เมื่อวานตอนสาย ๆ ผมได้รับสายจากแม่ ท่านโทรมาต่อว่าผมในเรื่องที่ผมปล่อยให้อองฟองไปกลับมหาวิทยาลัยเอง แม่ผมเป็นคนฉลาดมาก หูตาท่านไวเสมอ ผมเคยคิดว่าถ้าแต่งงานและแยกออกมาใช้ชีวิตเองแล้วจะได้อิสระและความเป็นส่วนตัวคืนมา
แต่ผมคิดผิด ไม่สิ… ผมประมาทแม่ตัวเองเกินไปต่างหาก เพราะท่านไม่เคยปล่อยให้ผมคาดสายตาเลย ดูได้จากการส่งคนสะกดรอยตามพวกผมก็น่าจะรู้
นั่นจึงทำให้ผมตระหนักได้ว่า… ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากการถูกบงการชีวิต สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือการเล่นละครตบตาจนกว่าแม่จะพอใจและวางใจเลิกสะกดรอยตามพวกเราสักที
ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงต้องคอยรับส่งอองฟองอย่างที่เห็น แต่เพราะหลังจากที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่เธอเมื่ออาทิตย์ก่อน ทำให้อองฟองเว้นระยะห่างจากผมมากกว่าเดิม เธอแทบไม่มองหน้าผมตรง ๆ ด้วยซ้ำ ผมเลยต้องทำแบบเมื่อวาน นั่นคือการบังคับเธอ
และต่อให้เธอจะเกลียดหรือกลัวผมก็เชิญ ขอแค่แม่ไม่เข้ามาบงการชีวิตผมอีกก็พอ ส่วนเรื่องของเธอ... จะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่ได้สำคัญอะไรกับผมอยู่แล้ว
.
.
.
ห้องปฏิบัติการ BETA-G3
“เฮ้ย ไปสนามกันป่ะ วันนี้ว่างว่ะ”
หลังอาจารย์ออกจากห้องไป ไอ้คนชีวิตว่างอย่างฌอนเสนอหน้าข้ามโต๊ะมาถาม ผมมองเหยียดมันก่อนลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋าไพล่หลัง ไม่ตอบและไม่สนใจจนโลกิหันมาเลิกคิ้วใส่
“มึงจะไปไหน กลับบ้าน?”
“อืม”
“เดี๋ยว ๆ ไอ้เสือ นี่มันเร็วไปไหมครับ? ปกติมึงไม่เคยกลับบ้านเร็วสักวัน ขนาดแม่มึงโทรตามยิก ๆ ยังไม่สนใจเลย” ฌอนพาดแขนบนไหล่เพื่อรั้งผมไว้ มันทำหน้าสงสัยใคร่รู้แบบปิดบังความอยากเสือกเอาไว้ไม่มิด ผมเหลือบมองโตที่เดินเข้ามาสมทบอีกคน มันเลิกคิ้วใส่เหมือนรอคำตอบอีกคน
“อะไรของพวกมึงวะ กูจะกลับเร็วสักวันมันจะตายหรือไง”
“ก็ไม่มีใครตาย แค่อยากรู้เหตุผลว่าทำไมเสือกลางคืนอย่างมึงถึงรีบกลับบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแบบนี้ก็เท่านั้น” โตยักไหล่ตอบ
“กูจะไปชมรม มีธุระ เลิกเสือกเรื่องของกูกันได้ล่ะ ไปไป๊” ผมปัดแขนฌอนออกแล้วเดินหนีพวกมันออกมา ได้ยินเสียงโลกิพูดไล่หลังแว่ว ๆ ว่า ‘อาการแบบนี้ไปรับเมียชัวร์’
เกลียดไอ้เวรนี่จัง รู้ดีฉิบหาย!
.
.
.
ชมรมถ่ายภาพ
ผมเดินเข้ามาในอาคารที่ตั้งของชมรมที่อยู่มาเข้าปีที่สาม ปกติถ้าไม่มีธุระจำเป็นหรือโดนพี่ใหญ่เรียกประชุมผมก็ไม่ค่อยเข้ามาหรอก แต่คราวนี้มันจำเป็น เพราะต้องมารับยัยนั่น...
“อ้าวพี่รอง? วันนี้เข้าด้วยเหรอ?” แรมพ์ตะโกนเรียกตอนผมกำลังเดินผ่าน ผมหยุดชะงักเท้าแล้วมองไปทางมัน และนั่น... สบเข้ากับดวงตาหวานที่กำลังมองมาทางนี้พอดี
อองฟองกำลังนั่งอยู่กับแรมพ์และเพื่อน ๆ ของเธอที่ผมเจอเมื่อวาน ผมเปลี่ยนทิศทางการเดินหันไปทางพวกนั้น ขณะเดินเข้าใกล้เรื่อย ๆ ก็สบตากับอองฟองไปด้วย จนกระทั่งเธอละสายตาหนีผมเหมือนทุกครั้งที่ชอบทำ อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา...
ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันคืออะไรวะ?
“ทำอะไรกันอยู่” ผมถามน้ำเสียงนิ่ง ปรายสายตาไปทางร่างบาง เธอไม่ยอมเงยหน้ามองผมอีกเลย เอาแต่มองรูปภาพบนโต๊ะราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจเหลือเกิน
“กำลังโชว์รูปจากกิจกรรมก่อนให้ทุกคนดู เออใช่... รูปนี้พี่รอง เอ่อ ฉันหมายถึงพี่ไรม์เป็นคนถ่ายนะ พวกเธอลองดูสิ มุมแสงสวยมากเลยว่ามะ” แรมพ์กระตือรือร้นพูดราวกับว่าตัวเองอยู่ชมรมนี้มานาน ทั้งที่ก็เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันเหมือนกัน แล้วไอ้เรื่องที่มันเอามาอวดต่อก็ฟังมาจากพี่ใหญ่ทั้งนั้น
“อือ ๆ สวยจริงด้วย รูปนี้ก็สวยเนอะ” พวกเพื่อน ๆ เลือกดูรูปกันอย่างตื่นเต้นผิดกับอองฟองที่ทำเพียงพยักหน้าอือออตามเงียบ ๆ ผมเห็นโฟกัสสายตาของน้องชายตัวเองลอบมองเธอตลอด คิ้วหนาขมวดนิด ๆ เมื่อเห็นบางอย่างในแววตาคู่นั้น...
“กลับบ้านได้แล้ว” จู่ ๆ ปากมันก็ขยับพูดออกมาเองจนทุกคนเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้างุนงง อองฟองก็เช่นกัน ผมสบตากับเธอนิ่งคล้ายกดดันกลาย ๆ ว่าถ้าเธอยังไม่ลุกออกมา ผมจะลากเธอกลับแบบเมื่อวานอีก และเหมือนว่าเธอจะเข้าใจ ร่างบางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าแล้วมองไปทางเพื่อนสนิทตัวเองที่น่าจะชื่อหวาน ผมจำเธอคนนี้ได้ เธอเป็นเพื่อนบ้านของเรา และยังเป็นน้องสาวของหมอนั่น...
“ฟองขอตัวกลับก่อนนะ”
“เอ๊ะ... กลับเหรอ?” เพื่อนอีกคนของอองฟองขมวดคิ้วถามก่อนจะมองหน้าผมสลับกับเธอ “หรือว่าเธอจะกลับกับพี่ไรม์... อ๋า! อย่าบอกนะว่าฟองกับพี่ไรม์คบกันอยู่อ่ะ?!”
“มะ ไม่ใช่นะ!” คิ้วผมกระตุกเล็กน้อยตอนอองฟองปฏิเสธเสียงดัง ไม่เข้าใจว่าเธอทำแบบนั้นทำไม แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมผมรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิมวะ? “เอ่อ... พอดีว่าฟองมีธุระต้องไปทำกับพี่ไรม์น่ะ ฟอง... ขอตัวก่อนนะ”
อองฟองหลบสายตาทุกคนแล้วเดินออกมา แรมพ์มองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ซึ่งน้อยครั้งนักที่มันจะทำแบบนั้นใส่ผม ถามว่าผมสนใจไหม? ก็ไม่ มันจะคิดอย่างไงก็ช่าง ผมไม่สนใจอยู่แล้ว
.
.
.
Rrr...
ขับรถออกจากมหาวิทยาลัยได้สักพักหน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์ ๆ หนึ่งขึ้นมา ผมกดรับพลางเหลือบมองร่างบางที่ยังคงนั่งเงียบมาตลอดทาง
“เออว่าไง”
[เฮีย! พวกไอ้นุโดนล่อไปพัทยา! ตอนนี้พวกผมกำลังไล่ตามพวกมันไป เฮียจะมาไหม?!] น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายชะลอความเร็วรถลงจนร่างบางหันมามอง ผมขบกรามแน่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเปลี่ยนเลนเพื่อยูเทิร์นรถกลับด้วยความรวดเร็ว
“เวรเอ๊ย! ส่งโลมา! กูกำลังไป!”
ผมแทบปาโทรศัพท์ทิ้งขณะเร่งความเร็วรถไปตามพิกัด จนกระทั่งเสียงหวานติดสั่นกลัวดังขึ้นผมจึงได้สติกลับมา
“พะ พี่ไรม์กำลังจะไปไหนคะ?”
ผมสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอองฟอง มัวแต่โมโหไอ้เวรพวกนั้นจนลืมเธอเสียสนิท การพาอองฟองไปด้วยในสถานการณ์แบบนี้เป็นทางเลือกที่อันตรายมาก แต่จะให้ผมปล่อยเธอลงกลางทางเพื่อให้เธอนั่งรถกลับบ้านเองก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่า
เอาไงดีวะ...