ก๊อกๆ ๆ
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วยกมือขึ้นเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะค่อยๆ เปิดแล้วเดินเข้าไป
ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าบวมช้ำของคนที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงผมก็ส่งยิ้มเย็นให้เขานิดหน่อย เอากระเช้าผลไม้ไปวางไว้ที่โต๊ะด้านข้างหัวเตียง ก่อนจะทักทายคนเจ็บที่ยังคงนอนมองผมด้วยสายตาประหลาดใจ
“ผมแวะมาเยี่ยมในฐานะผู้ปกครองของเลโก้ครับ” ผมบอกตามมารยาทอีกเช่นกัน ก่อนจะมองไปยังใบหน้าของผู้ชายที่เริ่มขยับตัวเองอยู่บนเตียง แน่นอนว่าสีหน้าของเขาดูไม่ต้อนรับผมสักเท่าไร
“เอาของๆ คุณกลับไปเถอะครับ เพราะผมไม่ต้องการ”
“รับไว้เถอะครับ คิดเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากผม แม้มันอาจจะชดเชยไม่ได้กับสิ่งที่เลโก้ทำกับคุณก็ตาม” ผมพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ
ถ้าดูจากอาการบาดเจ็บของรายนี้ ผมว่าเลโก้คงเริ่มโตขึ้นบ้างแล้วจริงๆ อย่างที่ลามินบอก เพราะอย่างสองสามรายก่อนวันแรกนี่แทบไม่ได้สติเลยด้วยซ้ำไป
“เหอะ นี่คุณคงคิดว่าแค่ถือกระเช้ามาเยี่ยมผมแล้วจะขอให้ผมยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ อย่างนั้นสินะ คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าครับคุณทนาย” อาจารย์คนนี้พูดอย่างถือดี ซึ่งผมก็ยิ้มรับและรอฟัง “ไอ้เด็กนั่นซ้อมผมจนเกือบตาย”
“ถ้าเทียบกับเด็กสามรายก่อน ผมว่าอาจารย์สภาพดูดีกว่าเยอะเลยครับ อย่างน้อยร่างกายของอาจารย์ก็ดูปกติ ยังมีสติ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำบ้างแต่คิดว่าไม่มาก”
“คุณพูดออกมาได้ยังไงว่าไม่มาก ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเลโก้ถึงได้มีนิสัยชั่วร้ายแบบนั้น”
ยอมรับว่าผมโกรธที่เขาว่าเลโก้ แต่คงไม่ฉลาดนักถ้าผมจะโพล่งออกไปแบบไร้สติเหมือนที่เขากำลังทำ
“ผมจะเอาเรื่องไอ้เด็กนั่นให้ถึงที่สุด ยังไงมันก็ต้องโดนไล่ออกแน่ คุณคอยดูเถอะ ผู้ปกครองที่ทำตัวเป็นพ่อแม่รังแกฉันแบบคุณ เตรียมหาที่เรียนใหม่ให้ไอ้เด็กนั่นให้ดีก็แล้วกัน” อาจารย์ยังคงพูดอย่างถือดี
ผมเดาว่าเขาคงคิดว่าผมจะมาอ้อนวอนขอร้องให้เขาเห็นใจและให้อภัยเลโก้น่ะ เพราะเขาคงไม่คิดว่าเลโก้จะเล่าให้ผมฟังทั้งหมดหรอก
“ผมยอมรับครับว่าผมอาจดูแลเลโก้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไม่ค่อยมีเวลาให้เขามากนัก แต่เชื่อเถอะครับว่าผมรู้จักคนของผมดี ถึงเลโก้จะชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาท แต่ทั้งหมดที่ผมรู้ คู่กรณีของเลโก้ ทุก-ราย ต่างก็ยอมรับว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“นี่คุณ!”
“ในเมื่ออาจารย์ตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเรื่องเลโก้ให้ถึงที่สุด ผมเองก็คงต้องปกป้องคนของผมจนถึงที่สุดเหมือนกัน” ผมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะส่งเอกสารในมือให้อาจารย์ที่กำลังมองผมด้วยแววตาเกรี้ยวกราด นัยน์ตาคู่นั้นสั่นระริกต่างจากผมที่ยังยืนมองเขาอย่างใจเย็น
“ผมยอมรับผิดที่ดูแลเลโก้ไม่ดี เลโก้ยอมรับผิดที่ทำร้ายอาจารย์ก่อน แล้วอาจารย์พร้อมไหมครับที่จะยอมรับผิดเรื่องที่ล่อลวงเด็กมาที่บ้าน ข่มขู่และคุกคามทางเพศพวกเขาเพื่อแลกกับเกรด”
เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขาหน้าซีดเผือดเสียแล้ว ง่ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก
“ผมสืบทราบมาว่าเลโก้ไม่ใช่เหยื่อรายแรก อาจารย์คงรู้นะครับว่าการที่ผมจะหาตัวพยานพวกนั้นมา มันง่ายแค่ผมเปล่งเสียง”
“นี่นายกำลังจะจะข่มขู่ฉันงั้นเหรอ”
แล้วสรรพนามระหว่างเราก็เปลี่ยนไปทันที แต่ผมชินแล้ว รายไหนรายนั้นสิน่า
“ผมไม่เคยขู่ใครครับ ทุกอย่างว่ากันด้วยพยานและหลักฐาน ซึ่งที่อาจารย์พูดมาก็ถูกนะครับ เพราะอย่างมากเลโก้ก็ถูกไล่ออก ผมมีหน้าที่แค่หาที่เรียนใหม่ให้เขา ซึ่งเลโก้ก็ไม่ใช่คนปรับตัวเข้ากับคนอื่นยากเท่าไหร่ แต่หากถ้าเทียบกับไม้ใกล้ฝั่งอย่างอาจารย์ที่จะต้องหางานใหม่ เป็นผมๆ ไม่เสี่ยง” ผมว่าอย่างท้าทาย
“แกคิดเหรอว่าคนอื่นเขาจะเชื่อคำพูดของแกกับไอ้เด็กเวรนั่นมากกว่าฉัน”
คำพูดเหยียดหยามเลโก้ทำเอาผมแทบคุมสติไม่อยู่ แต่พอคิดในทางกลับกัน ยิ่งเห็นท่าทางหยิ่งทะนงในตัวของอาจารย์คนนี้เท่าไร ผมก็ยิ่งเห็นความง่ายดายของการได้มาซึ่งชัยชนะ
“ผมเป็นทนายครับ แน่นอนว่าผมรู้ดีว่าเวลาจะดัดหลังใครสักคน แค่น้ำหนักของคำพูดมันคงไม่พอ” ผมพูดพลางเหยียดยิ้ม และรอยยิ้มของผมก็มักทำให้ฝ่ายตรงข้ามหน้าซีดตัวสั่นได้เสมอ
“ถ้าแค่ข้อสอบที่ผมขอมาจากทางมหา’ ลัย ที่พิสูจน์แล้วว่าเลโก้สอบผ่านตั้งแต่การสอบซ่อมครั้งที่แรกมันยังไม่พอ ผมจะให้คนของผมทำเรื่องขอข้อสอบย้อนหลังของเหยื่อรายอื่นๆ มาเพิ่มเติม หรือถ้าทางมหา’ ลัยไม่ให้ ผมจะติดต่อข้อมูลจากเด็กพวกนั้นโดยตรง รวมถึงทำรายงานพฤติกรรมของอาจารย์ที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นอาจารย์ที่มักซื้อบริการเด็กที่ตัวเองสอนมาบำบัดความใคร่ ถึงแม้เด็กพวกนั้นจะยินยอมต่างจากเด็กกลุ่มแรก แต่ผมว่าคณะกรรมการรวมถึงอธิการบดีที่สนิทชิดเชื้อกับพ่อผมดี คงไม่ปลื้มนัก”
“ออกไป!”
เหอะ พอสู้ไม่ได้ก็รีบไล่เชียว เมื่อกี้ใครยังปากดีว่าเด็กของผมอยู่เลย
“อ้อ ผมลืมหลักฐานชิ้นสำคัญไปหนึ่งชิ้น ถุงยางอนามัยที่อาจารย์กลืนเข้าไป รู้สึกว่าที่มานอนให้น้ำเกลืออยู่นี่ นอกจากจะเป็นเพราะรอยฟกช้ำบนหน้าแล้ว คงจะทานยาถ่ายไปด้วยมากสินะครับอาจารย์”
“ฉันบอกให้แกออกไป!”
“ผมไปแน่! แต่จะบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าอย่ามาแตะต้องเด็กของผม ไม่งั้นคุณก็เตรียมขุดรูอยู่ได้เลย” ผมย้ำก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมกับโทรศัพท์ติดต่อลามินให้ขับรถมารับ
“ฉันเสร็จธุระแล้ว มารับฉันที่หน้าโรงพยาบาลได้เลย”
วางสายจากลามินผมก็ยังเลือกจะเดินลงบันไดเหมือนเดิม ถ้ารู้ว่าการเกิดหน้าตาดีแล้วมันลำบากบางทีผมก็อยากหน้าตาบ้านๆ ดูบ้างเหมือนกัน ทำไมเวลาที่ผู้หญิงมองผม ทุกคนต้องใช้สายตาเหมือนเห็นของหวาน ทั้งที่ผมเนี่ยยาขมขนานเอกเลยทีเดียว
“อ้าว พี่อาทิตย์ มาทำอะไรที่โรงพยาบาลครับเนี่ย”
แล้วสองเท้าของผมก็ต้องหยุดชะงักเมื่อใครบางคนหันกลับมาทักทายผมทั้งที่เขาเดินผ่านผมไปแล้วด้วยซ้ำ ร่างกายของผมหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะเมื่อได้สบตากับใครคนนั้นอีกครั้ง
ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติสีเดียวกับนัยน์ตาที่กำลังเป็นประกายสดใสมองมาที่ผม ผิวขาวหยวกอมชมพูดนิดๆ สีเดียวกับริมฝีปากที่มักยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา คำทักทายและรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด นี่เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
“จำผมได้มั้ยครับพี่อาทิตย์”
“จะ จำได้ ฉันแวะมาเยี่ยมคนรู้จักน่ะ” ผมตอบตะกุกตะกักก่อนจะค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เจ้าของใบหน้าหวานและดวงตาคู่นั้นยังคงยิ้มให้ผมเหมือนจะดีใจที่เราได้เจอกัน รอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินย้อนเวลากลับไปในอดีต
“แหม! ไม่เจอกันตั้งนาน หล่อขึ้นเยอะนะครับ แต่ไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นเลย ผมไม่ได้เดินมากอดพี่ในที่สาธารณะแบบที่เคยทำสักหน่อย”
กอดผม?
“ล้อเล่นน่า พี่เลิกทำหน้าตกใจสักที หรือว่ารังเกียจผมไปแล้ว”
“เปล่า แค่ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกน่ะ” ผมพยายามที่ส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
เขาชื่อ ‘เอส’ เป็นรุ่นน้องของผมตั้งแต่สมัยเรียน และอย่างที่เอสพูดว่าเราเคยกอดกัน เหตุผลก็เพราะเราเคยคบกันก่อนที่เอสจะได้ทุนไปเรียนหมอที่ต่างประเทศ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจเลิกกัน
เอสบอกเลิกผมเพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า และเขาไม่ต้องการให้ผมรอ ในขณะที่ผมเองก็ไม่อยากคัดค้านการตัดสินใจของเขา เพราะคิดว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป เราสองคนตกลงเลิกกันด้วยดี และสามารถเปิดใจให้คนใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับอีกฝ่าย ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นานจนเกือบสิบปีแล้ว
“พี่จะกลับแล้วเหรอครับ พอมีเวลาว่างมั้ย ไปหาอะไรกินกันก่อนได้รึเปล่า ไม่เจอพี่ตั้งนานแน่ะ คิดถึง” เอสยังคงช่างพูดเหมือนเดิม
คำถามของเอสทำให้ผมแอบลังเลนิดหน่อย แต่จะปฏิเสธก็ดูเหมือนจะเสียมารยาทเมื่ออีกฝ่ายมองผมด้วยสายตามีความคาดหวัง
“ได้สิ ว่าแต่นายมาโรงพยาบาลทำไม ทำธุระเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อนึกขึ้นมาได้
“ผมมาส่งเอกสารสมัครงานน่ะครับ พอดีผมย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยได้สามเดือนกว่าแล้ว ผมอยู่ที่บ้านหลังเดิมนะ เผื่อพี่อยากจะรู้”
“ฉันว่านายอยากบอกเองมากกว่า”
“คิดงั้นก็ได้ถ้าพี่สบายใจ” เอสพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ผมขอติดรถพี่ไปนะ เดี๋ยวผมโทรบอกคนขับรถให้กลับเลย ขากลับพี่แวะไปส่งผมด้วยล่ะ โอเค ตกลง”
นิสัยพูดเองแล้วก็เออเองนี่ก็ยังเหมือนเดิม
“เอางั้นก็ได้ถ้านายสบายใจ” ผมย้อนยิ้มๆ พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเอสดังขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อคนขับรถ ผมก็เลยเดินห่างออกมานิดหน่อยเพื่อรักษามารยาท
“ไปกันเถอะครับพี่”
ยังไม่ทันจะได้ถอนหายใจ เอสก็เดินมาตบบ่าผมแรงๆ ก่อนจะเดินออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกันกับผม นานแล้วที่ไม่มีใครกล้าปีนเกลียวกับผม เอสอาจเป็นคนแรกและเป็นคนเดียวที่กล้าทำ
ผมพาเอสเดินตรงมาที่รถที่ลามินจอดรออยู่ ซึ่งสายตาของลามินเองก็ดูแปลกใจเล็กน้อยที่ผมไม่ได้เดินกลับมาคนเดียว แถมคนที่ผมพาเดินมาด้วยยังเดินกอดไหล่ผมมาตลอดทาง
อยากจะหันกลับไปถามอยู่เหมือนกันว่าเพื่อนเล่นเหรอ แต่อย่าดีกว่า พูดไปมันก็ไม่หยุดหรอก รู้สึกแปลกดีเหมือนกันที่เราไม่ได้เจอกันนานมากแต่เอสกลับทำตัวสนิทกับผมเหมือนเราเพิ่งเจอกันเมื่อวาน
“โห คนขับรถพี่หล่อเนอะ”
“อ่ะแฮ่ม” ผมต้องรีบส่งสัญญาณเตือน ปีนเกลียวกับผมคนเดียวยังไม่พอ ยังลามไปถึงลามินอีก
“รีบขึ้นรถเถอะเอส ลามิน เดี๋ยวหาร้านอาหารใกล้ๆ แถวนี้ให้ฉันทีนะ”
“เอาร้านแพงๆ ครับ” เอสหันไปออกคำสั่งเพิ่มเติมกับลามินเสร็จสรรพ แล้วรีบมุดเข้าไปนั่งในรถอย่างรู้งาน เรื่องพูดเองเออเองแล้วเผ่นแน่บนี่งานถนัดเชียว
ผมก็ได้แต่มองแล้วส่ายหัว ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับลามินอย่างรู้กัน จากนั้นถึงได้เข้ามานั่งในรถพร้อมกับทิ้งลมหายใจหนักๆ ออกมา นั่งเงียบมาตลอดทางต่างจากอีกคนที่พูดมาตลอดทางเช่นกัน
“แล้วนี่ตอนนี้พี่อาทิตย์ทำงานที่ไหนครับ”
“สำนักงานกฎหมาย”
“แล้วอยู่ที่ไหนครับ ใช่ที่บ้านหลังเดิมที่พี่เคยพาผมไปหรือเปล่า”
“ฉันย้ายมาอยู่คอนโดน่ะ”
“อยู่กับใครอ่ะ แฟนป่ะ แต่งงานยัง สามสิบกว่าแล้วนี่” เอสย้ำเจือเสียงหัวเราะเมื่อพูดถึงอายุของผม แต่ที่เขาจำได้ อาจเป็นเพราะเราอายุห่างกันแค่ปีเดียว นั่นแปลว่าคนพูดก็ตามผมมาติดๆ นั่นแหละ
“แน่ะ ถามถึงแฟนทำเงียบ คุณลามินครับ เจ้านายคุณลามินมีแฟนรึยังครับ” แล้วก็ลามปามไปถึงลามินอีกเหมือนเคย แต่ผมรู้ดีว่าอย่างเก่งลามินก็แค่ยิ้มนั่นแหละ
“เงียบกันหมดแบบนี้เป็นความลับเหรอ บอกหน่อยน่าพี่อาทิตย์”
“ยัง ฉันอยู่กับ...น้องชายน่ะ” ผมตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก แล้วไม่รู้ว่าทำไมตอนพูดจบผมต้องแอบมองลามิน
“พี่เป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ หรือว่าแม่ของพี่มีลูกหลง”
“ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังก็แล้วกัน” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ โชคดีที่ลามินเลี้ยวรถมาจอดที่ลานจอดรถหน้าร้านอาหารพอดี เราก็เลยถึงเวลาแยกย้ายกันลงจากรถ
“พี่อาทิตย์อย่ามาเนียน สัญญากับผมแล้วนะว่าจะเล่า”
“รู้แล้วน่า อย่ามาเซ้าซี้”
“คนแก่นี่หงุดหงิดง่ายเนอะ ถึงเราจะอายุห่างกันปีเดียวแต่พี่รู้มั้ยว่าหน้าพี่นำผมไปไกลมาก ถามจริงว่าเกือบสิบปีที่ผมไม่อยู่ พี่เคยยิ้มบ้างมั้ย ไม่รู้เหรอว่าการยิ้มมันจะทำให้หน้าดูเด็กลง”
เริ่มรู้สึกคิดผิดที่มาด้วยนะ เฮ้อ ใครก็ได้เอาไอ้เด็กนี่ไปเก็บที
ผมลอบถอนหายใจในขณะที่ลามินอมยิ้มไม่หุบ ดูท่าทางว่าเอสคงไม่หยุดพูดง่ายๆ และสุดท้ายหมอนี่ก็ยังเดินโอบไหล่ผมเดินเข้าร้านอาหารเหมือนเดิม
โชคดีของผมอย่างหนึ่งคือหน้าผมดูนิ่งและเป็นผู้ใหญ่ (ตามอายุ) เวลาผมเดินกับคนอื่นอย่างเอสหรือเลโก้ ก็เลยไม่สะดุดตาใครมากนัก ลามินเองยังเคยพูดกับผมบ่อยๆ ว่าหน้าตาผมคงไม่เหมาะกับการมีแฟน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่ว่าผมจะเดินกับใคร ก็ดูเหมือนผมจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายไปเสียหมด
แล้วอยู่ๆ เอสก็หยุดเดินตรงประตูทางเข้า เพราะดูเหมือนจะมีลูกค้าด้านในเดินสวนออกมา เราสองคนหลีกทางให้คนด้านในเดินออกมาก่อน ทว่าทันทีที่ผมเงยหน้าไปมอง ผมก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายที่ผมจำได้ว่าเป็นเพื่อนของเลโก้กำลังจะเดินออกมาจากร้าน
“สวัสดีครับพี่อาทิตย์”
หนึ่งในเพื่อนของเลโก้ยกมือไหว้ผม ทำเอาคนอื่นๆ หันมาไหว้ตาม และคนสุดท้ายที่เดินออกมาและเพิ่งจะเห็นผมก็คือเลโก้นั่นแหละ
“อืม” ผมตอบสั้นๆ แล้วมองหน้าเลโก้ที่ยังคงมองผมด้วยความตกใจ เอสเอามือลงจากไหล่ของผมแล้ว เพราะถึงหมอนี่จะติดนิสัยขี้เล่น แต่ก็รู้จักกาลเทศะดี
“ให้ผมเข้าไปรอข้างในมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก ก็เดินเข้าไปพร้อมกันเนี่ยแหละ” ผมตอบเมื่อเอสกระซิบถาม
“เชิญพี่อาทิตย์ตามสบายครับ พวกผมขอตัวก่อน” เพื่อนของเลโก้เป็นคนพูด เพราะจนถึงตอนนี้เลโก้ก็ยังไม่ทักทายผมสักคำ
ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลีกทางให้เพื่อนของเลโก้เดินออกไป ซึ่งเลโก้เองก็เดินตามเพื่อนสามคนออกไปเงียบๆ สายตาของเลโก้ดูไม่มั่นใจและลังเลแบบนั้นเสมอทุกครั้งที่มองผม
“พี่อาทิตย์ครับ เรื่องอาจารย์แดนสรวง...”
แล้วอยู่ๆ ร่างสูงที่เอาแต่เดินเงียบก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดกับผมเหมือนเพิ่งตั้งสติได้
“ฉันจัดการให้แล้ว”
“เขาว่ายังไงบ้างครับ”
“ก็ไม่ว่ายังไง นายกลับไปเรียนเถอะ” ผมบอกไปตามความจริง ซึ่งก็ทำให้คนถามเงียบไปสักพัก
“ครับ”
กว่าจะตอบรับได้ก็กินเวลาไปหลายวินาทีเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พูดจบผมก็เห็นสายตาของเลโก้มองไปที่เอสนิดหน่อย มุมปากเหมือนยิ้มให้เอส แต่แววตากลับตรงกันข้าม ก่อนจะเดินจากไป
“คนเมื่อกี้น้องชายพี่เหรอครับ” เอสรีบถามเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เลโก้กลับขึ้นรถของเพื่อนไปแล้ว และเพื่อนของเลโก้เองก็กำลังขับรถออกไป ถ้าผมจำไม่ผิดเพื่อนคนนั้นของเลโก้ชื่อยอร์ช พักอยู่ที่คอนโดเดียวกันกับเราแต่ว่าคนละตึก
“อืม ชื่อเลโก้น่ะ”
“แหม ถ้าไม่บอกก่อนนี่คิดว่าแฟนเลยนะ”
“เหอะ”
“พี่ไม่ต้องมาเก๊กใส่ผมหรอกน่า เด็กนั่นหน้าหวานดีออก ผิวก็ขาวปากก็แดง ตัวก็ไม่ได้เล็กมาก ส่วนสูงก็ด้อยกว่าพี่นิดเดียว นั่นมันสเป็กพี่ชัดๆ” เอสยังคงไม่หยุดจับผิด
“ลูกชายเพื่อนแม่น่ะ แม่ฝากให้ช่วยดูแลให้ อีกอย่างฉันว่าพอเลิกกับนายแล้วอยู่คนเดียวมันก็สบายกว่าเยอะเลย”
“ด่าผมป่ะเนี่ย”
“คิดแบบนั้นก็ได้ถ้านายสบายใจ” ผมแกล้งว่าแล้วเป็นฝ่ายเดินนำเอสเข้ามาในร้านเงียบๆ
ถึงเอสจะรู้จักนิสัยของผมดี แต่บางทีด้วยระยะห่างที่เราห่างเหินกันไปนาน มันก็มีบางอย่างที่ทั้งตัวผมและตัวเอสเปลี่ยนไป
อย่างแรกที่ผมรู้สึกได้เลยก็คือ...ผมรู้สึกไม่สนิทใจที่จะให้เอสเดินกอดคอเหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน