EP 06
ความผิดเท่าผนังคอนโด
ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเก็บซองบุหรี่ของไอ้บุ๊กใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตามไอ้ยอร์ชมาที่รถ ไอ้ยอร์ชมันเป็นมนุษย์ที่มาเที่ยวเพราะผู้หญิง ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่ามันจะดื่มหนักหรอก มันยืนยันเสมอว่าอยากมีสติตอนพาผู้หญิงเข้าโรงแรม ถึงกับประกาศตัวว่าสุภาพบุรุษกว่ามันก็คงมีแต่พระสงฆ์ เอาพระเอาเจ้ามาเปรียบเทียบนี่นรกกินกบาลฉิบหายเลย
“เดี๋ยวกูส่งมึงก่อนนะ”
“เออ กูรู้” ผมว่าเสียงเรียบ เพราะผมเองก็คงไม่ไปรับน้ององุ่นกับมันเหมือนกัน เดี๋ยวมาทำอะไรกันในรถจะเดือดร้อนผมต้องจุดบุหรี่สูบ
ไอ้ยอร์ชขับรถออกมาเรื่อยๆ พอทุกอย่างเงียบลง ความคิดและคำถามเดิมๆ ใบหน้าเดิมๆ ของใครอีกคนก็ฉายซ้ำเข้ามาในหัวอีกครั้งทั้งที่ผมคิดว่าผมลืมมันไปได้แล้วเชียว
“ถึงแล้วปลุกกูนะ”
“อ้าว แดกไปแค่นี้ทำเมา”
“กูได้เมา แต่กูรำคาญเสียงผิวปากมึง” ผมว่าแล้วหลับตาลง แม้จะรู้ว่าคงจะพักสายตาได้ไม่นานก็ตาม
ผมพยายามแล้วที่จะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่ยิ่งความเงียบปกคลุมตัวผมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิด ยิ่งถามตัวเองซ้ำๆ ทั้งที่ผมรู้ดีแก่ใจว่าผมไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะสงสัยด้วยซ้ำ
“ถึงแล้ว”
“อย่ามาตอแหล”
“กูพูดจริง มึงลงไปได้แล้ว กูรีบ” ไอ้ยอร์ชบอกเสียงเข้ม ซึ่งพอผมลืมตาขึ้นมก็พบว่าไอ้ยอร์ชจอดรถที่หน้าคอนโดผมแล้วจริงๆ
“สรุปว่าพรุ่งนี้ไอ้ปาล์มมารับมึงใช่มั้ย”
“มันว่างั้น” ผมบอกแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะมันพูดจริงแต่จะมารับผมจริงมั้ยผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ
“งั้นกูไปนะ”
“อืม ขอบใจ” ผมบอกสั้นๆ อีกครั้งแล้วก้าวลงจากรถ จริงอยู่ว่าวันนี้วันศุกร์ แต่พวกผมมีเรียนวันเสาร์ด้วยน่ะ โชคดีที่เป็นช่วงบ่าย คืนวันศุกร์ก็เลยดึกได้มีปัญหา
ผมพาตัวเองเดินมาขึ้นลิฟต์เหมือนทุกวัน การกลับห้องดึกไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผมหรอก อีกอย่างผมไม่กลัวผี ต่อให้การขึ้นลิฟต์คนเดียวตอนดึกๆ จะทำให้รู้สึกวังเวงแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้แน่นอน
ติ๊ง
ก้าวเท้าออกจากลิฟต์เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เดินมาเรื่อยๆ มาจนถึงห้องก่อนจะกดรหัสที่หน้าประตูแล้วผลักประตูเข้าไปเหมือนทุกวัน ไม่รู้ว่าวันนี้ลามินจะกลับไปรึยัง
แล้วผมก็กลับถึงห้องอย่างปลอดภัย สายตาของผมจ้องไปที่รองเท้าคู่หนึ่งที่วางอยู่นอกตู้ มันไม่ใช่รองเท้าคัทชูของลามินแบบที่ผมคุ้นตา จะว่าลามินเปลี่ยนมาใส่รองเท้าผ้าใบก็ไม่น่าใช่เพราะรองเท้าผ้าใบที่อยู่ตรงหน้าผมเบอร์สี่สิบเอ็ด แต่ลามินใส่รองเท้าเบอร์สี่สิบ
“ของฉันเองน่ะ กำลังจะกลับพอดี”
แล้วเจ้าของรองเท้าก็โผล่มาทักทายผมจนผมสะดุ้งตกใจ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะรีบเก็บรองเท้าเข้าตู้รองเท้าตามปกติแล้วถอยออกมา ส่งยิ้มให้แขกของพี่อาทิตย์นิดหน่อย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา จะทักทายผมก็ยังไม่รู้จักชื่อของเขาด้วยซ้ำไป
“นายชื่อเลโก้ใช่มั้ย ฉันชื่อเอสนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
แล้วเขาก็เป็นฝ่ายแนะนำตัวกับผมก่อน ผมก็เลยจำเป็นต้องหยุดเดินเพื่อหันกลับไปมองหน้าเขาแล้วยิ้มให้เขาอีกครั้ง
“เรียกฉันว่าพี่เหมือนที่นายเรียกพี่อาทิตย์ก็ได้ ฉันอายุน้อยกว่าพี่อาทิตย์แค่ปีเดียว แต่หน้าพอจะรุ่นเดียวกับนายได้ใช่มั้ยเลโก้”
“ครับ” ผมยิ้มแล้วตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“นายนี่ยิ้มยากเหมือนพี่อาทิตย์เลยนะ เอาเถอะ ฉันกลับก่อนดีกว่า ไว้จะแวะมาหาใหม่นะ” พี่เอสพูดกับผมราวกับเราสนิทสนมกันมานาน ผมเองก็ยกมือไหว้เขาตามมารยาท ก่อนจะยืนรอจนกระทั่งเขาเดินออกไปลับสายตา
ประตูห้องถูกปิดลงเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับคำถามที่เริ่มมีมากขึ้นในความรู้สึกของผม แต่ผมจะถามใครได้ล่ะ ผมไม่มีสิทธิ์ถามหรอก แม้ว่าจะอยากรู้แค่ไหนก็ตาม
“วันไหนกลับเร็ว เจ้าที่จะไม่ให้นายเข้าห้องรึไงเลโก้”
เสียงพี่อาทิตย์ดังมาจากในห้องครัว และพอผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ผมก็เห็นเขาอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดตา ทำให้หัวใจของผมกระตุกเบาๆ ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“มองฉันแบบนั้นทำไม สงสัยอะไรก็ว่ามา” พี่อาทิตย์ถามเหมือนจะรู้เท่าทันความคิดของผม แต่ว่าผมเองก็รู้ทันเขาเหมือนกันนั่นแหละว่าที่เขาถามเหมือนจะเปิดโอกาสให้ผมถามนั้น ไม่ใช่เพราะเขาจะได้ตอบให้ผมเข้าใจ แต่เขาถามเพื่อให้ผมถาม เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ต่างหาก
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมเมา ขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า” ผมตัดบทสั้นๆ ด้วยการบอกว่าตัวเองเมาง่ายๆ แล้วกลับหลังหันทันที
“หยุดตรงนั้นเลโก้”
แล้วคำสั่งของพี่อาทิตย์ก็ทำให้ผมหยุดเดินแบบไม่มีทางเลือก ทั้งที่อีกไม่กี่ก้าว ผมจะถึงประตูห้องนอนอยู่แล้ว
“นายดื่มไปเท่าไหร่”
เหอะ แบบนี้รึเปล่าที่เขาเรียกคนร้อนตัว ปกติเขาเคยสนใจที่ไหนกัน
“ไม่ได้นับครับ”
“หันหน้ามาพูดกับฉัน”
หันหลังพูดแล้วฟังไม่ออกเหรอ? ทำเหมือนการหันหน้าหันหลังของผมเป็นปุ่มเปลี่ยนภาษาไปได้ บอกก่อนนะว่าถึงผมจะเคารพ แต่บทผมจะหน้ามึนก็มึนมันหน้าด้านๆ นั่นแหละ
“ผม...ไม่ได้นับ” ผมย้ำอีกครั้งด้วยภาษาไทยเหมือนเดิมหลังจากที่หันหน้ากลับมาหาพี่อาทิตย์เรียบร้อยแล้ว
ผมไม่คิดจะโกหกหรอกว่าผมดื่มเยอะ เพราะยังไงพรุ่งนี้เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วเพราะผมคงเป็นผื่นทั้งตัว แต่ที่แปลกใจคือเขาสนใจผมทำไมต่างหาก
“เอาไอ้ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของนายออกมา”
คำสั่งที่สองของพี่อาทิตย์ตามมาติดๆ ซึ่งก็พอจะทำให้ผมเดาออกว่าสรุปแล้วเขาสนใจผมทำไม เขาไม่ได้สนใจผมหรอก เขาสนใจสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมต่างหาก
ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบซองบุหรี่ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังออกมาแล้วยื่นมันไปตรงหน้า พี่อาทิตย์จ้องมองมันราวกับอยากจะให้ไฟในดวงตาของเขาเผามันให้มอดไหม้คามือของผม
“ของใคร?”
ก็ยังดีที่เขาถาม
“ของไอ้บุ๊ก”
“แล้วมันมาอยู่ในกระเป๋านายได้ยังไง”
“มันให้มา”
“แล้วมันให้นายมาทำไม นายอย่ามากวนประสาทฉันนะเลโก้!” ผู้ชายตรงหน้าตะคอกใส่ผมเสียงดัง ทั้งที่ปกติเขาทำตัวคีพลุคเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้ดูโมโหหนักกับอีแค่เห็นผมพกซองบุหรี่ เห็นผมสูบตาคารึก็เปล่า
“ให้มาสูบ” ผมตอบตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อม พี่อาทิตย์เม้มถึงกับกัดฟันกรอด สายตาของเขาวาวโรจน์ขึ้นมาชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อวานตอนที่ผมบอกว่าผมทำร้ายอาจารย์เสียอีก
“ผมไปได้รึยัง”
“ฉันจำได้ว่าเคยสอนนายไปแล้วเรื่องบุหรี่”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเสียงของพี่อาทิตย์สั่น อาจเป็นเพราะเขากำลังโกรธผมมากเหมือนครั้งแรกที่รู้ว่าผมแอบสูบบุหรี่ก็ได้นี่นา และก็บอกตรงๆ ว่ามีแวบหนึ่งที่ผมรู้สึกผิดที่ทำลงไปทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่นั่นมันก็แค่แวบหนึ่ง
“ผมรู้ครับ แต่นั่นอาจใช้ได้กับคนอื่น”
“นายหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าพี่เคยบอกผมว่าพี่เกลียดคนที่สูบบุหรี่น่ะ มันใช้ในกรณีที่เป็นคนอื่น เพราะสำหรับผม ต่อให้ผมจะสูบหรือไม่สูบ พี่ก็เกลียดผมอยู่ดี” ผมพูดช้าๆ ชัดๆ ออกไปแบบนั้น รู้ดีว่ายิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เขาโกรธ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา
...เขาเกลียดผมมาแต่ไหนแต่ไร ที่ยังต้องช่วยผมอยู่นี่ก็แค่หน้าที่ๆ ไม่อาจปฏิเสธคุณป้าได้เท่านั้น...
“ผมไปได้รึยัง”
“รีบๆ ไปให้พ้นหน้าฉันซะเลโก้”
แล้วมันก็จบไม่สวยจริงๆ นั่นแหละ
ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกลับหลังหันให้พี่อาทิตย์อีกครั้งแล้วพาตัวเองเดินกลับมาที่ห้องเงียบๆ คนอย่างผมจะไปได้ไกลจากเขาสักแค่ไหนกันเชียว
“โธ่ว้อยยย”
ทันทีที่ปิดประตูห้องนอนลงได้ผมก็เหวี่ยงกระเป๋าเป้บนบ่าลงกับเตียงด้วยความหงุดหงิด กำซองบุหรี่ในมือแน่น ก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง ตัดสินใจหยิบไฟแช็กออกมาแล้วเดินตรงไปที่ระเบียงห้อง
…ชีวิตผมก็ดีได้เท่านี้แหละ ขนาดแม่แท้ๆ เขายังไม่ต้องการผมเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น...
ผมเคาะบุหรี่ออกมาจากซองก่อนจะวางซองบุหรี่ไว้ข้างๆ ตัว ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่ระเบียงน่ะ อย่างน้อยลมข้างนอกก็อาจช่วยพัดพาไอ้น้ำตาของความอ่อนแอออกไปจากใบหน้าของผมได้ดีกว่าแอร์ในห้องที่ผมเพิ่งเปิดเมื่อครู่
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมคนอื่นถึงได้อิจฉาชีวิตของผมนัก หนำซ้ำยังชอบคิดว่าพี่อาทิตย์ตามใจผมตลอดเวลา ผมมักถูกมองว่าเป็นพวกเด็กเอาแต่ใจเพราะถูกสปอยล์ด้วยเงิน อยากทำอะไรก็มีคนคอยให้ท้าย ทำตัวไร้สาระไปวันๆ แถมยังนิสัยอันธพาลแถวหน้าที่ไม่เคยกลัวใคร แต่ใครจะรู้ว่าความจริงหลังจากที่ก้าวเท้ากลับเข้าห้องทีไร ชีวิตผมแม่งโคตรน่าสมเพชต่างหาก
ผมคาบบุหรี่ไว้ในปาก ก่อนจะจุดไฟแช็กแล้วจ่อเปลวไฟจากไฟแช็กเข้ากับอีกด้านของบุหรี่ ค่อยดูดมันช้าๆ จนกระทั่งมันติดไฟดีแล้วผมถึงวางไฟแช็กลงข้างกาย
สายตาของผมมองไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา ถึงนี่จะดึกมากแล้ว แถมผมยังรู้สึกมึนหัวเพราะดื่มเยอะกว่าปกติ แต่เปลือกตาของผมกลับยังไม่รู้สึกว่าอยากปิดลง
ครืดดด~~~
แล้วเสียงประตูเลื่อนด้านหลังผมก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพี่อาทิตย์อีกครั้ง ผมช้อนตาขึ้นมองเขาที่กำลังมองผมนั่งสูบบุหรี่ด้วยความไม่พอใจ ผมไม่ได้จะสูบให้เขาเห็นนะ แต่เขาเดินเข้ามาในเห็นเอง
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องตามมามอง อีกอย่างพี่บอกผมเองว่าถ้าจะสูบให้ไปสูบไกลๆ อย่าสูบให้พี่เห็น แต่นี่พี่เดินตามผมเข้ามาเอง” ผมรีบบอกก่อนจะหันหน้าหนีเขาออกมาอีกทาง เพราะไม่อยากพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าเขาหรอก เขาเคยบอกว่าไม่อยากตายผ่อนส่งไปพร้อมกันกับผม
“แต่นี่มันคอนโดฉัน”
คำพูดเดียวสั้นๆ ของพี่อาทิตย์ทำเอาหัวใจผมปวดหนึบ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าผมกำลังทำตัวมีปัญหา เพราะผมมันก็แค่เด็กปัญหา
“แปลว่าผมควรไสหัวไปซะใช่หรือเปล่า” ผมหันไปถามอย่างท้าทายแล้วจ้องเข้าไปให้ลึกในดวงตาของพี่อาทิตย์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวทำตามคำสั่ง
บางทีเขาอาจอยากพูดนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส นี่อาจเป็นโอกาสของเขา ประจวบเหมาะกับที่พี่เอสก้าวเข้ามาพอดีก็ได้
“ฉันไม่เคยสอนให้นายหนีปัญหาเลโก้ แล้วก็ไม่ชอบให้นายเดินหนีฉันแบบนั้น”
อั่ก!
เสียงแผ่นหลังของผมกระแทกเขากับผนังด้านข้างของระเบียงเต็มๆ เมื่อพี่อาทิตย์กระชากไหล่ของผมให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วผลักผมอัดเข้ากับกำแพงอย่างไม่คิดจะออมแรง
ฝ่ามือใหญ่กำคอเสื้อของผมเอาไว้แน่น ร่างกายของผมถูกเขาใช้ร่างของตัวเองทาบทับเอาไว้จนผมไม่มีทางสู้
ผมจ้องมองพี่อาทิตย์นิ่งๆ แบบไม่คิดจะยอมแพ้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะสู้กับเขาหรอกนะ แม้ตอนนี้แทบจะหายใจไม่ออกแต่ก็ไม่คิดจะร้องขอให้เขาปล่อยด้วยซ้ำ คิดแล้วมันก็คงดีเหมือนกันถ้าผมจะตายเพราะน้ำมือเขา
“อยากสูบมันมากใช่มั้ย” พี่อาทิตย์ถามเสียงต่ำ ก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นออกจากมือของผมไปถือเอาไว้
“พูดกับฉันเลโก้”
“ใช่ ผมอยากสูบ และต่อให้พี่จะดับมวนนั้น แต่คิดเหรอว่าผมจะซื้อใหม่ไม่ได้”
ผมเป็นพวกปากเสียนะ เพราะถ้าบทจะไม่ยอม ผมก็สู้ยิบตาเหมือนกัน
“แล้วเงินที่นายเอาไปซื้อบุหรี่นั่นเงินใคร”
เหอะ สุดท้ายเขาก็เป็นต่อผมทุกทางนั่นแหละ
“จำไว้นะเลโก้ คราวหลังถ้าอยากสูบบุหรี่ ให้นายนึกถึงวันนี้ให้ดี” พี่อาทิตย์กดเสียงพูดจนน่ากลัว สายตาของเขาทำเอาผมหายใจไม่ออกยิ่งกว่าอึดอัดเพราะคอเสื้อที่ยังถูกเขากุมเอาไว้ซะอีก
พี่อาทิตย์มองหน้าผมด้วยสายตาเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะคาบบุหรี่มวนนั้นของผมไว้ในปากของตัวเอง ผมเบิกตาโพลงเมื่อเห็นกับว่าไฟสีแดงที่ปลายบุหรี่มันแดงวาบขึ้นมาเมื่อพี่อาทิตย์ดูดเอาลมเข้าไปในปาก
แล้วไม่กี่วินาทีต่อมา ในขณะที่ผมยังคงมองพี่อาทิตย์ทึ่งๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสูบบุหรี่เป็น ก็ถึงกับแทบสิ้นสติ เมื่อริมฝีปากหยักลึกของพี่อาทิตย์บดลงมาบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็วและรุนแรง
คอเสื้อของผมถูกกำแน่นขึ้นเพื่อบังคับให้ผมเผยอริมฝีปากออกเพราะต้องการอากาศ และทันทีที่ผมทำตามที่เขาต้องการ กลุ่มควันที่พี่อาทิตย์อมไว้ในปากของเขาก็ถูกส่งอัดเข้ามาในปากของผมทันทีจนผมดิ้นทุรนทุรายเพราะสำลัก
“แค่กๆ ๆ พี่อาทิตย์”
“อย่าโวยวาย” พี่อาทิตย์ย้ำก่อนที่เขาจะทำกับผมแบบนั้นซ้ำๆ
ทุกครั้งที่เขาทาบริมฝีปากลงมาอัดควันของบุหรี่เข้ามาในปากผมมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยากจะตาย สะอิดสะเอียนจนขนลุก ไอจนแสบคอน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด
“พอแล้วพี่อาทิตย์”
“อย่ามาทำใจเสาะ เมื่อกี้นี้นายยังลองดีกับฉันอยู่เลย”
“ผม...อื้ออออ” ผมดิ้นพล่านไม่หยุดเมื่อพี่อาทิตย์ยังไม่ยอมหยุดอัดควันบุหรี่ใส่ปากของผม หัวใจผมเต้นถี่ยิบ สองขาอ่อนแรงไปหมดเพราะทิ้งดิ้นทั้งไอจนหมดแรง
โชคดีที่บุหรี่หมดมวนซะก่อน ไม่งั้นพี่อาทิตย์คงไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ผมยืนหอบหายใจถี่ ก้มหน้ามองก้นบุหรี่ที่ถูกพี่อาทิตย์ทิ้งลงพื้นแล้วขยี้มันด้วยปลายเท้าที่เขาสวมเพียงสลิปเปอร์ แต่ถึงบุหรี่จะหมดมวนแล้ว เขาก็ยังกำคอเสื้อผมเอาไว้อยู่ดี
“ยังอยากจะสูบอีกมั้ยเลโก้”
“พะ พอแล้วครับ ผมไม่สูบแล้ว”
“พูดแล้วมองหน้าฉัน มองตาฉันแล้วพูดใหม่เดี๋ยวนี้!” พี่อาทิตย์ตะคอกใส่ผมซ้ำๆ เขาพูดไปเขย่าคอเสื้อของผมไปโดยไม่คิดสักนิดว่าเขาอาจจะทำให้ผมตายคามือ
“ผมจะไม่สูบบุหรี่อีกแล้วครับ” ผมบอกเบาๆ เพราะยังรู้สึกว่าแค่หายใจยังลำบาก
“ให้มันดังแบบที่นายเถียงฉันฉอดๆ เมื่อกี้นี้หน่อย”
“ก็ผมหายใจไม่ออก”
“ฉันสั่งให้พูด!”
“โอ๊ยย ผมจะไม่สูบบุหรี่อีกแล้วครับ ผมสัญญา” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง บอกตรงๆ ว่าตอนนี้งงไปหมด แล้วก็กลัวคนตรงหน้ามากแบบที่ไม่เคยกลัวเขาแบบนี้มาก่อนเลย
“ฉันเตือนนายดีๆ ไม่ชอบสินะ ชอบให้บังคับแบบนี้ใช่มั้ย”
“ผมเปล่าสักหน่อย” ผมเถียงเสียงอ่อย
“เวลาพูดกับฉันให้มองหน้าฉัน หรืออยากจะให้ฉันฆ่านายจริงๆ”
“เปล่า แต่พี่จะปล่อยผมได้รึยัง ผมหายใจไม่ออก โอ๊ย!” บ้าเอ๊ย ปล่อยดีๆ ก็ได้ ผลักเสียแรง ไม่คิดจะให้ผมแบนติดกำแพงเลยหรือไง
“พี่ก็ว่าแต่ผม พี่เองก็สูบบุหรี่เหมือนกัน ไม่งั้นจะสูบเป็นได้ยังไง”
“เหอะ”
“พี่ไม่ต้องมากลบเกลื่อน”
“ฉันไม่ได้กลบเกลื่อน แต่เพราะฉันเคยสูบ ฉันถึงไม่อยากให้นายสูบมัน แล้วรู้เอาไว้เลยนะว่าไอ้ที่นายคิดว่าทำแล้วดีทำแล้วเท่ อยากรู้อยากลองบ้างน่ะ ฉันทำมาหมดแล้วทั้งนั้น” พี่อาทิตย์พูดเสียงเย็น ท่าทางของเขาดูเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าพอจะยียวนเขาหรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้นี้อะไรเข้าสิงให้ผมท้าทายเขา
“ผมขอโทษ”
“ไม่ต้องมาขอโทษ แต่จำไว้ว่านายต้องคิดถึงตัวเองให้มากๆ เลือกว่าจะใช้เวลาในอนาคตของตัวเองเอาไว้ใช้ดูแลคนที่นายรักดี หรืออยากไปนอนหดหู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษามะเร็งในช่วงบั้นปลายชีวิต” พี่อาทิตย์สอนผมแบบนั้น คำสอนของเขาทำเอาผมรู้สึกว่าความผิดของผมใหญ่กว่าผนังคอนโดทุกที
“ครับ”
“แล้วที่เหลือนั่นก็เก็บไปคืนเพื่อนด้วยล่ะ” พี่อาทิตย์พูดเสียงเข้มพลางมองไปที่ซองบุหรี่ที่ผมวางไว้บนพื้น
“ไม่ต้องหรอกครับ มันบอกว่ามันเองก็อยากจะเลิกเหมือนกัน ผมจะลองไอ้ที่พี่สอนผมไปบอกมันดู”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนค่อยไปสอนคนอื่น” พี่อาทิตย์ประชดเสียงต่ำ เขาช้อนตามองผมนิดหน่อยก่อนจะยกมือขึ้นมาผลักหัวผมแรงๆ แบบที่ชอบทำเวลาที่ผมทำอะไรได้ดั่งใจเขา
“พี่อาทิตย์ครับ”
“อะไรอีก”
“พี่...อยากไล่ผมไปจริงๆ รึเปล่า”
แล้วผมก็ได้คำตอบเป็นความเงียบ ผมคงถามผิดเวลาสินะ
“ช่างเถอะครับ คิดซะว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน” ผมรีบพูด ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วยืนนิ่งไป สักพักก็รู้สึกได้ว่าพี่อาทิตย์ขยับเดินเข้ามาใกล้ เขายกมือขึ้นมาดึงผมไปกอด ฝ่ามือหนาๆ ตบลงที่แผ่นหลังของผมสองสามครั้งแล้วค่อยๆ ดันตัวผมออกช้าๆ
“ฉันจะคิดแบบนั้นกับน้องชายตัวเองได้ยังไง”
คำตอบที่ผมควรดีใจกลับทำให้ผมใจสั่น ผมฝืนยิ้มอีกครั้งแล้วหลุบตาลงเมื่อรู้สึกอายตัวเองจนไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้า
น้องชายเหรอ? แทนที่ผมจะรู้สึกดีที่เขาเห็นผมเห็นน้องชาย แต่ทำไมความรู้สึกในอกมันถึงตรงกันข้ามชะมัด นี่ผมกำลังเป็นบ้าอะไร
“นายเป็นน้องชายฉันนะเลโก้” พี่อาทิตย์ย้ำอีกครั้งเหมือนกลัวผมจะไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าเขาดูออกเพราะเขาเลี้ยงผมมา ถึงจะไม่แค่ไม่กี่ปี แต่คนฉลาดอย่างเขาไม่มีทางดูไม่ออกหรอก
“ครับ ผมจะเป็นน้องชายที่ดีของพี่ ขอบคุณที่พี่ไม่เกลียดผม” ผมบอกเบาๆ กลับไปแล้วก้มหน้ายิ้มให้ปลายเท้าของตัวเองจางๆ จ้องมองหยดน้ำตาที่ร่วงเผลาะลงไปต่อหน้าต่อตาแล้วยืนรอกระทั่งจนพี่อาทิตย์เดินกลับออกไปซึ่งก็ใช้เวลานานหลายนาทีอยู่เหมือนกัน
ผมต้องเป็นน้องชายสินะ คงต้องสารภาพตรงๆ ว่าเมื่อกี้นี้ตอนที่เขาทาบริมฝีปากลงมา ความรู้สึกครั้งแรกที่ริมฝีปากของเราได้สัมผัสกัน มันทำให้ผมหวั่นไหวและคิดเข้าข้างตัวเอง มันมีแวบหนึ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเขาไม่คิดอะไรกับผม เขาคงไม่กล้าทำเหมือนจูบผมหรอก แต่นั่นก็คงเป็นผมที่คิดไปเองข้างเดียว เพราะจริงๆ แล้วเขาก็แค่อยากจะสั่งสอนผมเท่านั้นเอง
ผมทิ้งตัวนั่งลงอยู่ที่ระเบียงแล้วปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปกับห้วงความคิดบ้าบอของตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ก่อนจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าแค่เขาไม่เกลียดผม มันก็ดีมากพอแล้ว สิ่งที่ทำได้และควรทำก็คือรีบพาตัวเองมาอยู่ความเป็นจริงที่ผมควรจะเป็น
...ผมคิดว่าผมยอมเกลียดตัวเอง ดีกว่ายอมให้พี่อาทิตย์เกลียดผม...