(ดอกบัตเตอร์คัพ - ดอกไม้แห่งความสุภาพและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ นอกจากนี้บัตเตอร์คัพยังเป็นดอกไม้ที่ใช้แทนคนซื่อบื้อ ไม่ประสีประสาอีกด้วย)
“ที่รัก...สิ่งที่เธอเป็นมันทำให้ฉันแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
[PUNDAO’S PART]
วันเปิดภาคเรียน...
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมแรกหรือเปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากฉันเรียนต่อในระรับปริญญาโทจะเป็นการศึกษาและทำวิจัย ซึ่งจะเรียนวิชาที่ลึกกว่าในระดับปริญญาตรี เรียกว่า course work (การเรียนการสอนรายวิชา) วิชาดังกล่าวยังแยกเป็นวิชาบรรยาย (kougi) และสัมมนา (seminaa) เรียกย่อๆว่า ‘เซมิ’
ในช่วงของปีแรกฉันจะเรียนบรรยาย แต่เมื่อผ่านปีหนึ่งไปแล้วก็จะต้องส่งหัวขอวิทยานิพนธ์ที่แน่นอน และเริ่มต้นทำงานวิทยานิพนธ์
และในภาคเรียนสุดท้ายฉันจะต้องส่งวิทยานิพนธ์เพื่อขอจบปริญญาโท เรียกว่า ‘ซูชิรมบุง’ ซึ่งจะมีการสอบในตอนท้ายด้วย หากวิทยานิพนธ์ไม่ผ่านเกณฑ์ฉันก็จะไม่จบหลักสูตร ดูเหมือนจะง่ายแต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายเลยสักนิด ฉันเรียนต่อในระดับปริญญาโทสาขาวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม ถึงฉันจะมีความรู้มาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายเรื่องที่ฉันยังคงต้องปรับตัว ‘ระดับพันดาวคนนี้ ผ่านฉลุยแน่นอน’
“ลุย” ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไป วันแรกก็ยังคงไม่มีอะไรมากอาจารย์ท่านเพียงแค่ชี้แจ้งกฎของการอยู่รวมกัน พร้อมกับอธิบายเนื้อหาที่ฉันจำเป็นต้องเรียนในตลอดทั้งเทอมนี้
“พันดาว”
“คะ?”
“อาจารย์ติดประชุมขอเลื่อนเป็นบ่าย 3 นะ”
“ได้ค่ะ”
อาจารย์เดินเข้ามาบอกกับฉันก่อนที่ท่านจะเดินออกจากห้องเรียนไป ฉันจึงหันมาเก็บของใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ก่อนจะเดินออกไปหามายูและไอโกะที่รออยู่ที่โรงอาหาร การเรียนครึ่งเช้าของฉันก็ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันยังเหลือเรียนตอนบ่ายอีก 1 ชั่วโมง จากนั้นก็รอเข้าพบอาจารย์ซึ่งฉันคิดว่าคงไม่มีอะไรมากเหมือนกัน
“พันดาว” มายูร้องเรียกฉันเบาๆ ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบางทั้งสองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“ไอโกะ มายู คิดถึงจังเลย”
“เราไม่ได้เจอกัน 3 ชั่วโมงเองนะ” มายูเอ่ยบอกกับฉันอย่างรู้ทันพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างเอือมๆ กับท่าทีออดอ้อนของฉัน
“ฉันซื้อข้าวไว้ให้แล้ว” ไอโกะส่งข้าวแกงกระหรี่ไก่มาให้ฉัน ฉันจึงเดินอ้อมไปนั่งลงข้างๆ เธอพร้อมกับซบลงที่ไหล่มนของไอโกะอย่างอ้อนๆ ก่อนจะมองไปยังมายูอย่างล้อเลียน
“ชิ”
“ทานข้าวก่อน”
“ขอบคุณมากเลยนะ”
“ค่อยๆกิน” ไอโกะเอ่ยบอกกับฉันพร้อมกับยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้
“ฉันหิวนี่นา”
“เธอก็หิวตลอดเวลานั่นแหละพันดาว” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองมายูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างงอนๆ เพราะเธอรู้ทันฉันไปซะทุกอย่างเลยอะ ‘ต้องอย่างนี้สิ...เพื่อนรักของฉัน’
“ไอโกะดูมายูสิ”
“ไม่ต้องหาพวกเลย นี่พันดาวฉันสงสัยมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเธอเดินแปลกๆ เป็นอะไรรึป่าว” มายูเอ่ยถามฉันเสียบเรียบพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างจับผิด
“ป๊าววววว!!!”
“พันดาว”
“ล้มนิดเดียว” ฉันตอบคำถามของมายูออกไปเสียงอ่อน พร้อมกับมองไปที่ไอโกะอย่างขอความช่วยเหลือ
“นั่นไง ฉันว่าแล้ว”
“แล้วนี่เป็นอะไรมากรึป่าวดาว” ไอโกะเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันเลือกที่จะไม่บอกกับทั้งสองคนว่าเมื่อคืนฉันไปเจอกับอะไรมาบ้าง เพราะถ้ามายูรู้เรื่องราวทั้งหมดเธอได้บ่นฉันหูชาแน่น เพราะถึงเธอจะค่อนข้างดุและเข้มงวดแต่เธอก็รักและเป็นห่วงฉันมากเหมือนกัน ฉันไม่อยากทำให้เพื่อนสนิททั้งสองคนของฉันไม่สบายใจน่ะ
“กินเยอะๆ เลยจะได้มีสติ ลดความซุ่มซ่ามลงมาได้บ้าง” มายูเอ่ยบอกกับฉันเสียงดุ
“ค่า...”
เราใช้เวลาทานข้าวรวมถึงพูดคุยกันจนกระทั่งได้เวลาเข้าเรียนคาบบ่ายของฉัน ซึ่งตอนบ่ายมายูกับไอโกะไม่มีเรียนแล้วในวันนี้ แต่พวกเธอก็ยังยืนยันที่จะรอฉัน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ฉันไม่มีทางยอมพวกเธอแน่ๆ เนื่องจากฉันใช้เวลาเรียน 1 ชั่วโมงก็จริงแต่ยังต้องรอเข้าพบอาจารย์อีกซึ่งไม่รู้เลยว่าจะเสร็จตอนไหน เย็นนี้มายูมีทำงานพิเศษ (ติวเตอร์) ต่ออีก เธอควรจะได้กลับไปพักผ่อนมากกว่าที่จะมานั่งรอฉันแบบนี้
“รอได้”
“ไม่ต้องห่วงฉันกลับได้หออยู่แค่นี้เอง เดินไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ถึง...เชื่อดาวสิดาวโตเป็นสาวแล้วนะ” ฉันบอกเพื่อนสนิททั้งสองคนออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้กับพวกเธอ ‘ฉันมั่นใจรอบนี้ฉันไม่พลาดแน่นอน’
“นี่เรียกว่าโตเป็นสาวแล้วเหรอ”
“จริงๆ นะดูสิ” ฉันบอกกับร่างบางทั้งสองคนตรงหน้าพร้อมกับหมุนตัวให้พวกเธอดู ก่อนจะเห็นว่าไอโกะนั่งขำอย่างเอ็นดูกับท่าทางของฉัน
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว งั้นพวกเราจะกลับก่อนนะดาว”
“โอเคค่ะ”
“เราปล่อยให้กลับเองได้จริงๆ เหรอไอโกะ” มายูหันไปถามแฟนสาวของเธอเสียงอ่อน ก่อนจะหันกลับมามองฉันอย่างไม่วางใจ
“ได้สิพันดาวโตแล้วนะ”
“ใช่ๆ”
“มีอะไรโทรหาเราได้ทุกเมื่อเลยนะ” มายูเอ่ยบอกกับฉัน ก่อนที่ไอโกะจะสมทบด้วยอีกคน
“ไม่มีอะไรก็โทรหาได้ ฉันว่างตลอดเวลา”
“รับทราบค่ะ”
...
17.00 น.
ยามเย็นแบบนี้อากาศหนาวจังเลยตอนนี้อุณหภูมิ 19 องศาเซลเซียส ฉันกระชับเสื้อโค้ทตัวบางของตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แต่เหมือนมันจะไม่ได้ช่วยอะไรฉันสักเท่าไหร่ ฉันเดินไปตามทางพร้อมกับมองไปยังดอกซากุระที่กำลังเบ่งบางอยู่ภายในสวนสาธารณะ ฉันแวะเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ เพื่อซื้ออาหารเย็นง่ายๆ สำหรับวันนี้
หลังจากที่ฉันเลือกซื้ออาหารเรียบร้อยฉันจึงเดินออกมาด้านนอก ซึ่งตลอดทางที่ฉันเดินออกมาจากมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมองฉันอยู่ตลอดเวลาเลย ‘ฉันคงคิดไปเองแหละ สงสัยช่วงนี้จะนอนน้อย’
ฉันเดินเข้าไปในสวนสาธารณะเพื่อลดระยะทางในการเดินกลับ และก็ถือโอกาสนี้ชมดอกซากุระบานยามเย็นไปด้วยเลยแล้วกัน ถึงตอนนี้จะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ดอกซากุระจะบานสะพรั่งก็เถอะ แต่สวนสาธารณะยามเย็นแบบนี้ก็ช่วยผ่อนคลายได้ดีทีเดียว
“ลาลา ล้าลา...” ฉันเดินฮัมเพลงอยู่ท่ามกลางดอกซากุระที่บานอย่างสบายใจ จนกระทั่ง...
“ที่เดิมเลย...” ฉันเดินวนกลับมาที่เดิม ‘ที่เดิมเป๊ะเลย’ ฉันก้มมองโทรศัพท์ในมือของตัวเองอีกครั้งและก็ค้นพบว่า ‘สามแยกเมื่อกี้ต้องไปอีกทาง’ ฉันบอกกับตัวเองอยู่ภายในใจ ก่อนจะเดินต่อไปจนกระทั้งฉันเจอเข้ากับชายฮู้ดดำ ฉันไม่แน่ใจว่าเขาใช่คนเดียวกันไหมแต่ความสูงและท่าทางการยืนเหมือนกันไม่มีผิด ‘ลองทักดีไหมนะ ถ้าไม่ใช่ก็แค่อายนิดหน่อยเอง’
ปึก!!!
“...” ฉันวิ่งเข้าไปสะกิดเขาเบาๆที่ด้านหลัง แต่ท่าทีของเขาดูตกใจและก็ชะงักไปเล็กน้อยที่หันมาแล้วเห็นว่าเป็นฉัน
“นมเมล่อน” ร่างสูงพูดขึ้นมาแผ่วเบา แต่ฉันกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ‘นมเมล่อนอย่างนั้นเหรอ แสดงว่าเขาคือคนเดียวกันจริงๆ สินะ’ ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงตรงหน้าให้ชัดอีกครั้ง เมื่อคืนเพราะความมืดทำให้ฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเขา แต่วันนี้ท้องฟ้าสดใสเสียเหลือเกินทำให้ฉันเห็นใบหน้าของร่างสูงตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และพบว่าเขาหล่อมาก...มากแบบมากๆ หล่อกว่าพระเอกในมังงะที่ฉันชอบอ่านเสียอีก ฉันแพ้คนหล่อ หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันสั่นไหวไม่เป็นจังหวะราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกมาจากอก
“อะ เอ่อ จริงๆ แล้วฉันมีชื่อนะ ฉันชื่อพันดาวเป็นคนไทยน่ะ”
“...” ฉันแนะนำตัวเองกับร่างสูงตรงหน้าออกไปซะยืดยาวแต่สิ่งที่ได้กลับคือความเงียบ มันน่าแปลกที่เขาเป็นแบบนี้แล้วฉันกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ‘เขาหล่อ...ฉันเลยให้อภัยเขา ฮืออออออ’
“นายล่ะชื่ออะไร” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงสดใสฟังดูเป็นมิตรสุดๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขาอย่างเป็นกันเอง
“ดัน”
“ดัน ที่หมายถึงความอบอุ่นน่ะเหรอ” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปอีกครั้ง
“...” ซึ่งสิ่งที่ได้จากเขาก็คือ การพยักหน้าเพื่อแทนคำตอบทั้งหมด
ปึก!!!
“ว่าแต่...” ฉันกระโดดไปตีไหล่ของเขาเบาๆ แต่คิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันราวกับว่าเขาเจ็บ หรือว่า...
“เจ็บเหรอ” ฉันเอ่ยถามร่างสูงที่ออกไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานเขาโดนไม้เบสบอลตีหลังไปตั้งหลายที เพราะช่วยฉัน
“...”
“มานี่กับฉัน” ฉันดึงมือหนาให้เดินตามฉันมา ซึ่งเขาเองก็ทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่เราจะเดินไปไหนไกลจิตใต้สำนึกก็สั่งการให้ฉันคิดทบทวนอีกทีถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
“แต่เดี๋ยวนะ!...แม่เคยบอกกับฉันว่าห้ามไปไหนกับคนแปลกหน้า”
“...” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงตรงหน้าที่กำลังยืนมองมายังฉันนิ่งๆ อีกครั้ง ถ้าฉันเดาไม่ผิดหน้านิ่งแบบนี้เขาเองก็คงกำลังงงว่า ‘ฉันคิดจะทำอะไรกันแน่’ อยู่สินะ
“นายชื่อดัน ส่วนฉันชื่อพันดาว เรารู้จักกันแล้วนี่เนอะ”
“...” ร่างสูงตรงหน้าพยักหน้าให้กับฉันเล็กน้อยพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างไม่เข้าใจว่าฉันต้องการอะไรกันแน่
“งั้นก็ไปด้วยกันได้ เราไปกันเถอะ...” ฉันดึงแขนเสื้อของดันให้เดินตามฉันไป รอบนี้ฉันไปถูกแน่นอน ‘ถ้ายังหลงอีกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพันดาวอีกเลย’
- PUNDAO’S APARTMENT-
“เชิญค่ะ” ฉันเปิดให้ร่างสูงของดันเดินเข้าไปด้านใน ก่อนที่ตัวเองจะเดินตามเขาเข้าไป ฉันวางอาหารที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อไว้บนโต๊ะก่อนจะปีนบันไดขึ้นไปด้านบนเพื่อหายามาทาให้กับเขา
“นายนั่งรอที่โซฟาก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหายามาทาให้”
“...”
ฉันปีนบันไดขึ้นมาด้านบนก่อนจะเปิดตู้ที่อยู่บริเวณหัวเตียง ฉันหยิบกระเป๋าสำหรับเก็บยาและอุปกรณ์สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นออกมา ก่อนจะหยิบกระเป๋าแยกสำหรับใส่ยานวดและยาแก้ปวดโดยเฉพาะติดมือลงไปด้วย กระเป๋ายาใบนี้แม่ฉันเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้เอง ท่านคงรู้จักลูกสาวของท่านดีว่าเป็นคนยังไงถึงได้จัดยาไว้ให้ฉันเยอะแยะขนาดนี้
“ฉันลงได้” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงที่กำลังจะลุกขึ้นมาช่วย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ฟังฉันเลย มือหนาดึงกระเป๋าของฉันไปถือไว้ก่อนจะกลับไปนั่งลงยังโซฟาตามเดิม
“ขอบคุณ” ฉันเดินตามไปนั่งลงข้างเขา เราทั้งคู่มองตากันอยู่สักพัก ต่างคนต่างเงียบใส่กันและกันเขาเองก็ดูจะทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
“ถอดเสื้อสิ” ฉันจึงเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปอย่างเป็นกันเอง และสิ่งที่ฉันพูดออกไปก็เป็นวัตถุประสงค์ที่ฉันพาเขามาที่นี่...
“...” เขายังคงมองมาที่ฉันนิ่งๆ และท่าทีของเขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเองก็ดูตกใจเหมือนกันที่ได้ยินฉันพูดออกไปแบบนั้น
“ฉันจะทายาให้ ไม่ได้จะทำอะไรนายหรอกนะ”
“...” ร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถอดฮู้ดของตัวเองออก ‘ขาวจัง’ ฉันไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเห็นอะไรแบบนี้เลยฉันคิดว่าเขาจะมีเสื้อกล้ามอยู่ข้างในอีกชั้น ‘แน่นมากพ่อคุณเกิดมา 23 ปีไม่เคยพบเคยเจอซิกแพกผู้ชายใกล้ๆ แบบนี้สักที’ ฉันเผลอมองกล้ามที่หน้าท้องของเขาจนกระทั่ง...
“พันดาว”
“หะ ห๊ะ? อ่อ...หันหลังสิเดี๋ยวฉันทายาให้” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะรีบควานหายาทาสำหรับรอยช้ำ ซึ่งดันเองก็ทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย
“โอ้โห...ดันเจ็บรึป่าว” ฉันมองไปยังรอยฟกช้ำตรงหน้าอย่างอึ้งๆ รอยช้ำบนแผ่นหลังขาวเนียนของเขาเป็นทางยาวเดาได้ไม่ยากเลยว่ามาจากไม้เบสบอลเมื่อวานไม่ผิดแน่
“...อือ” ทันทีที่เห็นเขาสายหัวฉันจึงกดรอยช้ำของเขาเบาๆ และก็เป็นอย่างที่ฉันคิด ‘เขาเจ็บ’ แต่ทำไมถึงได้เอาแต่บอกว่าไม่เจ็บกันนะ...
“นายเป็นคนขี้โกหกรึไง” ฉันยื่นหน้าเข้าไปถามเขาพร้อมกับมองไปที่ร่างสูงอย่างจับผิด ก่อนที่มือบางของฉันจะค่อยๆ บรรจงทายาให้กับเขาอย่างใจเย็น
“ถ้าเจ็บก็บอกฉันนะ”
“...”
ฟู่! ฟู่! !!
“เพี้ยง!!...เรียบร้อย” ฉันเป่าบริเวณรอยฟกช้ำของเขาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าด้วยนำเสียงใส พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้กับผลงานของตัวเอง
“ขอบคุณ” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนที่เขาจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน
“ฉันสิต้องขอบคุณนายที่ต้องเจ็บตัวเพราะฉัน สะ ใส่เสื้อเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าก่อนที่สายตาของฉันจะซุกซนไปมากกว่านี้ ‘เป็นผู้ชายจำเป็นตรงขาวเนียนขนาดนี้ไหมนะ’ ฉันได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ภายในใจ
“อืม”