“โห! เธอโคตรเจ๋งเลย!” สวีซู่เยว่ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“เป็นความลับนะ” ลู่หมิงอวี๋เพียงตอบสั้น ๆ
“ฉันไม่บอกใครแน่นอน! คนตระกูลลู่ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ! อ้อไม่นับเธอนะ… ว่าแต่เป็นมหาวิทยาลัยไหน?”
“โรยอล คัลเลจ ออฟอาร์ต”
“ฮะ?”
“โรยอล คัลเลจ ออฟอาร์ต มหาวิทยาลัยศิลปะอันดับหนึ่งของโลก”
“หา! เธอเนี้ยสุดยอดไปเลย! เข้าผ่านได้ยังไงเนี่ย?!” สวีซู่เยว่ตื่นเต้นจนเผลอกรี๊ดอีกรอบ
“เธอก็เคยเห็นแฟ้มผลงานของฉันแล้วนี่” ลู่หมิงอวี๋มองเธอที่กำลังตื่นเต้น แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“มหาวิทยาลัยระดับท็อปแบบนี้ ค่าเทอมต้องแพงมากแน่ ๆ ใช่ไหม? ไหนตระกูลลู่ไม่ให้เงินเธอแล้วเธอเอาหลักฐานการเงินจากไหน? ค่าครองชีพ ค่าเช่าหอพักล่ะ? แล้วไหนจะไอเอลอีก เธอไปสอบตอนไหน?!” สวีซู่เยว่ก็นึกขึ้นได้ก่อนจะถามต่อในทันที พอได้ยินแบบนั้นแค่คิดก็รู้เลยว่ามีแต่ปัญหา! เธอคิดไม่ออกจริง ๆ!
“จำได้ไหมเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่เธอกลับมาช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ?”
“จำได้! เธอบอกว่าห้องเธอเล็ก เลยไปวาดรูปในห้องใต้ดินบ้านฉัน แถมเป็นรูปใหญ่มากใช่ไหม?” อีกฝ่ายชะงัก
“ฉันส่งไปที่แกลเลอรีในเมืองหนึ่ง แล้วขายไปแล้ว” เธอพยักหน้าหลังหักเปอร์เซ็นต์กับเสียภาษี ก็พอสำหรับใช้เป็นหลักฐานการเงินขั้นต่ำที่โรงเรียนกำหนด
“รูปนั้นขายได้ตั้งขนาดนั้นเลยเหรอ?! พระเจ้า! เธอนี่มันอัจฉริยะชัด ๆ !”
“คนซื้อใจดี ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะได้ขนาดนี้”
“แต่การวางแผนของเธอรอบคอบมาก! ยังอุตส่าห์เลือกส่งไปขายที่เมืองนั้นอีก! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่บ้านเธอถึงไม่รู้เรื่อง ฉันเองก็จับไม่ได้เลย อยู่ดี ๆ ก็จะบินไปลอนดอนซะแล้ว!” อีกฝ่ายยังคงอุทาน
เธอหัวเราะเบาๆ กับท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่าย แต่ไม่นานคิ้วของอีกฝ่ายกลับขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แล้วคุณย่าของเธอล่ะ ทำยังไง?”
“พวกเขาไม่ให้ฉันเจอถึงสามปี ไม่มีเหตุผลให้ต้องรอต่อไป” รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจางหายไปทันที แววตาฉายแววเย็นชา คล้ายกับว่าหัวใจของเธอด้านชาไปนานแล้ว
บ้านหลังนี้กว้างขวาง มีอาคารหลักตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางพื้นที่ และห้องของเธออยู่บนชั้นสามของอาคารหลังนั้น ขณะที่คุณย่ากลับถูกจัดให้อยู่ในเรือนหลังเล็กด้านหลัง ทั้งที่อยู่ในบ้านเดียวกันแท้ ๆ แต่พวกเขากลับทำให้เธอกับคุณย่าไม่ได้พบหน้ากันเลยตลอดสามปีที่ผ่านมา
หลังจากที่คุณปู่จากไปอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่างก็ตกเป็นของลุงใหญ่ และเขาก็คือคนที่กำหนดให้เป็นเช่นนี้เอง พ่อของเธอเป็นลูกชายคนรองของตระกูล เดิมทีสละสิทธิ์สืบทอด แล้วตามแม่ของเธอไปใช้ชีวิตที่อีกเมืองหนึ่ง
ลู่หมิงอวี๋เกิดและเติบโตที่เยาตู ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีพ่อแม่และเธอเพียงสามคน แต่เมื่อเธออายุได้สิบสองปี พ่อแม่กลับประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และจากไปพร้อมกันอย่างกะทันหัน
หลังจากนั้น คนตระกูลลู่จึงพาตัวเธอไปยังซีจื่อ
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
“งั้นเธออย่าคิดมากเลย! กินดีอยู่ดี ไม่พอให้บอก ฉันโอนเงินให้ เธอตั้งใจเรียนไปเถอะ ฉันเลี้ยงเธอเอง!!” สวีซู่เยว่สบถออกมา
........
สามเดือนต่อมา
เรือสำราญขนาดมหึมาลำหนึ่งค่อย ๆ แล่นออกจากอ่าวเซียงซาน มุ่งหน้าสู่เขตน่านน้ำสากล แสงไฟภายในส่องประกายระยิบระยับ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหรูหราและฟุ้งเฟ้อ พื้นที่สำหรับความบันเทิงคึกคักไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยว
ลิฟต์จากชั้นบนสุดเคลื่อนตัวลงอย่างเชื่องช้า เมื่อประตูเปิดออก กลุ่มบอดีการ์ดหลายคนก็เข้ามาขวางสายตาของทุกคนไว้ทันที
ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำไร้ปกก้าวออกมากลางวง เขาก้าวเดินฉับไวไม่รั้งรอ ส่งผลให้แขกที่อยู่ใกล้ ๆ แทบไม่มีโอกาสได้มองหน้าเขาชัดเจน ข้างกายเขามีชายหนุ่มอีกคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ฝีเท้าหนักแน่นไม่แพ้กันก้าวเดินราวกับเงาติดตามไม่ห่าง
“พี่หมิง! ผมก็อยากไปเมืองซีจื่อบ้าง!” เสียงบ่นอุบอิบดังขึ้นจากหยานเทียนจัว ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตลายดอกที่เดินตามหลังต้วนซิ่วหมิงไปครึ่งก้าว เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“รอให้เรื่องนี้จบก่อนสิ ให้จันเซียงมาเปลี่ยนเวรกับผมหน่อยได้ไหม?”
ต้วนซิ่วหมิงไม่ได้สนใจคำพูดของเขา สีหน้าเคร่งเครียด ไม่อยู่ในอารมณ์จะตอบอะไร
หยานเทียนจัวที่ไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ยังคงพูดต่อไปด้วยความตื่นเต้น
“จันเซียงบอกว่าเมืองซีจื่อน่ะ สวยจนตะลึงเลยล่ะ! ผมอยากไปเห็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าสักครั้ง อยากไปนั่งจิบชาในบาร์กลางป่า!”
“ซีจื่อ…” ต้วนซิ่วหมิงแสยะยิ้มบาง ๆ อย่างประหลาด
หยานเทียนจัวได้ทีก็ยิ่งพูดไม่หยุด “ใช่เลย! เมืองซีจื่อน่ะมีสาวงามอยู่ด้วยนี่นา! ผมอยากไปจัง! พอเคลียร์เรื่องที่ฮ่องกงเสร็จแล้ว พี่หมิงพาผมไปด้วยนะ ผมอยากเห็นสาวงามเจียงหนาน!”
รอยยิ้มที่มุมปากของต้วนซิ่วหมิงหายวับไปทันที แววตาเย็นเฉียบขึ้น ก้าวเดินก็ยิ่งเร่งขึ้นกว่าเดิม
สาวงามงั้นเหรอ?
หายไปสามเดือนแล้ว…เหมือนระเหยไปจากโลกนี้
หยานเทียนจัวเพิ่งรู้สึกตัวว่าอะไรบางอย่างผิดปกติ เมื่อเหลือบเห็นสีหน้าของต้วนซิ่วหมิงเขาหุบปากทันที ก้มหน้าลงเงียบกริบ เขาพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ…?
ฮะ???
........
ภายในห้องอาหารของเรือสำราญ ที่โต๊ะอาหารตัวหนึ่งมีชายหนึ่งหญิงสามนั่งอยู่ด้วยกัน ลู่หมิงอวี๋กำลังกินอาหารเงียบ ๆ
“หมิงอวี๋ เธอไม่เล่นอะไรเลยเหรอ? วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ไปโซนคาซิโนด้วยกันหน่อยสิ?” สวีเหวินจุนเหลือบมองมาทางเธอก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่มีเงิน” ลู่หมิงอวี๋ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” สวีเหวินจุนใจกว้างยิ้มให้
“ฉันไม่เล่นพนัน” ลู่หมิงอวี๋ยังคงส่ายหน้า
“ไม่ต้องเล่นก็ได้แค่เข้าไปดูหน่อยก็ยังดี ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว” สวีเหวินจุนยังไม่ยอมแพ้
“พี่จะเซ้าซี้ไปถึงไหนกันแน่ ถามอยู่นั่นแหละ! เธอบอกว่าไม่ไป พี่หูหนวกหรือไง?!” สวีซู่เยว่จ้องอีกฝ่ายตาขวางก่อนจะโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
สวีเหวินจุนเม้มปากแน่น ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่คนที่อารมณ์แย่กว่านั้นคือ ลู่หมิงอวี๋!
เธอเพิ่งลงเครื่องที่สนามบินเซียงเจียง พอเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากเซียงซานอ้าวก็นึกสนุกอยากแวะมาหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจให้กับงานศิลปะของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเลือกขึ้นเรือสำราญลำนี้โดยเฉพาะ เพราะได้ยินมาว่าเจ้าของเรือเป็นนักสะสมตัวยงและมีภาพวาดระดับโลกของศิลปินชื่อดังแขวนประดับอยู่ทั่วทุกมุม
แต่ใครจะคิดว่าจะมาเจอ สามพี่น้องจอมป่วน ที่กำลังเที่ยวลงใต้เข้าอย่างจัง! ตอนเจอกันครั้งแรก ทั้งสองฝ่ายแทบไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ต่างคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะสวีซู่เยว่ที่ถึงกับอึ้งไปเลย! เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอลู่หมิงอวี๋ที่นี่
แต่พอเรียกสติกลับมาได้ก็เข้าใจทันที หลักสูตรของโรยอล คัลเลจ ออฟอาร์ต เป็นระบบสามเทอมต่อปี แต่ละเทอมกินเวลาสามเดือนพอดี ช่วงนี้ก็นับเป็นช่วงปิดเทอมพอดี…
สวีซู่เยว่ถอนหายใจยาว ให้ตายเถอะ! เซียงซานอ้าวอยู่ไกลจากซีจื่อขนาดนี้ ยังจะบังเอิญมาเจอกันได้อีก! ถ้ารู้แต่แรกว่าทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ก็ควรจะพูดคุยกันให้รู้เรื่องก่อนหน้านี้…
“ฉันอยากไปเที่ยว~” ซางฉียื่นตัวเข้าไปซบอกสวีเหวินจุน ส่งเสียงออดอ้อน
“วันนี้ฉันจะพาเธอไปเที่ยวให้เต็มที่เลย เล่นให้หนำใจไปเลย” สวีเหวินจุนโอบเธอไว้หลวม ๆ แล้วเอ่ยเสียงนุ่ม
“ฉันก็จะไป ห้ามใครมาห้ามฉันเด็ดขาด!” สวีซู่เยว่พูดขึ้นมาทันที
“เธอจะไปเป็นก้างขวางคอหรือไง? อีกอย่าง อายุถึงหรือเปล่า? สถานที่นี้ห้ามคนอายุต่ำกว่ายี่สิบเอ็ดเข้า!” สวีเหวินจุนหันไปมองน้องสาว ก่อนจะหัวเราะหยัน
“ฉันยี่สิบสองแล้ว!” สวีซู่เยว่แผดเสียงลั่น
“ยี่สิบสองก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ระวังไว้เถอะ กลับไปโดนพ่อดุเอา” สวีเหวินจุนไม่สนใจ เขาเรียกพนักงานมาเก็บเงินก่อนจะยิ้มเยาะ
“แล้วลู่หมิงอวี๋ล่ะ เธอก็ยี่สิบสองเหมือนกัน ทำไมพี่ถึงต้องลากเธอไปด้วยล่ะ พี่มันบ้าไปแล้วหรือไง?!” สวีซู่เยว่ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“เธอคิดว่าฉันไม่จำเป็นต้องดูแลเธอหรือไง หรือเธอแค่แกล้งโง่? สามเดือนก่อนเธอทำตัวเอาแต่ใจแค่ไหน ลุงลู่แทบเป็นบ้าเพราะเธอ!” สวีเหวินจุนปรายตามองเธอแล้วเอ่ยเสียงเย็น
“แค่เรื่องเที่ยวสามเดือน ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย?” สวีซู่เยว่พูดพลางเบ้ปาก ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงตรงไหน
“เธอก็คือเธอ ลู่หมิงอวี๋ก็คือลู่หมิงอวี๋! เธอเป็นคุณหนูตระกูลผู้ดี ใครจะไปเที่ยวเตร่ไม่รู้จักโตแบบเธอทุกวันได้? ฉันว่าเธอนี่โดนตามใจจนเคยตัวไปแล้ว!” สวีเหวินจุนขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงเข้ม
“พอแล้ว ๆ อย่าทะเลาะกันเลย เป็นพี่น้องแท้ ๆ จะมาทะเลาะอะไรกันนักหนา” ซางฉีรีบเข้ามาห้าม
หลังมื้ออาหารจบลง ทั้งสามคนจ่ายเงินเรียบร้อย แต่ไม่ได้ตรงไปยังโซนคาสิโนในทันที สิ่งแรกที่ทำคือพาลู่หมิงอวี๋กลับไปส่งที่ห้องพัก ก่อนจากกัน สวีเหวินจุนมองเธอด้วยสายตาจริงจัง
“อย่าเอาอย่างซู่เยว่ ทำตัวเอาแต่ใจแบบนั้นไม่ดีหรอก เธอหนีออกจากบ้านตั้งสามเดือนมันเกินไปมาก พอเรือเทียบท่าฉันจะพาเธอกลับบ้าน”
“เข้าใจแล้ว” ลู่หมิงอวี๋ยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้า
“อย่าออกไปเดินเตร่ที่ไหนล่ะ ที่นี่คือทะเลหลวง ไม่ใช่ซีจื่อ มันไม่ปลอดภัย” ก่อนจะปิดประตู สวีเหวินจุนยังไม่วายกำชับอีกครั้ง
แกร๊ก!
เสียงล็อกประตูดังขึ้น ห้องพักถูกปิดลงเหลือเพียงความเงียบสงบ