“แกคิดว่าดีแล้วกทำเถอะลูกถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะ” นายมงคลบอกลูกสาวใจจริงแกก็ไม่อยากให้พาหลานไปด้วยในเมื่อลูกสาวคิดดีแล้วแกก็ปล่อยให้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองดูสักตั้งถ้าไม่ไหวจริงๆแกก็พร้อมจะช่วย
“ขอบคุณจ้ะพ่อแม่ที่เข้าใจฉัน แล้วฉันจะมาเยี่ยมบ่อยๆนะจ้ะ” รัศมีไหว้พ่อแม่ส่วนลูกชายขนของไปรอที่รถพร้อมกับลุงที่จะไปส่งถึงหัวหินแล้วจะขึ้นรถตู้กลับบ้าน
“โชคดีนะลูก” นางสีพูดกับลูกสาวคนเล็กแล้วยิ้มให้
“พ่อแม่ดูแลตัวเองด้วยนะจ้ะ ฉันไปก่อนนะถึงแล้วจะโทรหา” รัศมีพูดแล้วเดินลงจากบ้านขึ้นรถที่พี่ชายเป็นคนขับไปส่งที่หวัหิน
“ลูกเรามันใจเด็ดตัดสินใจเด็ดขาดอนาคตของมันจะต้องได้ดีกว่าอยู่กับไอ้หาญ” นายมงคลมองตามลูกสาวเดินไปที่รถและพูดกับภรรยา
“ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละพี่ม้ง” นางสีถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงลูกสาวกับหลานชายและดีใจที่รัศมีตัดขาดกับอดีตลูกเขยจริงๆไม่งั้นคงได้ช้ำใจตายที่หาญพาเมียใหม่เข้าบ้าน
รัศมีนั่งคู่กับพี่ชายที่เป็นคนขับรถส่วนลูกชายนั่งเบาะหลังเล่นเกมคนเดียวออกเดินทางเวลาสิยนาฬิกาจากจังหวัดสุพรรณบุรีไปหัวหินและแวะกินอาหารกลางวันที่อัมพวาก่อนจะเดินทางต่อไปถึงหัวหินเวลาสิบห้านาฬิกาใช้เวลาเดินทางกว่าห้าชั่วโมงเพราะรถเยอะจึงขับไปเรื่อยๆก็ถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้นในหมู่บ้านจัดสรรกลางเมืองใกล้กับโรงแรมหรูที่ทำงานของเกื้อบุญญาติสาวของรังสรรค์กับรัศมี
“สวัสดีจ้ะพี่อ่ำ หมี ตาปราบ” เกื้อบุญทักทายญาติทั้งสองที่เป็นลูกของน้องชายพ่อของเธอ
“สวัสดีจ้ะพี่เกื้อ ปราบไหว้ป้าเกื้อก่อนลูก” รัศมีบอกลูกชายที่ยกมือไหว้ป้าทันที
“สวัสดีครับป้าเกื้อ”
“สวัสดีจ้ะปราบหลานป้าน่ารักจังเลยลูกเข้าบ้านกันก่อนเดี๋ยวค่อยมาขนกระเป๋าก็ได้” เกื้อบุญบอกญาติทั้งสองแล้วโอบไหล่หลานชายเข้าบ้าน
เวลาผ่านไป 3ปีกว่า
ที่รัศมีพาลูกชายย้ายมาทำงานที่หัวหินเธอก็กลับไปเยี่ยมบ้านสามครั้งในปีแรกเจออดีตสามีและเมียใหม่โดยบังเอิญแต่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแต่ลูกชายนั้นโกรธพ่อที่มีเมียใหม่และกำลังท้อง ทำให้หาญพูดไม่ออกเพราะเขาตามง้ออดีตภรรยาแล้วแต่เธอไม่สนใจและยังพาลูกหนีไปทำงานที่หัวหินจึงทำให้เขาคว้าน้องช้อยหรือชมเชยมาแก้เหงาแล้วเธอท้องทำให้เขาต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและให้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขาทั้งพ่อแม่พี่น้องของเธอทั้งครอบครัว แต่หาญยังส่งเสียเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายลูกชายทุกเดือนและตอนนี้ลูกชายของเธอเรียนอยู่ประถมหกแล้วอยู่ๆเขาก็ไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูลูกชายมาให้ทั้งที่กล้าหาญกำลังจะเข้ามัธยมชั้นปีที่หนึ่งแต่รัศมีก็ไม่งั้อเพราะคิดว่าตัวเองสามารถส่งลูกชายเรียนได้เธอจึงหาโรงเรียนดีๆให้ลูกชายก็เจอโรงเรียนกินนอนชายที่กรุงเทพคิดว่ามันดีต่อลูกชายและเธอมีกำลังส่งเสียตอนนี้ก็ทำตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านเงินเดือนก็เพิ่มขึ้นและยังมีเงินเก็บและที่อดีตสามีส่งมาให้ทุกเดือนอีกจึงปรึกษาพ่อแม่พี่ชายพี่สาวและทุกคนก็คิดว่าดีกับหลานชายเพราะกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วเธอก็พาลูกชายไปเปลี่ยนชื่อนามสกุลเป็นเด็กชายปราบ วงค์สาย โดยที่อดีตสามีไม่รู้
“ปราบแน่ใจนะลูกว่าอยากไปเรียนที่กรุงเทพจริง” รัศมีถามลูกชายวัยสิบสองปีที่ตัดสินใจเองหลังจากเธอคุยให้ฟังและพูดถึงเรื่องอนาคตของเขาทำให้เด็กชายปราบเลือกจะไปเรียนที่กรุงเทพตามที่แม่เลือกให้เขาแม้จะอยู่ไกลกันแต่แม่บอกว่าจะไปหาเขาทุกวันหยุดและทุกเดือนจะไปรับกลับมาเที่ยวหัวหิน
“ปราบอยากไปครับแม่” ปราบเป็นเด็กขยันเรียนและชอบอ่านหนังสือเล่นเกมบ้างและชอบเล่นกีฬาทุกอย่างพอแม่กับป้าบอกว่าถ้าเขาไปเรียนที่กรุงเทพก็จะมีความรู้มากกว่าเรียนที่หัวหินเพราะที่กรุงเทพเป็นโรงเรียนอินเตอร์ชายล้วนจะได้เรียนภาษาอังกฤษและอีกหลายภาษาที่เขาอยากเรียนและจะมีเพื่อนมีสังคมที่ดีในอนาคตจะมีหน้าที่การงานที่ดีจึงทำให้เด็กชายปราบยอมไปอยู่โรงเรียนประจำ
“งั้นอาทิตย์หน้าแม่จะพาปราบไปดูที่เรียนนะลูก ถ้าไม่ชอบก็เรียนที่นี่ก็ได้แม่ให้ปราบเลือกเองนะลูก” รัศมีบอกลูกชายแล้วยิ้ม
“ครับแม่ งั้นปราบไปอ่านหนังสือก่อนนะครับ” ปราบบอกแม่แล้วเก็บของกลับห้องนอนเล็กชั้นล่างที่เขาขอนอนคนเดียวตอนอายุสิบขวบ
“จ้ะลูก” รัศมียิ้มมองตามหลังลูกชายอย่างภูมิใจเธอยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกได้มีการศึกษาสูงๆเพื่ออนาคตจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
“แกคิดดีแล้วใช่มั้ยหมี” เกื้อบุญถามน้องสาวที่จะส่งลูกชายไปเรียนกรุงเทพ
“ฉันอยากให้ตาปราบได้เรียนโรงเรียนดีๆเรียนสูงนะพี่ ยังไงกรุงเทพกับหัวหินก็ไม่ไกลกันวันหยุดหรือปิดเทอมฉันก็ไปรับตาปราบกลับ้านได้นะพี่เกื้อ” เธอคิดดีแล้วถึงได้ส่งลูกชายไปเรียนกรุงเทพ
“งั้นก็ตามใจแกมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกละกัน”
“ฉันต้องขอบคุณพี่เกื้อมากนะที่ช่วยฉันดูแลลูกถ้าไม่ได้พี่ฉันคงไม่มีงานทำมีเงินเก็บไว้ส่งตาปราบเรียน” รัศมีขอบคุณญาติผู้พี่ช่วยเธอดูแลลูกชายเวลาเธอเข้ากะบ่ายและไปรับลูกชายที่โรงเรียน
“แกเป็นน้องตาปราบเป็นหลานและพี่ไม่มีลูกผัวอนาคตพี่ก็จะได้ฝากผีฝากไข้กับตาปราบนั่นแหละ” เกื้อบุญพูดกับน้องสาวรุ่นเธอมันก็เลยวัยจะมีผัวมีลูกแล้วอยู่คนเดียวมีงานมีเงินดีกว่ามีผัวเป็นแมงดาเกาะกิน เหมือนที่เธอเคยมีแฟนตอนมาทำงานที่หัวหินใหม่ๆและอยู่ด้วยกันสุดท้ายก็เลิกเพราะเขาไม่ทำการทำงานกินเที่ยวและบังคับเอาเงินจากเธอถ้าไม่ให้ก็ตบตีจนเธอทำงานไม่ได้ผู้จัดการก็พาไปแจ้งความและเลิกลากันไปจนถึงป่านนี้ก็สิบกว่าปีแล้วที่เธอไม่สนใจใครนอกจากงานและเงินเท่านั้น
เวลาผ่านไปเจ็ดปีที่รัศมีเลิกกับอดีตสามีและมาทำงานที่โรงแรมเพื่อเก็บเงินส่งเสียลูกชายเรียนโรงเรียนประจำที่กรุงเทพจนตอนนี้อยู่มอสามและการเรียนก็อยู่เกณฑ์ดีและยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลและบาสเก็ตบอลของโรงเรียนมีเพื่อนหลายคนเวลากลับมาบ้านก็จะคุยให้เธอฟังตลอด จนกระทั่งเธอเจออัลเบิร์ต ดิมิททรี ลูกค้าหนุ่มใหญ่ชาวรัสเซียวัยหกสิบห้าปีมาเที่ยวเมืองไทยและพักโรงแรมที่รัศมีทำงานจึงรู้จักกันและยอมเป็นเมียเช่าของเขา อัลเบิร์ตก็เลี้ยงดูเธอส่งเงินมาให้ใช้แล้วจะมาหาปีละสามสี่ครั้งหรือบางทีก็มากกว่านั้นและไม่รังเกียจที่เธอมีลูกติดเขากลับชอลูกชายของเธอแล้วปราบก็รู้มาตลอดเขาโตขึ้นและรู้ว่าแม่ทำเพื่อเขาเพราะเงินส่วนหนึ่งก็เป็นของอัลเบิร์ตที่ส่งเสียเขาเรียนแล้วอะไรในเมื่อเป็นความสุขของแม่และป้าเกื้อก็ยืนยันว่าอัลเบิร์ตนิสัยดีและเขาเป็นหม้ายภรรยาตายมีลูกสองคนก็โตมีครอบครัวแล้วแม่ของเขายอมเป็นเมียเช่าของอัลเบิร์ต เมื่อปราบอายุสิบห้าอัลเบิร์ตก็แต่งงานกับรัศมีและเลี้ยงดูอย่างดีซื้อบ้านหลังใหญ่ที่กรุงเทพซื้อรถใหม่ให้ขับเปลี่ยนจากเมียเช่ามาเป็นภรรยาและปราบก็ได้อยู่กับแม่เข้าเรียนมหาลัยชื่อดังจนจบปริญญาตรีและอัลเบิร์ตก็แนะนำให้เขาเรียนต่อปริญญาโทและสอนให้เล่นหุ้นซื้อขายหุ้นและสนับสนุนลูกเลี้ยงจนปราบสามารถเปิดบริษัทกับเพื่อนสนิทและใช้เวลาไม่กีปีเขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงพอๆกับความหล่อเหลาคมเข้มมีเสน่ห์เหลือร้ายต้องตาต้องใจสาวๆ
สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์
สองสาวน้อยชาวไทยเดินขึ้นเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดเมื่อได้เวลาเครื่องบินก็เทคออฟทะยานขึ้นจากสนามบินชางงีประเทศสิงคโปร์สู่ท้องฟ้ากว้งใหญ่ไพศาลเพื่อบินไปยังสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทยมีสาวน้อยเภตรากับอรนาสองเพื่อนรักที่เดินทางมาเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่จบประถมหกที่เมืองไทยและตอนนี้ทั้งสองเรียนอยู่เกรดเก้าเทียบเท่ามอสามของเมืองไทยและปิดเทอมทั้งสองจึงเดินทางกลับไปบ้านที่เมืองไทย
“ไปถึงเมืองไทยเราจะไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีเฟย์” อรนา สิงหพันธ์ ลูกสาวของนายธนาคม นักธุรกิจนำเข้าเครื่องจักรกลโรงงานรายใหญ่ของเมืองไทยและอสังหาริมทรัพย์กับนางรสมาลี นักสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อยากไร้มีลูกชายหนึ่งคนคือ อนาวิล หรือ โอ๊ต วัยยี่สิบปีห่างจากน้องสาวห้าปี
“ไปเที่ยวทะเลกันดีมั้ยอุ๋ย” เภตรา ศิรานนท์ หรือน้องเฟย์วัยสิบห้าปีลูกสาวคนเดียวของ นายธนินท์กับนางจีรสุดา ศิรานนท์ นักธุรกิจสังหาริมทรัพย์และจัดสรรที่ดินสิ่งปลูกสร้างทั้งบ้านคอนโดและอื่นๆอีกมากมายมีทรัพย์สมบัตินับหมื่นล้านหลังจากเขาสานต่อธุรกิจที่พ่อสร้างไว้จนประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจแถวหน้าชื่อดังและไม่มีใครเคยเห็นลูกสาวคนเดียวของธนินท์ทายาทบริษัท ศิวานนท์ แลนด์ แอนด์ ปาร์ค จำกัด(มหาชน)เมื่อเภตราเรียนจบปอหกเขาก็ส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่สิงค์โปรตั้งแต่และวางแผนจะส่งต่อไปเรียนต่อด้านบริหารที่ประเทศอังกฤษเพื่อให้เธอมาช่วยงานที่บริษัท
“ดีเลยแก งั้นอย่างแรกเราต้องไปช้อปปิ้งชุดว่ายน้ำกันก่อนนะเฟย์” อรนาบอกเพื่อนเพราะเธอชอบแต่งตัวและสนใจเรื่องแฟชั่นอยากเป็นดีไซด์เนอร์ชื่อดังแต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า
“แกไปเถอะอุ๋ย เฟย์ไม่กล้าใส่หรอก” เด็กสาวตอบเพื่อนเธอไม่อยากใส่ชุดว่ายน้ำเพราะคิดว่าตัวเองอ้วนขาตันทั้งที่เพื่อนๆในคลาสเรียนว่ายน้ำบอกว่าเธอแค่อวบไม่ได้อ้วนแต่เด็กสาวไม่มั่นใจจึงยอมใส่ชุดว่ายน้ำตอนเรียนเท่านั้น
“เชื่ออุ๋ยเถอะน่าเฟย์แกไม่ได้อ้วนสักหน่อยแค่ไอ้นั่นมันดูมแกก็กินขาดแล้วแกเอ้ย พรุ่งนี้เราไปช้อปปิ้งกันก่อนไปเที่ยวนะเฟย์จ๋า” อรนาอ้อนเพื่อนรักที่มักจะใจอ่อนเสมอ
“เฮ้อ,แกนี่น้า ก็ได้จะไปกี่โมงก็โทรมาละกัน” สุดท้ายเภตราก็ใจอ่อน
“มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก” อรนากอดเพื่อนรักแรงๆแล้วยิ้มเพราะเภตราไม่ชอบให้กอดแต่เธอก็ชอบแกล้งเพื่อน
“อี๋,ปล่อยนะอุ๋ยดูสิเฟย์ขนลุกเลย” สองสาวคุยกันถกเถียงกันจนลืมเวลาพอได้ยินเสียงกัปตันประกาศก็รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีพวกเธอก็จะถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว
“ถึงแล้วเหรอแก เร็วจัง” อรนารัดเข็มขัดตามเพื่อนเหมือนกับว่าเวลาไม่นานเลยที่พวกเธออยู่บนเครื่องบิน
“แกมัวแต่คิดเรื่องเที่ยวเพลินน่ะสิ” เภตราว่าเพื่อที่เรื่องกินเรื่องเที่ยวต้องมาก่อนแต่แปลกมาที่อรนาไม่อ้วนส่วนเธอขนาดควบคุมอาหารก็แทบเอาไม่อยู่
เมื่อเครื่องบินแลนด์ดิ่งลงสนามบินสุวรรณภูมิเภตรากับอรนาลงจากเครื่องบินพากันเดินไปรับกระเป๋าเดินทางแล้วเดินออกไปเพื่อกลับบ้านและแม่บอกว่าจะมารับเธอด้วยตัวเองเพราะพ่อติดประชุม
“คุณแม่ขา” เภตราเห็นแม่ก่อนจึงเรียกท่านเสียงดังด้วยความดีใจร่างอวบอิ่มจึงรีบเดินไปหาแม่แล้วปล่อยกระเป๋าใบใหญ่สวมกอดท่านด้วยความคิดถึง
“ลูกเฟย์” จีสุดากางแขนรับร่างเล็กอวบอิ่มของลูกสาวอย่างรักใคร่และคิดถึงมากแม้เธอจะไปเยี่ยมลูกสาวบ่อยๆแต่คนเป็นแม่ก็ทั้งรักและเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวแม้จะมีหลานสาวอีกคนคือทิพพา ศิรานนท์ หรือปิ๋มวัย20ปีลูกสาวของระสินกับพัชรินซึ่งระสินเป็นลูกคนละแม่กับธนินท์หรือลูกเมียน้อยที่ไม่เอาถ่านจนกระทั่งแม่ตายจึงมาอยู่ในความดูแลของพ่อ ธนัชมีภาวนาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายที่ร่ำรวยกว่าแต่เขาเทำผิดต่อเธอและภาวนาก็รับได้พอเมียน้อยตายก็ยอมให้ระสินมาอยู่ในบ้านด้วยความสงสารและส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนลูกแต่เด็กหนุ่มที่มีบาดแผลในใจอย่างระสินไม่ยอมอยู่ใต้อุ้งมือพี่ชายคนละแม่เพราะทางฝ่ายภาวนาแม่ใหญ่นั้นร่ำรวยเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมดที่พ่อของเขาบริหารจึงอิจฉาที่พี่ชายที่เกิดมามีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาและยังได้ภรรยาทั้งสวยทั้งรวยอีกเขาจึงแอบแข่งในใจจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีแล้วเข้าทำงานที่บริษัทมีพี่ชายต่างแม่เป็นผู้บริหารหลังจากที่พ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและตำแหน่งที่ได้คือพนักงานทั่วไปทั้งที่เป็นลูกเจ้าของบริษัทระสินจึงหาเพื่อนฝูงไว้เผื่อวันหนึ่งเขาขึ้นมาเป็นใหญ่ในบริษัทก็จะมีพรรคพวกมากพอที่จะต่อกรกับพี่ชายก่อนจะได้เลื่อนตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารงานทั่วไปและแต่งงานกับพัชรินลูกสาวผู้บริหารฝ่ายการเงินและมีหุ้นส่วนในบริษัทนิดหน่อยจึงทำให้ระสินรู้เรื่องรายรับรายจ่ายของบริษัทมาตลอดและคบคิดกับพ่อตายักยอกเงินของบริษัททีละเล็กละน้อยมานานแต่ไม่มีใครจับได้เพราะธนินท์ไว้ใจพันยศเห็นเป็นคนเก่าคนแก่และพักหลังมานี้ระสินสนใจงานมากขึ้นเพื่อปิดช่องโหว่ที่เขากับพ่อตาและภรรยายักยอกทรัพย์ของบริษัท
“สวัสดีค่ะคุณป้าจี พี่ปิ๋ม” อรนายกมือไหว้แม่ของเพื่อนและท่านยังเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ของเธอด้วย
“สวัสดีจ้ะหนูอุ๋ย เดินทางเป็นยังไงบ้างลูก” จีสุดาถามลูกสาวของเพื่อนที่เดินทางมาพร้อมกับลูกสาวของเธอและบอกว่าจะให้พี่ชายมารับ
“คือดีมากค่ะคุณป้าจีแป๊บเดียวก็ถึงเมืองไทย..”
“ก็แกคุยตั้งแต่สิงคโปร์จนถึงเมืองไทยเลยนี่นา” เภตราว่าเพื่อนที่ชวนคุยจนเพลินมาถึงเมืองไทยอย่างไม่รู้ตัว
“สวัสดีครับคุณป้าจี ปิ๋ม น้องเฟย์ น้องอุ๋ย” หนุ่มตี๋หน้าหล่อใสวัยยี่สิบปีเดินมาหาน้องสาวและเพื่อนของแม่ที่มารับลูกสาวจึงยกมือไหว้ป้าจีและทักทายสาวน้อยเภตราและทิพพาเพื่อนสาวเรียนมหาลัยเดียวกันเป็นดาวคณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศและเขากำลังตามจีบอยู่
“สวัสดีจ้ะตาโอ๊ตมารับหนูอุ๋ยเหรอลูก”
“ครับคุณป้าจี”
“งั้นตามสบายลูก”
“อุ๋ยไปก่อนคะคุณป้าจี พี่ปิ๋ม ไปนะเฟย์คืนนี้อุ๋ยจะโทรหานะ สวัสดีค่ะ”
“ผมขอตัวนะครับคุณป้าจี น้องเฟย์ ปิ๋มสวัสดีครับ” สองพี่น้องไหว้ลาเพื่อนแม่แล้วอนาวิลก็ลากกระเป๋าเดินทางของน้องสาวไปที่ลานจอดรถเพื่อกลับบ้าน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะน้องเฟย์ ” ทิพพาทักทายญาติสาวสวยผู้น้องแล้วยิ้มหวานให้เด็กสาววัยสิบห้ากำลังอวบอิ่มยังไม่โตเต็มวัยหลังจากเพื่อนชายมารับน้องสาวกลับบ้านไปแล้ว
“สวัสดีค่ะพี่ปิ๋มคิดถึงจังเลยค่ะ” เภตราทักทายญาติผู้พี่ที่ตามใจเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กและมาห่างกันตอนเธอไปเรียนที่สิงคโปร์เพราะทิพพาเลือกไปเรียนมหาลัยที่เมืองไทยและแก่กว่าเธอห้าปี
“พี่ก็คิดถึงน้องเฟย์ค่ะ ไม่ได้เจอกันแป๊บเดียวน้องเฟย์สวยมากเลยจ้ะ” ทิพพาเอ่ยชมญาติผู้น้องที่เกิดมาทีหลังเธอทั้งที่ตอนแรกเธอเป็นหนึ่งเดียวขวัญใจคนในบ้าน ลุงกับป้าสะใภ้มีลูกยากจึงรักและเอ็นดูเธอมากอยากได้อะไรก็หามาให้พอป้าจีตั้งท้องคนทั้งบ้านก็ดีใจกันมากยกเว้นครอบครัวของเธอที่ไม่ได้ดีใจเลยพ่อของเธอหวังไว้ว่าจะได้ครอบครองธุรกิจทั้งหมดของครอบครัวเพราะพี่ชายไม่มีลูกจึงผิดหวังกันมาก เธอจึงริษยาน้องสาวที่มีแต่คนรักจึงทำดีด้วยมาตั้งแต่เด็กมาจนถึงทุกวันนี้และยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้เภตรา
“พี่ปิ๋มก็พูดเกินไปค่ะ เฟย์อ้วนจะตายแก้มยังกับซาลาเปาสวยไม่ได้ครึ่งเสี้ยวของพี่ปิ๋มเลยค่ะ” เภตรายิ้มให้ญาติผู้พี่เธอไม่กล้าเทียบกับญาติผู้พี่ที่เพียบพร้อมเรื่องความสวยและยังได้เป็นดาวมหาลัยอีกด้วย
“แม่ว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าลูกเฟย์เดินทางมาเหนื่อยจะได้พักผ่อนแล้วพี่ปิ๋มก็มีเรียนช่วงบ่ายด้วยลูก” จีสุดาพูดกับลูกสาวและหลานสาวอย่างอ่อนโยน
“ค่ะคุณแม่ งั้นไปกันเลยค่ะที่จริงพี่ปิ๋มไม่ต้องมารับเฟย์ก็ได้ยังไงก็ได้เจอกันที่บ้านค่ะ” เภตราพูดกับญาติสาวที่สละเวลามารับเธอทั้งที่ตัวเองมีเรียน
“น้องเฟย์กลับมาบ้านทั้งทีพี่จะไม่มารับได้ยังไงล่ะจ้ะ คุณป้าจีดีใจแทบแย่ที่รู้ว่าน้องเฟย์กลับมาน่ะ” ทิพพาพูดกับญาติผู้น้องอย่างอ่อนหวาน
“แม่ว่าเรากลับไปคุยกันต่อที่บ้านนะจ้ะลูกเฟย์ ไปเถอะหนูปิ๋ม” จีสุดาบอกลูกสาวกับหลานสาวที่ยืนคุยกันตรงทางเดินที่ผู้คนในสนามบินเดินไปมามากมายและฟังทั้งสองคุยกัน
“จริงด้วยค่ะคุณป้าจี กลับบ้านกันนะคะน้องเฟย์” ทิพพาพูดเสียงหวานยิ้มหวานเอาอกเอาใจป้าสะใภ้และญาติผู้น้องแล้วโอบกอดเภตราเดินไปอย่างรักใคร่
“พอเจอน้องเฟย์แล้วลืมป้าเลยนะหนูปิ๋ม” จีสุดาเห็นพี่น้องรักกันก็ดีใจก็คิดถึงตอนที่ท้องเภตรา ทิพพาร้องไห้โวยวายไม่อยากมีน้องพอเธอคลอดลูก หลานสาวของสามีก็ไม่ชอบลูกสาวของเธอทั้งที่อธิบายให้ฟังแล้วแต่ทิพพาก็หาเรื่องแกล้งน้องจนกระทั่งเธอกับสามีบอกว่าถ้าทิพพาไม่รักน้องพวกเขาก็จะไม่รักทิพพาทำให้หลานสาววัยห้าขวบหลบหน้าหลบตาไม่มาหาเธอเป็นเดือนทั้งที่บ้านอยู่ห่างกันแค่ร้อยเมตรแล้วจู่ๆทิพพาก็มาหาเธอและเล่นกับเภตราเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังรักน้องเล่นกับน้องยอมน้องทุกอย่างทำให้เธอกับสามีสบายใจยังไงก็เลี้ยงทิพพามาตั้งแต่เด็กทั้งระสินกับพัชรินก็บอกว่าลูกสาวของเขาแค่น้อยใจกลัวลุงป้าไม่รักจึงทำอะไรแบบเด็กๆที่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกหลังจากนั้นทั้งสองก็รักใคร่กันดี
“ใครจะลืมคุณป้าจีกันล่ะคะ ปิ๋มรักคุณป้าจีที่สุดเลยค่ะ” ทิพพาก็คล้องแขนป้าไว้อีกข้างออดอ้อนแล้วเดินไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน