วันถัดมา
“ฮะ ใคร? อะไรนะ?” เสียงของจันเซียงดังลั่นด้วยความสงสัย
“ก็ในงานแต่งเมื่อวานไง คนที่ใส่ชุดกี่เพ้า! สวยที่สุดในงานเลยนะ!” ต้วนซิ่วหมิงมองเขาด้วยท่าทีหัวเสีย
“ไม่มีคนแบบนั้นนะ!” จันเซียงส่ายหน้ารัวๆ
“ตาบอดรึไง?! เธอสวยกว่าดาราอีก! ขนาดแค่แต่งหน้าบาง ๆ เอง!” ต้วนซิ่วหมิงแทบจะระเบิด
“ถ้าสวยขนาดนั้น ผมต้องจำได้แน่ แต่ไม่มีสาวสวยใส่กี่เพ้าที่สวยกว่าดาราในงานเลยนะ!” จันเซียงทำหน้าสับสนกว่าเดิม
“โอเค งั้นแปลว่าเมื่อคืนฉันเจอผีสินะ?” ต้วนซิ่วหมิงสีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะหัวเราะเย็นชา
“……”
“……” ต้วนซิ่วหมิงจ้องเขาเขม็ง
“เอ่อ…แล้วเธอชื่ออะไร? ผมจะไปถามคนอื่นให้” จันเซียงรีบถาม
“ไม่รู้!” ต้วนซิ่วหมิงยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม
“หา?! งั้นจะตามหายังไงล่ะครับ?” จันเซียงอ้าปากค้าง
“......” ต้วนซิ่วหมิงไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
หันไปแค่แวบเดียว ก็หายไปเลย?!
เสร็จแล้วก็ไป?
ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว?!
เย็นชา!
สมแล้วที่เป็นคนที่กล้าทำลายงานศิลปะของตัวเอง!
“พี่หมิง…งานแต่งที่พี่ไปเมื่อวาน…มันใช่งานฉลองครบรอบแต่งงานของลุงทวดของผมรึเปล่า?” จันเซียงรู้สึกแปลก ๆ จึงถามขึ้น
“งานแต่งงานครบรอบ?” ต้วนซิ่วหมิงชะงักไปครู่หนึ่งจันเซียงพยักหน้าอย่างหนักแน่นเพื่อยืนยัน ต้วนซิ่วหมิงถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“พี่… ไปผิดงานเหรอ?”
“……งานแต่งงานที่โรงแรมนี้เมื่อวานมีทั้งหมดกี่งาน?”
“ห้างาน”
“หาให้เจอ!” ต้วนซิ่วหมิงจ้องเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“พี่หมิง! ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเรา จะให้ผมหายังไง? แล้วเธอก็เป็นแค่แขกในงานแต่งคนอื่นนะ!” จันเซียงแทบจะคุกเข่าขอร้อง
“ลุงทวดของนายล่ะ?”
“ห่างกันกี่รุ่นแล้ว! ญาติห่างๆ ที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปี!” จันเซียงร้องไห้แทบเป็นสายเลือด
“ไม่มีเส้นสายอะไรเลย?” ต้วนซิ่วหมิงกัดฟันกรอด
“พี่หมิง! นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาซีจื่อนะ ที่นี่ไกลจากฮ่องกงตั้งเท่าไร?”
ต้วนซิ่วหมิงเงียบครู่หนึ่ง พลางคิดในใจ ก็ถูกของมัน… เขาหมดอารมณ์จะพูดหลับตาลงด้วยความหงุดหงิดในหัวเต็มไปด้วยเสียงของเธอเมื่อคืน และดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน
“พี่หมิง ปกติผมคิดว่าคุณไม่สนใจผู้หญิงเสียอีก” จันเซียงมองเขาแล้วเอ่ย
ต้วนซิ่วหมิงลืมตาขึ้นก่อนจะมองไปที่จันเซียงด้วยแววตาเย็นชา
“ไม่ใช่แบบนั้น... ผมหมายถึง... สาวจากแถบเจียงหนานเหรอ? สไตล์เรียบร้อยน่ารักแบบนั้น? คงไม่ใช่หรอก…” จันเซียงรีบยกมือขึ้นปฏิเสธ
“เธอน่ะเหรอ? เหมือนผีเจียงหนานมากกว่า!” ต้วนซิ่วหมิงขมวดคิ้วจนคิ้วแทบจะผูกกัน จันเซียงถึงกับพูดไม่ออกแล้ว จากการบรรยายและน้ำเสียงของต้วนซิ่วหมิงแล้ว ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ผิดปกติ! หรือว่าเธอติดหนี้ต้วนซิ่วหมิงอยู่ แล้วไม่จ่ายหนี้?
“คนเป็น ๆ คงยังไม่ตายไปหรอก จะหายไปแบบนี้ได้ยังไง? หรือว่าจะต้องไปแจ้งตำรวจ?” จันเซียงถามต่อด้วยความไม่แน่ใจ
ต้วนซิ่วหมิงอยากจะสบถออกมาให้รู้แล้วรู้รอด!
........
เช้าวันที่สองหลังจากแต่งงาน
เสียงพูดคุยเฮฮาดังขึ้นทั่วโต๊ะอาหารเย็น บ้านตระกูลลู่แทบจะมากันครบ ยกเว้นเพียงคนเดียวสามีของลู่เชียนที่ไม่ได้ปรากฏตัว ลู่หมิงอวี๋นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะฝั่งล่างสุดก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบ ๆ ไม่ออกเสียงใด ๆ สายตาเย็นชาของลู่เชียนตวัดมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงดังขึ้นกลางโต๊ะ
“เมื่อวานลู่หมิงอวี๋ทำให้ฉันขายหน้าในงานแต่ง!”
“ฉันไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงเลยสักนาที ฉันนั่งวาดรูปอยู่ในห้องส่วนตัวตลอด จะไปเป็นจุดสนใจหรือก่อเรื่องได้ยังไง?” ลู่หมิงอวี๋ยังคงใช้ตะเกียบคีบอาหารต่อไป ไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“งั้นเธออธิบายมาสิ! ทำไมภาพวาดของเธอถึงถูกใครก็ไม่รู้ขีดเขียนเป็นรูปหัวกะโหลกสีเลือดจนเสียหายหมด?! แล้วทำไมเธอถึงไม่อยู่ดูแลมันให้ดี?!” ลู่เชียนจ้องเธอเขม็งน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ฉันแค่หิวเลยออกมาก่อน” ลู่หมิงอวี๋ตอบกลับไปเรียบ ๆ
“แค่หิวนิดหน่อยเธอจะตายรึไง?! ฉันกลับมาบ้านในวันแรกหลังแต่งงาน แต่สามียังไม่คิดจะมาด้วยเลย! เธอรู้ไหมว่าทุกอย่างเป็นเพราะภาพหัวกะโหลกบ้า ๆ นั่น! มันเป็นลางร้าย! เธอนี่มันโง่จริง ๆ !” ลู่เชียนแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
“หมิงอวี๋! เธอเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ ต้องรู้จักรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดี ไม่รู้รึไงว่าหลังจบงานแต่งทุกคนเอาแต่พูดถึงเธอ? พวกคนแปลกหน้ามากมายต่างก็ซักถามเรื่องของเธอ นี่มันดูไม่ดีเลย!” ป้าสะใภ้ใหญ่ ตู้เหวินซิน หันไปมองลู่หมิงอวี๋ด้วยสีหน้าไม่พอใจขมวดคิ้วแน่น
“ใช่! เธอไม่รู้จักอับอายบ้างเลยเหรอ?!” ลู่เชียนรีบเสริมขึ้น
“พอได้แล้ว หยุดพูดเถอะ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด” ในตอนนั้นเอง ลู่หลิน พี่ชายคนโตของบ้านเอ่ยขึ้น
“พี่! ทำไมพี่ต้องเข้าข้างเธอด้วย?! ฉันบอกแล้วไม่ให้เธอมาฉันอยากขังเธอไว้ด้วยซ้ำ! แล้วทำไมพี่ต้องพาเธอมางานแต่งของฉัน?!” ลู่เชียนเดือดจัดลุกขึ้นมาทุบโต๊ะ
ขณะบรรยากาศเริ่มคุกรุ่น เสียงเคาะโต๊ะเบา ๆ ดังขึ้น
ตึก ตึก!
“พูดให้น้อยลงหน่อย พวกเธอมีมารยาทกันไหม?” ลู่ชิวเหลียง คุณลุงของบ้านยกมือขึ้นปรามเสียงเรียบ โต๊ะอาหารเงียบลงทันทีไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ
“หลังทานข้าวเสร็จ แวะมาที่ห้องทำงานฉันด้วย” ลู่ชิวเหลียงปรายตามองลู่หมิงอวี๋
“ค่ะ” ลู่หมิงอวี๋พยักหน้าเบา ๆ
........
ภายในห้องทำงาน
ลู่ชิวเหลียงนั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะทำงาน แว่นตากรอบทองวางอยู่บนสันจมูก ขณะพลิกหน้าหนังสืออย่างใจเย็น มืออีกข้างถือเม็ดมะกอกแกะสลักเล่น ปลายนิ้วถูไถไปมา ส่งเสียงตั้บตั้บแผ่วเบา บุคลิกของเขาดูสุขุมและสง่างามเป็นภาพลักษณ์ของนักธุรกิจผู้ดีเก่าตระกูลใหญ่โดยแท้
ลู่หมิงอวี๋ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะไม่มีที่ให้นั่ง เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ลู่ชิวเหลียงจึงละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามเสียงเรียบ
“อยากไปสวนหลังบ้าน?”
“คุณลุง ที่นี่ก็คือบ้านของฉัน ฉันไม่มีสิทธิ์เดินไปไหนมาไหนในบ้านตัวเองหรือคะ?” ลู่หมิงอวี๋ตอบกลับทันที
“คุณย่าของเธอสุขภาพไม่ดี อย่าไปรบกวนท่าน” ลู่ชิวเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“.....” ลู่หมิงอวี๋นิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไร
“เมื่อไหร่ที่เธอคิดได้ฉันถึงจะให้เธอไปพบท่าน จะเป็นสามเดือน หรือสามปี ก็ขึ้นอยู่กับเธอเอง” ลู่ชิวเหลียงพลิกหน้าหนังสืออีกครั้งแล้วพูดโดยไม่แม้แต่จะมองเธอ
“.....” ลู่หมิงอวี๋ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไร
“แค่ตกลงกับฉัน เธอก็จะได้พบคุณย่าเมื่อไหร่ก็ได้”สายตาอ่อนโยนของลู่ชิวเหลียงทอดมองเธอก่อนกล่าวอย่างเชื่องช้า
“ไปตายซะ” ลู่หมิงอวี่เอ่ยเพียงคำสั้น ๆ
“ท่อง คำสอนสตรีให้ฉันฟังซิ” เสียงทุ้มของลู่ชิวเหลียงเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ เขาก้มหน้ากลับไปอ่านหนังสือต่อราวกับไม่ได้ยินคำพูดนั้น
........
วันรุ่งขึ้น
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสวยงามก้าวเข้ามาในบ้านตระกูลลู่ เธอคือลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลสวีสวีซู่เยว่ ทันทีที่ทุกคนในบ้านเห็นเธอ ก็พากันเข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้น
“เยว่เยว่กลับมาแล้วเหรอ? ปิดเทอมหรือไง?” ลู่หลินถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเรียนจบแล้ว กลับมาถาวรเลยต่างหาก!” สวีซู่เยว่เชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
“แต่ยังดูเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิมเลยนะ เยว่เยว่ของเราอายุคงอยู่ที่แปดขวบครึ่งตลอดไปสินะ!” ลู่หลินหัวเราะเบา ๆ ขณะมองเธอด้วยสายตาเอ็นดู
“ฉันอายุยี่สิบสองแล้วนะ! เลิกเรียกฉันว่าเด็กได้แล้ว!” สวีซู่เยว่ถึงกับถลึงตาใส่
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ทุกคนยังคงหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม ไม่นานนัก ลู่หมิงอวี๋เดินเข้ามาในห้องรับแขก ภายใต้สายตาของเหล่าสมาชิกตระกูลลู่ สวีซู่เยว่แทบไม่รอช้ารีบพุ่งเข้ามาคว้าแขนเธอไว้แน่น
“หมิงอวี๋! ไปเที่ยวกัน!” ลู่หมิงอวี๋เงยหน้ามองไปทางญาติคนอื่น ๆ ของบ้านตระกูลลู่ราวกับกำลังรอการตอบสนอง
“ให้ฉันไปส่งไหม?” ลู่หลินเห็นดังนั้นก็เสนอขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เอาอะ! น่ารำคาญ!” สวีซู่เยว่ส่ายหน้าแรง ๆ
“โอเค โอเค ไม่ไปก็ได้” ลู่หลินหัวเราะยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้สิ้นคำพูด สวีซู่เยว่ก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาดึงลู่หมิงอวี๋ออกจากบ้านไปทันทีโดยไม่มีใครห้าม
........
ทันทีที่ออกมานอกบ้าน
“ว่าไงหมิงอวี๋?” สวีซู่เยว่หันมาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“สนามบิน” ลู่หมิงอวี๋ตอบสั้น ๆ
“สุดยอด! นี่มันโคตรเร้าใจเลย! ไปกันเถอะ!”ดวงตาของสวีซู่เยว่เป็นประกายขึ้นมาทันทีเธอขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ ก่อนเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์คันเล็กให้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตลอดทางมีแต่เสียงร้องตื่นเต้นของเธอดังไปตลอด
“ลู่หมิงอวี๋! ฉันช็อกมากเลย! เธอกล้าเล่นมุกหนีออกจากบ้านเหรอ?! ฉันเองยังไม่เคยลองเลยนะ!”
ทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่อายุสิบสองปี และเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน สวีซู่เยว่ไม่ได้เห็นลู่หมิงอวี๋ที่กล้าทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ได้รับสายโทรศัพท์เมื่อคืน เธอตื่นเต้นจนนอนไม่หลับไปทั้งคืน
“กลับไปเธอได้โดนด่าชัวร์” ลู่หมิงอวี๋มองเธอนิ่ง ๆ
“แล้วไงล่ะ?” สวีซู่เยว่เลิกคิ้วขึ้น
ตระกูลสวีกับตระกูลลู่เป็นพันธมิตรกันมาหลายรุ่นแต่สถานการณ์ของทั้งสองบ้านกลับตรงกันข้ามตระกูลลู่กำลังเสื่อมถอย คุณปู่เสียไปแล้วส่วนคุณย่าก็สุขภาพไม่ดี ในขณะที่ตระกูลสวียังคงรุ่งเรือง สองผู้อาวุโสทั้งแข็งแรงและมีอิทธิพลไม่น้อยในเมืองซีจื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น สวีซู่เยว่เป็นลูกสาวคนเดียวของรุ่นนี้และพ่อของเธอก็คือผู้นำของตระกูลสวีในยุคปัจจุบันระดับความโปรดปรานที่เธอได้รับนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยต่อให้ทำผิดหนักแค่ไหนก็มีคนคอยปกป้องอยู่ดี!
“ว่าแต่ เธอจะไปไหน?” สวีซู่เยว่ถาม
“อังกฤษ” ลู่หมิงอวี๋ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“หา?! เธอจะไปยุโรป?! หนีออกจากบ้านครั้งแรกก็เล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” สวีซู่เยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ลอนดอนน่ะ ไปเรียนปริญญาโท” ลู่หมิงอวี่หัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงความมั่นใจ