เจ๊หวานยืนเท้าสะเอว มือหนึ่งถือโทรศัพท์ไถฟีดข่าวอย่างเอาเป็นเอาตาย
พอเห็นรูปอัญชันยืนแนบชิดภูผาในงานแถลงข่าวเมื่อวานนี้เท่านั้นแหละ
“โอ๊ยยยย! ยืนชิดน้องซันสุดหล่อของฉันจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่ในร่างแล้วนะ ยัยอัญชรา!!”
เสียงบ่นดังแหลมจนอันอันที่นั่งปอกแอปเปิ้ลอยู่ข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้งตาม
เจ๊หวานไม่หยุด ยังไถสกรีนให้ดูอีกรอบพร้อมทำหน้าฟึดฟัด
“ดูสิอัน! หน้าด้านสุด ๆ! แบบนี้ไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดีเลยเหรอเนี่ย!? ดูก็รู้ว่าเป็นข่าวปลอมทั้งนั้น ค่ายน้องซันก็ทำกันลง…โอ๊ยย เจ๊โมโห!”
จากนั้นเจ๊หวานก็ยกมือขึ้นมากุมอก ทำท่าเหมือนจะเป็นลม
“เดี๋ยวนี้ไม่เห็นซันยิ้มเลย เจ๊แทบจะใจสลายแล้วนะลูก… ฮือออ น้องซันของเจ๊~~~”
อันอันได้แต่หันไปยิ้มอ่อน ไม่อยากรับรู้ข่าวของ “เขา” อีกต่อไป
เพียงได้ยินชื่อ…หัวใจของเธอก็กระตุกวาบ ทั้งที่คิดว่าผ่านมาเกือบเดือน ความรู้สึกน่าจะสงบลงแล้วแท้ ๆ
เพื่อเบนความคิดตัวเอง เธอรีบยิ้มสดใสใส่เจ๊หวาน
“วันนี้เจ๊มาพอดีเลย อันเพิ่งคิดสูตรเกี๊ยวใหม่ได้ เดี๋ยวทำให้ชิมน้า~”
เจ๊หวานตาโตทันที “ดีเลย! เจ๊จะได้กินดับโมโหเนี่ย!
เจ๊โทรไปถามตาโชคมาแล้ว ตานั่นก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ บอกว่า ‘เป็นข่าวจริง’ เจ๊แทบจะอยากบุกไปเขย่าคอมันให้ไขมันหลุดออกมาทีเดียว!”
อันอันหลุดหัวเราะเบา ๆ
ภาพเจ๊หวานไปเขย่าพี่โชคจนไขมันสั่นดึ๋ง ๆ ลอยเข้ามาในหัวทันที
ตอนนี้ “คุณโชคของเจ๊หวาน” กลายเป็น ‘ตาโชค’ ไปเรียบร้อยแล้ว
ดูท่าแล้ว…สองคนนั้นคงคุยกันบ่อยจนสนิทระดับตั้งชื่อเล่นกันเองได้แล้วล่ะ
หลังบ่นหนึ่งยก เจ๊หวานก็กลับไปฟึดฟัดใส่โทรศัพท์อีกรอบ
ไถฟีดโซเชียลไปพร้อมเสียงบ่นกระปอดกระแปดที่ดังเป็นจังหวะ ๆ
“โอ๊ยยย ช่วงนี้ฟีดเจ๊มีแต่ข่าวน้องซัน! ยิ่งมีละครออนแอร์ กลุ่มชิปเปอร์ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ชิปฯ อัญ–ซันอีก! ทำไม๊~ ทำไมยัยอัญชราต้องมีชื่อพ้องกับน้องอันของเจ๊ด้วยนะ”
เจ๊หวานทำหน้างอใส่มือถืออย่างกับมือถือเป็นคนผิด
“ชิปเปอร์ ‘อันอัน–ซันซัน’ ของเจ๊น่ะ ดีต่อใจที่สุดแล้ว!
แล้วนี่อะไร...ชิปฯ อัญ–ซัน โผล่มาเต็มหน้า เจ๊ละคันมืออยากลบโพสต์ให้หมด!”
อันอันได้แต่ยิ้มเจื่อน แม้พยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็นความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง
เธอรู้สึกซาบซึ้งที่เจ๊หวานคอยเข้าข้างและปกป้องเธอแทบทุกลมหายใจ
แต่ลึกลงไปในหัวใจ…มันก็ยังเจ็บหน่วงขึ้นมาอีกครั้งแบบห้ามไม่ได้
เธอถอนหายใจเบา ๆ พยายามกลืนความรู้สึกขมไว้ในอก
อันอันได้แต่หวังว่า “เวลา” จะเป็นยาวิเศษ
ช่วยเยียวยาหัวใจที่เจ็บนิด ๆ หน่วงหน่อย ๆ ของเธอให้ค่อย ๆ ดีขึ้น
เพราะความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ
รักแรกของเธอ…รักข้างเดียว...มันสลายไปแล้ว
และเธอต้องเรียนรู้ที่จะเก็บความทรงจำนั้นไว้
เหมือนบทหนึ่งในชีวิตที่สวยงาม…แม้จะจบลงเร็วกว่าที่คิดก็ตาม
...
อันอันตัดสินใจหันมาโฟกัสเรื่องเรียนอย่างจริงจัง
เธออยากเรียนให้จบภายในสี่ปีตามที่ตั้งใจไว้ และเพื่อไม่ให้การเรียนสะดุด เธอจึงลดรับงานแสดงลง แม้จะเคยไต่บันไดจนได้บทนางรองมาแล้วก็ตาม ตอนนี้เธอเลือกจะรับแค่บทตัวประกอบเบา ๆ พอให้ไม่ลืมกล้อง ไม่ลืมกองถ่าย
เพราะสิ่งหนึ่งที่เธออยากเห็นที่สุด…
คือรอยยิ้มภูมิใจของป๊ากับแม่ในวันรับปริญญา
นอกจากเรื่องเรียน อันอันยังแอบวางแผนเล็ก ๆ ในใจ
เธออยากร้องเพลง
ตั้งแต่เด็กเธอเรียนร้องเพลงเพราะเป็นความฝันของป๊า ที่หวังลึก ๆ ว่าจะมีลูกสักคนร้องเพลงได้เพราะ ๆ
เธอไม่ได้ต้องการจะออกอัลบั้มใหญ่โตหรือโปรโมทให้วุ่นวาย
แค่อยากมี “เพลงของตัวเอง”
เพลงเบา ๆ ใส ๆ ที่คนอยากฟังกดเปิดในวันสบาย ๆ ก็พอแล้ว
แต่ติดอยู่อย่างเดียว…เธอไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
เขียนเพลงก็ยาก แต่งทำนองก็ยิ่งยากกว่า
กระทั่งวันหนึ่ง เจ๊หวานก็โผล่เข้ามาพร้อมสีหน้าลุ้นระทึก
ในมือมีกระดาษโน้ตเพลงกับไฟล์ทำนองที่เพิ่งได้รับมา
“อัน! เจ๊หาเพลงมาให้อันร้องได้แล้วนะ!”
อันอันทำตาโตทันที “เอ๊ะ? จากใครเหรอคะเจ๊?”
เจ๊หวานยิ้มกว้าง “เจ๊รู้จักคนแต่งเพลงคนนึง เขาเป็นแฟนคลับของอันด้วย เจ๊เลยลองเอ่ยปากขอให้เขาทำเพลงให้เล่น ๆ…ที่ไหนได้ เขาแต่งให้อันแบบเต็มใจเลยน้า~”
เพลงพร้อม ทำนองพร้อม
ส่วนเรื่องดนตรีและการอัด เจ๊หวานก็เตรียมคอนเนกชันไว้ให้เรียบร้อย ทั้งวงและห้องอัดมีพร้อมสรรพ
อันอันดีใจจนยิ้มแก้มปริ แต่ก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่าอยากจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้คนแต่งเพลง เพราะไม่อยากเอาเปรียบใคร
แต่สุดท้าย…แฟนคลับปริศนาคนนั้นกลับปฏิเสธไม่รับเงินแม้แต่บาทเดียว
โดยบอกว่าแค่ให้อันอันขึ้นชื่อเขาในเครดิตเพลงก็พอแล้ว
เขาใช้ชื่อในเครดิตว่า
“นางฟ้ามีปีก”
อันอันยิ้มเขินกับชื่อที่ดูอบอุ่นและน่ารักจนหัวใจพอง
เธอไม่ทันเอะใจเลยว่า…ทำไมทุกอย่างถึงประจวบเหมาะเสียจนเหมือนพรหมลิขิตกำลังช่วยผลักเธอให้ก้าวต่อไปอย่างงดงาม
…