ล็อบบี้รับรองผู้บริหารของคณะบริหารธุรกิจถูกจัดไว้อย่างหรูหราสมฐานะเป็นสถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญและผู้มีอุปการคุณของมหาวิทยาลัย แสงไฟคริสตัลที่ส่องลงมากระทบกับชุดเดรสผ้าไหมสีครีมของ พิมพ์ลดา ทำให้เธอดูเปล่งประกายราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นยุโรป
พิมพ์ลดา หรือที่เพื่อนร่วมสังคมชั้นสูงเรียกกันว่า ‘คุณหนูพิม’ คือทายาทคนเดียวของตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล เติบโตในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ ได้รับการศึกษาจากสถาบันชั้นนำในลอนดอน ทำให้บุคลิกของเธอสง่างาม เยือกเย็น และเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม รูปลักษณ์ของพิมพ์ลดาสะท้อนถึงสถานะของเธออย่างชัดเจน ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ และท่าทางที่ดูไร้ที่ติ เธอกลายเป็นตัวแทนของความ สมบูรณ์แบบ และเป็นคู่หมั้นที่เหมาะสมกับภาคินที่สุดในทุกมิติ ทั้งในเรื่องฐานะ ชื่อเสียง และภาพลักษณ์ทางสังคมที่ไร้ข้อกังขาใดๆ
พิมพ์ลดาเดินทางกลับมาจากลอนดอนเพื่อมาเป็นดาวเด่นคนสำคัญของงาน "Starry Night Charity" ของคณะ ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่จะออกหน้าออกตา เพราะครอบครัวของเธอเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของงานการกุศลนี้ เธอถือแก้วชาชั้นดีไว้อย่างสง่างาม แต่ดวงตากลับมองนาฬิกาเรือนแพงบนข้อมืออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ภาคินหายไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และอ้างว่ากำลังติดงานสรุปบัญชีกับทีมงาน
“ขอโทษนะคะ ที่ให้รอนาน” เสียงหวานของเอมมี่ดังขึ้น เอมมี่เดินเข้ามาในชุดเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ตั้งใจคัดสรรมาให้ดูดีทัดเทียมกับพิมพ์ลดา
“พอดีพี่ภาคินเขาฝากเอมมี่มาดูว่าพี่พิมพ์ขาดเหลืออะไรไหมคะ”
พิมพ์ลดายิ้มบางๆ แฝงความเย็นชา “ขอบใจจ้ะ แต่ฉันแค่ต้องการตัวภาคินมากกว่า ฉันเพิ่งกลับมาถึงก็มีธุระสำคัญมากมายที่ต้องคุยกับเขา”
เอมมี่นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พลางทำหน้ากังวลสุดชีวิต “เอมเข้าใจค่ะว่าพี่พิมพ์ลดายุ่ง แต่เอมก็เป็นห่วงพี่ภาคินนะคะ”
“ห่วงเรื่องอะไร?” พิมพ์ลดาเลิกคิ้วสูง
“คือ... ช่วงที่พี่พิมพ์ลดายังไม่กลับมา พี่ภาคินเขาทำงานหนักมากค่ะ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่างาน... คือ รุ่นน้องที่เข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ตัวพี่ภาคินนี่แหละค่ะ”
คำว่า ‘รุ่นน้อง’ ทำให้พิมพ์ลดานิ่งไป ดวงตาของเธอฉายแววไม่พอใจอย่างเปิดเผย
“เอมมี่... ถ้าเธอมีอะไรจะพูด ก็พูดมาตรงๆ อย่าเสียมารยาทด้วยการมานั่งนินทาใครลับหลังในฐานะเพื่อนร่วมคณะของภาคิน”
เอมมี่ปรับสีหน้าให้ดูเจ็บปวด “เอมขอโทษค่ะพี่พิมพ์ลดา แต่เอมต้องพูด... เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสถานะของพี่กับพี่ภาคินด้วยค่ะ” เอมมี่โน้มตัวเข้ามากระซิบเสียงเบา “มันเกี่ยวกับ ลลิน ค่ะ”
พิมพ์ลดากำมือแน่น “ลลิน? เด็กที่ภาคินเล่าว่าเป็นคนขยัน... เด็กที่เขารับมาช่วยงานบัญชีคนนั้นน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เด็กทุน คนนั้นแหละ” เอมมี่เน้นคำว่า ‘เด็กทุน’ ด้วยน้ำเสียงดูถูกอย่างเปิดเผย “พี่ภาคินน่ะแสนดีกับคนอื่นไปทั่ว แต่กับคนนี้... มันไม่ปกติค่ะ”
เอมมี่เริ่มปล่อยเชื้อร้ายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน “พี่ภาคินเข้าข่าย หลง แล้วค่ะ เขาไปรับไปส่งลลินที่หอพักทุกคืน แม้กระทั่งเมื่อคืนที่ฝนตกหนัก เขายังอยู่กับลลินในห้องสโมสรแค่สองต่อสองจนเกือบเที่ยงคืน แถมวันนี้... พี่ภาคินยังสั่งให้ลลินช่วยจัดเตรียมห้องจัดงาน ทั้งที่ปกติงานนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายบัญชีเลย”
พิมพ์ลดาพยายามสงบสติอารมณ์ “ภาคินเป็นสุภาพบุรุษ เขาคงแค่ดูแลน้องที่ลำบากตามประสาเขา เธอเองก็รู้ว่าภาคินเป็นคนยังไง”
“นั่นแหละค่ะ คือปัญหา!” เอมมี่ตีโต๊ะเบาๆ “เพราะพี่ภาคินเขาดีเกินไป!
แต่เด็กอย่างลลินน่ะ ไม่ได้ใสซื่อ อย่างที่พี่ภาคินเห็นค่ะ เอมมี่ไปสืบมาเเล้วค่ะ เด็กที่มาจากครอบครัวล้มละลาย มีข่าวฉาวเรื่องการยักยอกเงิน ยัยนั่นต้องดิ้นรนเพื่อปากท้อง แต่เมื่อพี่ภาคินยื่นมือเข้ามาช่วย... เธอเลยมองเห็นพี่ภาคินเป็น บันได”
เอมมี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปภาพที่เธอแอบถ่ายมาเมื่อเช้า เป็นภาพที่ภาคินยื่นแก้วกาแฟให้ลลินในโรงอาหาร พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ดูสิคะ สายตาที่ลลินมองพี่ภาคิน... มันไม่ได้มองรุ่นพี่ที่เมตตา แต่มองเหมือน เหยื่อ ค่ะ ลลินกำลังใช้ความขยัน ความน่าสงสาร และภาพลักษณ์ของคนสู้ชีวิตมาผูกมัดพี่ภาคินไว้”
พิมพ์ลดาจ้องมองภาพนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ แม้จะไม่ชอบใจนัก แต่เธอก็ยังมั่นใจในคู่หมั้นของเธอ “ภาคินไม่ใช่คนโง่... เขาแยกออกระหว่างความตั้งใจจริงกับเล่ห์เหลี่ยม”
“อาจจะจริงค่ะ... แต่พี่ภาคินแยกออกระหว่าง คนรวยกับคนจน ที่พยายามไต่เต้าไม่ได้หรอกค่ะ” เอมมี่กัดฟันพูด
“พี่พิมพ์ลดาลองคิดดูนะคะ ฐานะของพี่กับพี่ภาคินก็เป็นที่จับตามองของสังคม ถ้าเกิดมีข่าวลือซุบซิบนินทาว่า
‘ลูกสาวตระกูลดังกำลังจะถูกเด็กข้างถนนแย่งคู่หมั้น’ ภาพลักษณ์ของพี่และครอบครัวจะเสียหายขนาดไหนคะ?”
คำพูดนี้แทงใจพิมพ์ลดาดำดิ่ง การหมั้นของเธอกับภาคินไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันคือการรวมอำนาจทางธุรกิจและการเมืองของสองตระกูลใหญ่ ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือสำคัญที่สุด
“เธอหมายความว่ายังไง... เธอคิดว่าลลินกล้าทำถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ?” พิมพ์ลดาถามเสียงเย็น แต่แววตาเริ่มสั่นคลอน
“เด็กพวกนี้มีแต่ความทะเยอทะยานค่ะพี่พิมพ์ลดา พวกเธอพร้อมที่จะใช้ทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อปีนป่ายขึ้นมา และอะไรที่ง่ายกว่าการใช้ ‘ความรักปลอมๆ’ มาผูกมัดผู้ชายที่จิตใจอ่อนโยนและรวยอยู่แล้วล่ะคะ?” เอมมี่ยื่นข้อเสนอ “พี่ไม่จำเป็นต้องลงมาเล่นเองหรอกค่ะ... แต่พี่ควรจะ ตัดไฟแต่ต้นลม”
พิมพ์ลดานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เธอวางแก้วชาลงอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบแก้วบ่งบอกถึงความเครียดที่เธอกำลังเผชิญ “ฉันไม่ชอบวิธีการสกปรก... ภาคินจะโกรธถ้าฉันไปทำอะไรกับคนของเขา”
“พี่ไม่ต้องทำสกปรกค่ะ” เอมมี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พี่แค่ไป พูดคุย กับลลินอย่างผู้ใหญ่ โดยใช้ ความจริง ไปตบหน้าเธอ... ให้เธอรู้สถานะที่แท้จริงของตัวเอง ให้เธอรู้ว่า ความเมตตา ของพี่ภาคินมันมี ‘ราคา’ ที่เธอไม่สามารถจ่ายได้”
เอมมี่มองสำรวจพิมพ์ลดาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะ “พี่ก็แค่ต้องใช้สิ่งที่พี่มี... ความสง่างาม ฐานะ และ แหวนหมั้น ในมือพี่ เป็นอาวุธ”
พิมพ์ลดาเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยสับสนตอนนี้กลับมาคมกริบอีกครั้ง เธอเข้าใจเจตนาของเอมมี่แล้ว มันคือการจัดการปัญหาอย่างมีระดับ โดยที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อน แต่ก็ทำลายความหวังของอีกฝ่ายอย่างสิ้นซาก
“ขอบใจมากนะเอมมี่... สำหรับความหวังดี” พิมพ์ลดาพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่เย็นยะเยือก “ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไง... ในฐานะคู่หมั้น... ฉันคงต้องไป เตือนสติ น้องคนนั้นสักหน่อย”
“ค่ะ... ดีที่สุดค่ะพี่พิมพ์ลดา ก่อนที่เด็กคนนั้นจะถลำลึกจนกู่ไม่กลับ เพราะความใจดีของพี่ภาคิน” เอมมี่ยิ้มร้ายกาจในใจ ภารกิจยุยงสำเร็จลุล่วงแล้ว
พิมพ์ลดาลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม เธอหยิบกระเป๋าถือแบรนด์หรู แล้วเดินออกจากล็อบบี้ไปทันที... โดยที่ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเอมมี่อีกครั้ง เธอจะไปหาภาคิน... และหลังจากนั้น... เธอจะไปหา ลลิน เพื่อยุติความเข้าใจผิดนี้ด้วยวิธีที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับคนที่มีแต่ความว่างเปล่าอย่างลลิน
นับจากวินาทีนั้น ภัยพิบัติก็เริ่มต้นขึ้น... และลลินที่เพิ่งมีความหวังได้เพียงข้ามคืน กำลังจะถูกพายุแห่งชนชั้นและอคติพัดพาให้ร่วงหล่นลงมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง