ข้าวสวยเดินเคว้งคว้างมาเรื่อย ๆ น้ำตาที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ได้ไหลพรากอาบแก้มเนียนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่ได้ประสบพบเจอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย เฮงซวยจริง ๆ เฮงซวยโคตร ๆ ชีวิตฉัน!!” สบถตัดพ้อชีวิตกับตัวเองไม่ขาดสาย เธอท้อแท้ใจและสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้เคยพยายามเข้มแข็ง พยายามอดทนเท่าไหร่ก็ไม่เคยเอาชนะความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาอันแสนเฮงซวยนี้ได้เลย
ขณะที่กำลังเดินจิตใจล่องลอย จู่ ๆ เม็ดฝนก็โหมกระหน่ำเทลงมา ทำให้ตัวเธอเปียกโชกชุ่มฉ่ำ แต่กระนั้นก็ไม่คิดที่จะแยแสหรือรีบวิ่งไปหาที่หลบฝน ปล่อยให้หยาดฝนชโลมจิตใจที่ขุ่นมัวออกไป
“เจริญจริง ๆ ชีวิตฉัน!”
สบถออกมาอีกครั้งแล้วก้าวเดินหน้าต่อ จนกระทั่งเดินมาถึงซอยเปลี่ยวเธอก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อจู่ ๆ รถยนต์สุดหรูคันหนึ่งก็ขับเข้ามาปาดหน้า แล้วชนเข้ากับถังขยะใบโตด้านหน้า
เอี๊ยดดดดดด...
โครม!!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาข้าวสวยขาอ่อนฟุ่บนั่งลงกับพื้นถนน มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกตกใจ หัวใจเต้นถี่รัว เงยหน้าขึ้นมองรถยนต์เบื้องหน้าก็เห็นใครบางคนเปิดประตูลงมา แต่เธอเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากเม็ดฝนที่เทกระหน่ำจนยากที่จะเพ่งสายตามองได้
เขายืนนิ่งมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงกัมปนาทคล้ายสั่งใครบางคน
“รีบไปจัดการพวกมัน!”
สิ้นเสียงกัมปนาทนั้น เจ้าของเสียงก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ แล้วยอบกายลงตรงหน้า นั่นเลยทำให้เธอได้เห็นใบหน้าของเขาแบบเลือนราง แต่กระนั้นก็ดูออกว่าเขาเป็นผู้ชายที่รูปหล่อและดูดี และยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดปากพูดอะไร เสียงปืนก็ดังสนั่นทำให้ข้าวสวยตกใจจนสติแตก กรีดร้องเสียงดัง
ปัง!!!
“กรี๊ดดดดดด!!”
“ชู่ววว เงียบก่อนถ้ายังไม่อยากตาย”
ชายหนุ่มตรงหน้าโน้มตัวเข้ามากระซิบบอกข้างหู คนสติแตกจึงรีบเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ก่อนที่จะชะงักนิ่งไปเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มดุดัน นัยน์ตาคมกริบน่าดึงดูดจนยากจะถอนสายตา ไหนจะใบหน้ารูปไข่คมสัน เส้นผมสีเทาหม่นคล้ายควันบุหรี่ที่แม้จะมีหยาดน้ำเกาะก็ไม่ได้ทำให้เขาดูหล่อเหลาน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเธอตกอยู่ในภวังค์จนยากที่จะถอนตัว ส่วนเขาเองก็ชะงักนิ่งไปเช่นกันเมื่อได้ประสานสายตากับเธอ ไล่สายตาพินิจพิจารณาอย่างเพลิดเพลิน
ใบหน้าสวยหวานได้รูปไร้ที่ติ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนหวานซึ้ง ขนตางามงอนแม้จะเปียกปอน จมูกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากอิ่มเอิบสีชมพูระเรื่อน่าจุมพิต ทุกส่วนบนใบหน้าทำให้เขาไม่สามารถละสายตาได้ เผลอมองค้างอยู่เนิ่นนานกว่าจะได้สติ
“ไปหลบในนั้น”
คนตัวโตชี้นิ้วบอกแล้วพยุงร่างบางให้เข้าไปหลบด้านในตึกร้าง พอเข้ามาแล้วก็นั่งลงที่มุมหนึ่ง เมียงมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ โดยที่ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรสักคำ ได้ยินเพียงเสียงฝนที่เทลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเร็ว ๆ นี้
เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ข้าวสวยจึงก้มหน้าลงมองมือที่ประสานกันแน่นบนตักของตัวเอง โดยไม่ได้สังเกตเห็นถึงนัยน์ตาลุ่มลึกและสีหน้าที่ฉายชัดถึงความสนใจจากอีกคน
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวเทพสรรค์สร้างนี้มีชื่อว่าควินตัน หรือ คมฐิพัฒน์ พินิจฤทธิ์กว้างไกล เขาเป็นมาเฟียหนุ่มเจ้าของ KT GROUP ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยและเอเชีย
ก่อนหน้านี้ขณะที่เขากำลังขับรถกลับจากงานเลี้ยงเปิดตัวหนึ่งในสินค้าใหม่ จู่ ๆ ก็มีรถต้องสงสัยขับตามประกบจนเสียหลักพุ่งชนกับถังขยะ ตอนแรกเขาหมายจะไปช่วยลูกน้องจัดการคนลอบทำร้ายนั้น หากแต่ดันเหลือบตาไปเห็นหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่ต้องมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เสียก่อน จึงเลือกที่จะปลีกตัวมาช่วยเธอและปล่อยให้ลูกน้องมือซ้ายและมือขวาไปจัดการ
ขณะรอฟังการรายงานจากลูกน้องมาเฟียหนุ่มก็เอาแต่จ้องมองหญิงสาวแบบไม่วางตา ไล่สายตาสำรวจเนื้อตัวของเธออย่างถือวิสาสะจนละเอียดยิบ แลเห็นผิวพรรณเนียนใสดุจไข่มุก รูปร่างโค้งเว้าได้สัดส่วนงดงาม ยิ่งเห็นเสื้อยืดสีขาวแนบกับผิวกายความคิดในหัวก็ผุดขึ้นมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งความคิดอกุศล
นมโคตรโต...
เอวโคตรบาง...
ก้นโคตรเด้ง...
แม่ง! ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแท้ ๆ แต่กูก็ยังมีเวลาเงี่ยx เชื่อกูเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย!
แล้วยัยผู้หญิงบ้านี่เต็มป่ะวะ เดินตากฝนเป็นนางเอกชีวิตรันทดเชียว คิดว่าตัวเองกำลังถ่ายมิวสิกวิดีโออยู่หรือไงวะ
มาเฟียหนุ่มตบตีกับความคิดในหัวอยู่สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจเบือนหน้าหนีเรือนร่างอรชรอันล่อตาล่อใจ ที่อาจจะทำให้ความต้องการในกายพลุ่งพล่านไปไกลจนยากจะกู่กลับ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นแบบฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำมาจากที่ไกล ๆ มือหนาเลื่อนจับปืนสั้นที่เหน็บเอวไว้มั่นอย่างอัตโนมัติ
“เคลียร์ครับนาย”
พอเห็นว่าเป็นลูกน้องมือซ้ายอย่างรอย มาเฟียหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกล่าวชื่นชมพลางเอามือออกจากปืน
“ทำดี”
“เธอ...” ลูกน้องมือซ้ายหรี่ตาลงเมื่อมองเลยผ่านคนเป็นเจ้านายไปแล้วเห็นหญิงสาวนั่งสติเลือนลอยอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามจบก็ต้องหันมาสนใจผู้เป็นเจ้านายเสียก่อน
“เธอกำลังขวัญเสีย ถอดเสื้อสูทมึงมาดิ้”
“ครับนาย” ผงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย จัดการถอดเสื้อสูทตัวนอกออกแล้วยื่นไปให้เจ้านายอย่างไม่อิดออด
พอมาเฟียหนุ่มรับไปก็จัดการนำไปคลุมให้หญิงสาวที่กำลังนั่งเนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บและตื่นกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“บ้านอยู่ไหนจะไปส่ง?”
“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่อยากกลับ” ส่ายหน้าตอบด้วยแววตาว่างเปล่า พร้อมทั้งถอดเสื้อสูทออกแล้วส่งคืนกลับไปให้คนหวังดี แต่เขาก็ไม่ยอมรับมา เมินเฉยและกล่าวขึ้น
“งั้นขึ้นไปนั่งบนรถก่อน ตรงนี้อากาศหนาว”
ได้ยินเช่นนั้นร่างบางก็ปรายตามองด้วยแววตาหวาดหวั่นอย่างไม่ไว้วางใจ ซึ่งเขาก็ดูออกว่าเธอกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรอยู่จึงเอ่ยดักขึ้น
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า ไว้ใจได้ ที่ชวนไปเพราะอยากรับผิดชอบที่ทำให้เธอตกใจ หายตื่นกลัวเมื่อไหร่จะไม่ยุ่งอีก”
“ไม่จำเป็นค่ะ”
เห็นท่าทีดื้อรั้นของเธอก็นึกหงุดหงิดใจไม่น้อย ถามออกไปด้วยน้ำเสียงติดเหวี่ยง “แล้วมาเดินตากฝนทำไม เธอเต็มป่ะเนี่ย!?”
“สิ้นหวังกับชีวิตมั้งคะ” ตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันพลางหลุบตามองพื้น ทำเอาคิ้วหนาขมวดเป็นปม คาดเดาไปถึงความหมายของคำตอบของเธอ
“ไม่มีเงินกินข้าว?”
“ก็คงงั้น แต่น่าจะหนักกว่านั้น” ว่าจบก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ดวงตากลมโตที่หม่นแสงซึ่งขัดกับใบหน้านวลใสทำเอามาเฟียหนุ่มชะงัก
“เอางี้ สนใจมาเป็นเด็กฉันไหม เดี๋ยวให้เงินกินข้าว”
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบงันมาเกือบหลายนาที มาเฟียหนุ่มควินตันก็ยื่นข้อเสนอขึ้น ด้วยเพราะถูกใจในรูปร่างหน้าตาและนึกเห็นใจให้คนตัวเล็ก ทำให้เขามีความคิดนี้ผุดเข้ามาในหัว จึงพลั้งปากถามออกไปตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อม นัยน์ตาฉายชัดถึงความต้องการที่เต็มเปี่ยมและไม่คิดที่จะปิดบัง ซึ่งหากถูกใจหรือต้องการสิ่งใดเขามักจะพุ่งชนเสมอ และก็เป็นเช่นนี้โดยเสมอมา
“หนูไม่ได้ต้องการแค่เงินกินข้าว” คราแรกเธอรู้สึกไม่พอใจในข้อเสนอของเขา ทว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะเกิดอยากฟังข้อเสนอของเขาเพิ่มเติมโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“อยากได้อะไรอีก กระเป๋าแบรนด์เนม คอนโด รถยนต์ หรือว่าเครื่องประดับ?”
ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็ส่ายหน้าไปมารัว ๆ เพราะสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้จำเป็นต่อเธอในตอนนี้ จากนั้นก็พูดบอกความต้องการของตัวเองแบบชัดถ้อยชัดคำ
“ค่าเทอมค่ะ”
นอกจากค่าเทอมก็ยังมีหนี้สินของผู้เป็นพ่อแม่ แต่เธอไม่กล้าบอก เพราะแค่นี้ก็รู้สึกอับอายและเวทนาให้ตัวเองมากพอแล้ว อย่าให้เขาต้องมารับรู้ชีวิตแสนเฮงซวยของเธอไปมากกว่านี้เลย
“ฉันให้ทั้งเงินเดือนเอาไว้กินข้าวและจ่ายค่าเทอมให้ ว่าไงตกลงไหม?”
ได้ยินดังนั้นแววตากลมโตก็เปล่งประกาย ข้อเสนอของเขาน่าสนใจไม่เบา ทำเอาคนที่กำลังสิ้นหวังกับชีวิตถึงกลับหน้ามืดตามัวจนเกิดความโลภขึ้น
“คุณเป็นมาเฟียเหรอคะ?”
“อืม”
“ถ้าฉันเป็นเด็กคุณฉันจะปลอดภัยใช่ไหม? เหตุการณ์เมื่อกี้มันน่ากลัวมากเลย”
นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วเธอก็ขนลุกเกรียว ทั้งเสียงปืนดังสนั่นและภาพเหตุการณ์อันน่าระทึก จำได้ติดตาว่าก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาที่ตึกร้างได้หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำประมาณห้าหกคนกำลังรัวหมัดใส่กันไม่ยั้งจนชุลมุนวุ่นวาย พร้อมทั้งปืนที่พร้อมลั่นไกใส่กันอยู่ทุกเมื่อ
“ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องเสี่ยงอันตราย”
“สัญญานะ” ว่าพลางยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้า ดวงตากลมโตสั่นระริกเล็กน้อย เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ยังทำเธอขวัญเสียดีฝ่ออยู่ และคิดว่าหากประสบพบเจออีกครั้งคงรับไม่ไหวอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะรับปากเช่นนั้นแต่เธอก็ยังต้องการการยืนยัน
ไร้สาระเกินไปป่ะวะ
มาเฟียหนุ่มคิดในใจ และแม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็ยอมยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกับเธอแต่โดยดี นั่นเลยทำให้เธอผลิยิ้มออกมาด้วยความอุ่นใจเคล้าโล่งอก
หลังจากเกี่ยวก้อยสัญญาเสร็จข้าวสวยก็ยอมเดินตามมาเฟียหนุ่มมาที่รถอย่างว่าง่าย หลังจากที่ยืนดีลกันที่ตึกร้างอยู่นานหลายนาทีจนลูกน้องพากันหมดคำจะพูด
มาเฟียดีลเด็กมาเลี้ยงในตึกร้างใครจะไปเชื่อ!
พอขึ้นมาบนรถแล้ว ข้าวสวยก็เอ่ยออกไปหลังจากที่คิดและตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนมาหลายนาทีแล้ว “หนูยอมเป็นเด็กเลี้ยงของคุณก็ได้ ขอเงินเดือน ๆ ละหนึ่งแสนได้ไหมคะ?”
เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไว้ใจและยอมรับข้อเสนอของเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่คิดว่าตราบใดที่ไม่ได้เป็นตาแก่พุงโย้มาเสนอสิ่งนี้ให้เธอก็ยินดีที่จะรับข้อเสนอ เพราะเธอเลือกอะไรไม่ได้ คิดแค่เพียงว่าการมีคนอุปถัมภ์เลี้ยงดู ให้ความเอ็นดูเมตตา ให้เงินทองใช้จ่าย คงดีกว่าการลำบากตรากตรำทำงานงก ๆ เพื่อเก็บเงินต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่าในอนาคตความฝันที่วาดไว้จะเป็นจริงหรือไม่
“มากกว่านั้นฉันก็ให้ได้ ห้าแสนเป็นไง แต่ถ้าไม่พอฉันเพิ่มให้เป็นหนึ่งล้าน ไม่รวมกับข้าวของที่ฉันซื้อให้โดยสิเน่หา”
“ไม่เอาค่ะ ได้เยอะขนาดนั้นสองเดือนหนูคงชิ่งหนีคุณแล้วล่ะ” รีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว เธอไม่ได้ต้องการขูดเลือดขูดเนื้อเขา คิดว่าหากได้จากเขามากขนาดนั้นเธอก็คงต้องตอบแทนเขามากตามไปด้วย คนอย่างเขาคงต้องอยากได้อะไรที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่ปล่อยให้ตัวเองขาดทุนเป็นแน่ และเธออาจจะทนรับความต้องการของเขาไม่ไหวได้
“รีบหนีไปจัง ผลาญเงินฉันให้ได้สักร้อยล้านก่อนสิ”
“คุณพิลึกจัง” เอียงคอทำหน้าเหลือเชื่อ คำพูดของเขาทำให้เธอประหลาดใจได้ไม่น้อย
“ฉันชอบลึก ๆ”
“อะไรลึก ๆ คะ?”
“ซอยลึก ๆ ที่ไม่ได้หมายถึงเส้นทางหรือแผนที่ แต่หมายถึงจังหวะ”
“......” เกิดมาเกือบยี่สิบปีใช่ว่าเธอจะใสซื่อไร้เดียงสา จนไม่รู้ว่าคำพูดสองแง่สองง่ามของเขาหมายความว่าเช่นไร จึงเลือกที่จะเงียบและหลบตาด้วยความเขินอาย
“ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่?”
“สิบเก้าย่างยี่สิบค่ะ”
“ยี่สิบตอนไหน?”
“วันที่สิบสองสิงหาค่ะ”
“วันแม่?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พอได้รับคำตอบก็นิ่งคิดคำนวณในหัว
“ใช่ค่ะ”
“แม่งอีกตั้งสองเดือน กูจะอดใจไม่ให้พรากผู้เยาว์ไหวไหมวะ!” สบถออกมาเบา ๆ อย่างนึกเสียดาย สามัญสำนึกย้ำเตือนให้ตระหนัก พลางคิดว่าคนที่เคร่งครัดในกฎหมายอย่างเขาจะไม่มีทางทำผิดกฎหมายอย่างแน่นอน
“อะไรนะคะ?” เพราะได้ยินไม่ชัดเจนจึงถามซ้ำอีกรอบ เขาจึงตอบปัด ๆ แล้วพูดเบี่ยงประเด็น
“เป็นเด็กในปกครองฉันแล้วก็ทำตัวดี ๆ ทำให้ฉันพอใจ ยิ่งฉันเอ็นดูเธอมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งได้ในสิ่งที่ต้องการ”
ข้าวสวยพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและเชื่อฟัง ก่อนจะหรี่ตาถามเพื่อให้กระจ่างชัดว่าเหตุใดเขาจึงยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ ในหัวก็คิดว่าคงไม่พ้นสงสารหรือเห็นใจ ทว่า...
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงช่วยฉันเหรอคะ?”
“ฉันเห็นนมเธอแล้วเงี่ยx”
“เหวอ...” พอได้ยินคำตอบบวกแววตาหื่นกระหายที่ฉายชัดถึงความต้องการในเรื่องอย่างว่าของเขาก็ทำเอาเธอไปไม่เป็น อ้าปากพะงาบ ๆ พูดไม่ออก ใบหน้าอึ้งเหวอขั้นสุด
“แต่จริง ๆ ไม่ใช่แค่นมนะ ทั้งตัวเธอเลยต่างหาก”
“......” ดอกแรกยังพอทน เจอดอกที่สองเข้าไปเธอแทบหัวใจหยุดเต้น ไปไม่เป็นกันใหญ่ เขาพูดด้วยท่าทีโลมเลียปนหื่นกาม กระนั้นกลับดูร้อนแรงและน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก