พื้นที่ห่างไกลรายล้อมไปด้วยภูเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ของอำเภอนี้ ต่างก็ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ส่วนใครที่ทำอย่างอื่น เพราะครอบครัวมีฐานะจนสามารถมีการค้าเป็นของตนเอง ที่เหลือถ้าไม่ขึ้นเขาล่าสัตว์ก็หาของป่า นอกนั้นก็การรับจ้างตัดฟืนเพื่อขายให้กับคนที่พอมีกำลังจ้าง
อย่างเช่นชายตัดฟืนในหมู่บ้านสือ ชื่อว่าหานจิ่นหยาง
หลายคนรู้จักว่าเขาชื่อหยางเพียงพยางค์เดียว เพราะไม่มีใครอยากที่จะจดจำคนตัดฟืนท่าทางดุดันเงียบขรึม มีแค่ผู้นำหมู่บ้านเท่านั้น ที่จดจำได้ว่าเขาเอาหนังสือยืนยันตนเองให้ดูเมื่อครั้งมาขอซื้อที่ดินท้ายหมู่บ้าน
..ผ่านไปสามปี
กลับมีข่าวว่าบ้านจาง ได้ยกหลานสาวให้แต่งกับคนตัดฟืนผู้นั้น ได้สินสอดเป็นเงินสองตำลึง
และหมูอีกหนึ่งตัว
แต่สภาพที่ทุกคนเห็น คืออาหยางอุ้มเจ้าสาวในสภาพป่วยใกล้ตาย เดินกลับที่ดินด้านหลังของตนเองโดยไม่สนว่าชาวบ้านจะส่งเสียงสาปแช่งใครบ้าง ถึงหนึ่งในนั้นจะกล่าวว่าเขาในทางที่ไม่ดี ก็ยังเมินเฉยด้วยสีหน้าอันนิ่งสงบ
ชายวัยยี่สิบห้าปีเรือนกายสูงใหญ่กำยำ ท่าเดินน่าเกรงขามราวกับไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ในรูปลักษณ์ดุดัน ผมเผ้าและหนวดเครารุงรังจนมองหาใบหน้าที่แท้จริงไม่เจอ มีเพียงนัยน์ตาคมที่น่ากลัวราวกับสัตว์ร้ายเท่านั้น ที่ทุกคนจดจำได้ว่าเป็นชายตัดฟืนท้ายหมู่บ้าน
เมื่ออุ้มร่างบางในเสื้อผ้าเก่าๆ ที่จับแรงเพียงนิดก็จะขาดติดมือ มาถึงเรือนไม้ของตนเอง แล้วพาเข้าไปวางบนเตียงที่อยู่ในห้องหนึ่ง บ้านหลังนี้มีสองห้องนอนหนึ่งห้องโถง และด้านหลังยังมีห้องอาบที่เขาไม่ค่อยได้ใช้
วางลงได้ก็คลี่ผ้าห่มมาคลุมกาย จากนั้นจับที่ข้อมือเล็กเพื่อตรวจชีพจร "ยังดีที่เพียงแค่เป็นไข้เท่านั้น ถ้าเป็นหนักกว่านี้คงต้องเดินทางไปหาสมุนไพรแล้ว"
ถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วจึงออกไปต้มยา
หวนคิดไปถึงเมื่อวานตอนสาย ที่จู่ๆ บ้านจางก็มาตะโกนเรียกเขาเพื่ออยากพูดคุยบางอย่าง
เขาที่เห็นว่านานๆ ครั้งจะมีใครมาทำเช่นนี้ จึงได้ออกไปพบหน้ารั้วทางเข้า และก็เป็นหยวนเฉา มารดาจางยวี่ลี่ ที่ขอคุยกับเขาเรื่องการแต่งภรรยา
ในทีแรกก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาเองก็มีเรื่องราวที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดเกี่ยวกับจางยวี่ลี่ ว่าครอบครัวของนางใช้ข้ออ้างที่ว่าใครสามารถนำสองตำลึงพร้อมหมูหนึ่งตัวไปให้ได้ ก็จะยกลูกสาวที่กำลังป่วยให้ทันที
แต่เพราะหมู่บ้านสือแห่งนี้ เป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ร่ำรวยอันใดนักจึงไม่มีใครสนใจ บ้านไหนมีเงินเก็บก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แต่บ้านจางกลับมีความคิดเกี่ยวกับการส่งบุตรชายเรียนเพื่อสอบเป็นบัณฑิตเด็ก และไต่เต้าเป็นจอหงวนภายหน้า
ถึงไม่ได้ไปยังจุดสูงสุด แต่ผู้ที่สามารถสอบเป็นซิ่วไฉได้ อย่างน้อยก็ยังได้รับตำแหน่งงานจากทางการ ดังนั้นแม้ต้องขายบุตรสาวที่ป่วยใกล้ตายออกไป ก็ยังนับว่ามีประโยชน์มากกว่าปล่อยให้ตายไปเสียเปล่าๆ
ต่อให้พาหมอมารักษาก็ต้องหมดไปหลายตำลึง ดังนั้นกระทั่งจางหวินเจ๋อ ที่เป็นบิดาก็ยังทำเป็นมองไม่เห็น
หานจิ่นหยางมองร่างเล็กที่ชื้นเหงื่อทั้งร่างกายร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่เขาซื้อมา ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องผิดต่อผู้ใดทั้งสิ้น จึงได้ถอดเสื้อผ้าเก่าๆ นั่นออกจากเรือนกาย
จางยวี่ลี่อายุสิบแปดแล้ว แต่ร่างกายกลับผ่ายผอมและตัวเล็กยิ่งนัก ถ้าเทียบส่วนสูง เกรงว่าจะสูงเลยอกของเขาขึ้นมานิดเดียว
ระหว่างที่รอยาได้ที่ จึงใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตามเรือนกายที่เปลือยเปล่า
ผิวนอกร่มผ้าคล้ำแดดกระดำกระด่าง แต่ผิวใต้เนื้อผ้าขาวละมุนอย่างเห็นได้ชัด เป็นเช่นนี้แล้วก็ใจชื้น ร่างเล็กๆ แค่นี้ เพียงแค่ใช้เวลาอยู่ในบ้านและอาศัยการบำรุง ไม่กี่เดือน ผิวด้านนอกและด้านในก็เหมือนกันแล้ว
อีกทั้งหน้าตายังมีเค้าโครงที่ไม่เลว มีแก้มอีกสักหน่อยก็กลายเป็นสตรีงามผู้หนึ่ง
ใช้เวลากลั้นใจตนเองเพื่อเช็ดกายผ่ายผอมให้เย็นลง จากนั้นจึงได้ยกยาที่ยังอุ่นเข้ามาในห้อง แต่จางยวี่ลี่ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ แม้จะหายใจสม่ำเสมอแต่ก็ยังน่าเป็นห่วง
เพียงตักยาป้อนนาง ก็เห็นว่ามากกว่าเจ็ดส่วนไหลทิ้งออกมายังมุมปาก จึงได้ตัดสินใจยกชามยาจ่อปากตนเองแล้วอมยาที่แสนขมนั่นเอาไว้ สอดมือหนึ่งเพื่อยกให้เรียวปากที่แห้งผากลอยขึ้นมา จากนั้นประกบปากของตนเองแล้วใช้ลิ้นเผยอกลีบปากของจางยวี่ลี่ออก ยารสขมค่อยๆ ไหลเข้าไปในปากและลงคอของนางช้าๆ ทำเช่นนั้นอีกสองสามครั้งก็หมด
เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดี จึงได้ไปก่อไฟเพื่อต้มโจ๊กข้าวเอาไว้ เมื่อนางตื่นขึ้นมาคงจะหิวมาก จะได้กินและหายเร็วๆ เพราะเขาเองก็ไม่อยากที่จะอยู่ดูแลใครตลอดเวลา
กระทั่งยามยามเซิน (15.00-16.59น.) คนป่วยที่ถูกขายให้ผู้อื่นจึงได้เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ เห็นว่าเพดานและห้องเป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย จึงได้เบิกตากว้างเพราะตกใจ
"ที่นี่ที่ไหน?"
เสียงทุ้มราบเรียบดังมาจากหน้าประตู "บ้านสามีของเจ้า"
"เป็นไปไม่ได้ ข้ายังไม่ได้แต่งงาน!"
จางยวี่ลี่จับจ้องคนตัดฟืนท้ายหมู่บ้าน นางขยับขึ้นมาด้วยความยากลำบาก แต่ร่างสูงหน้าดุจับจ้องอยู่ จึงไม่กล้าโวยวายถึงอย่างนั้นก็ยังแอบมองเขา คนตัดฟืนแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายแขนกุดเรือนกายผิวสีเข้มอวดต้นแขนล่ำสัน กระทั่งแผงอกแน่นยังมองเห็นอย่างแจ่มชัด แต่ใบหน้ากลับมีหนวดและสายตาดุดันปรากฏอยู่
อย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นคนที่ทั้งหมู่บ้านสือไม่อยากวุ่นวายด้วยมากนัก ดุร้าย และไม่สนที่จะคบหาเพื่อนบ้านที่ไหน ยังชอบอยู่อย่างสันโดษจนหลายคนก็ลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่
เขากอดอกพิงกรอบประตู เอ่ยว่า
"ฮูหยิน เจ้าแต่งให้ข้าแล้ว" ลอบมองสีหน้าที่ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา "ที่นี่เป็นบ้านข้า ถ้าอยากหย่าเจ้าต้องหาค่าสินสอดจำนวนสองตำลึงเงินกับหมูหนึ่งตัวมา ถ้าเอามาได้ จะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน เพียงแต่เมื่อกลับไปบ้านจาง คนพวกนั้นก็เอาเจ้าไปเร่ขายอีก เท่านี้ก็ได้กำไรอีกครั้งแล้ว"
..บ้านจาง "พวกเขาขายข้าจริงๆ หรือ?"