะหันหน้ากลับไปแล้วพูดแกมสั่งกลาย ๆ
“ขึ้นรถ”
ไม่สบาย… พี่ไรม์ต้องไม่สบายแน่ ๆ!
.
.
.
“เอ่อ… ส่งฟองหน้าทางเข้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฟองเดินไปที่คณะเองค่ะ”
อย่างที่รู้ว่าฉันกับพี่ไรม์อยู่คนละคณะ แถมคณะเรายังห่างกันพอสมควร ฉันเลยไม่อยากรบกวนเวลาเขาให้ขับรถวนไปวนมาภายในมหาวิทยาลัย แต่เหมือนพี่ไรม์จะไม่คิดแบบนั้น เพราะเขาขับมาส่งฉันยันหน้าคณะเลย ซึ่งการกระทำแปลก ๆ ของเขาในวันนี้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก และในความรู้สึกนั้นมันกลับมีความอบอุ่นใจแล่นวาบเข้ามาเสียด้วย
“เลิกเรียนกี่โมง?” เมื่อรถจอดสนิทหน้าคณะศิลปกรรม คนขับข้างกายเอ่ยถามเสียงเรียบ ฉันจ้องใบหน้าครึ่งเสี้ยวของพี่ไรม์อย่างพยายามจับสังเกตว่าเขาถามด้วยอารมณ์แบบไหน สิ่งที่มองเห็นมีเพียงความเรียบเฉยไร้ความอารมณ์ใด ๆ ราวกับสิ่งที่ถามไม่ได้สลักสำคัญนัก
“สี่โมงค่ะ”
“รอที่ชมรม ฉันเลิกห้าโมง”
คราวนี้ดวงตาคมเลื่อนมามองฉัน แววตาเรียบนิ่งคล้ายกดดันกันในที
“ฟองกลับกับหวานก็ได้ค่ะ”
“บอกให้รอก็รอ” เขาสั่งเสียงเข้มก่อนจะปลดเบลล์ให้ฉันพร้อมปลดล็อกประตูให้ด้วย “ลงไปได้แล้ว”
“…ค่ะ” ฉันหลุบตามองมือตัวเองบนตักชั่วครู่ก่อนขยับตัวลงจากรถ เอ่ยขอบคุณเบา ๆ แล้วปิดประตู สายตาจดจ้องใบหน้าครึ่งเสี้ยวแสนเย็นชาที่มองตรงไปด้านหน้า ไม่แม้จะชายตามองกันสักนิด
ฉัน… ตามอารมณ์ผู้ชายคนนี้ไม่ทันเลยจริง ๆ ตกลงเขาจะดีหรือร้ายกันแน่... อย่าทำให้ฉันสำคัญตัวเองผิดอีกได้ไหม...
.
.
.
[บทบรรยาย ไรม์]
ดวงตาคมเหลือบมองกระจกส่องหลัง ริมฝีปากหนาขยับยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่ารถเก๋งสีดำที่กำลังจอดซุ่มอยู่ไม่ไกลจากรถของผมเคลื่อนตัวออกห่างไปแล้ว ผมมองร่างบางที่เพิ่งลงจากรถไป เธอเดินเข้าคณะไปแล้ว
ผมรู้ว่าวันนี้ผมทำตัวแปลก ๆ ไม่สิ ต้องพูดว่าตั้งแต่เมื่อวานเย็นที่ผมพาอองฟองกลับมาบ้านพร้อมกันแล้ว ทั้งที่ผ่านมาผมไม่เคยใส่ใจหรือสนใจเธอเลยสักนิด ไม่ว่าเธอจะไปเรียนกับใครหรือกลับบ้านยังไงก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำของผมมันย่อมมีเหตุผลเสมอ และเหตุผลนั้นก็คือรถยนต์สีดำที่เพิ่งขับออกไปเมื่อครู่
ใช่แล้ว… รถยนต์คันนั้นคือคนของแม่ผมเอง