“แผลดูไม่ดีขึ้นเลยนะคะคุณหนู”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ ผมไม่เจ็บแล้วด้วย..แต่ยังไงก็ขอบคุณที่อุตส่าห์มาทำแผลให้ผมทุกเช้าแบบนี้นะ”
สองสามวันถัดมาหลังจากคืนนั้นที่เกิดเรื่อง เพนลืมกินยานอนหลับที่อุตส่าห์เดินลงมาเอาถึงห้องครัวแล้วรีบเก็บเศษแก้วไปทิ้ง ถึงจะกลับมาทำแผลแล้วเช็ดเลือดที่เปรอะอยู่บนพื้น และในเช้าวันถัดมาเมื่อคุณแมรีเห็นบาดแผลบนมือของเขา เพนก็พยายามบ่ายเบี่ยงว่าเขาเป็นคนทำแก้วในห้องครัวแตกแล้วเก็บมันอย่างไม่ทันระวัง เพราะกลัวเธอจะเป็นห่วงมากจนเกินไป แม้สองสามวันที่ผ่านมานี้จะคอยทำความสะอาดอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนแผลจะไม่ค่อยดีขึ้นเลย
“ฉันว่าไปหาหมอดีไหมคะ แผลมันดูไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลยนะ”
“แต่ผมว่ามันก็ดีขึ้นแล้วนะ พอสัมผัสดูก็ไม่เจ็บแล้ว อ่าช่างเถอะครับ ผมว่าเรารีบลงไปทานข้าวเช้ากันดีกว่า ถ้าลงไปช้าคุณฟิลิปส์คงรู้สึกไม่ดี”
หลังพันแผลจนเสร็จและไม่อยากให้คุณแม่บ้านพูดถึงเรื่องบาดแผลจนอาจทำให้เธอเกิดความสงสัย ชายหนุ่มก็รีบลุกจากโซฟาตัวเล็ก ๆ ภายในห้องแล้วเดินออกไปเพื่อลงมาทานข้าวพร้อมกันกับฟิลิปส์อย่างทุก ๆ วัน แน่นอนว่าเพียงแค่เดินเข้ามาในห้องทานอาหาร ความรู้สึกอึดอัดก็มักจะก่อตัวขึ้นทุกครั้งโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไร
อาหารเมนูใหม่ ๆ ประจำวันทุกเช้า แค่เพียงจ้องมองก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาในทันทีไม่รู้ทำไม แต่เพียงหยิบช้อนส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเตรียมทานอาหารตรงหน้าไม่กี่คำ บางอย่างก็ทำให้เพนรู้สึกเหมือนถูกฟิลิปส์จ้องมองทั้งที่เขายังไม่สบตา
“พันแผลแบบนั้นมาสองสามวัน กับอีแค่โดนแก้วบาดมันเป็นแผลนานขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“....”
“ทำไม? อยากให้ฉันรู้สึกผิดหรือไงที่เป็นคนทำ?”
“....” นัยน์ตาสีฟ้าอัญมณีเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็กลับมาตั้งใจทานอาหารที่อยู่บนโต๊ะเพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ดีแต่ทำให้ทะเลาะกันมากกว่าเดิม
“นี่ ฉันกำลังพูดอยู่ก็หัดพูดตอบด้วยสิ เป็นใบ้หรือไง?!”
“ผมอิ่มแล้วครับ” เพนกล่าวออกไปแบบนั้นทั้งที่เขาพึ่งจะกินไปไม่กี่คำ ไม่นานก็วางช้อนและส้อมที่อยู่ในมือลงบนจานอาหารแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินออกไป
“นี่!! จะลุกออกไปจากโต๊ะทั้งที่ฉันยังกินไม่เสร็จได้ยังไง!”
“....?” เมื่อได้ยินคำพูดกระแทกกระทั้นดังกล่าวจากด้านหลัง ร่างสันทัดก็หันกลับไปมองฟิลิปส์ที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง “ครับ? ทั้งที่คุณทานข้าวก่อนผมจะเดินลงมา นั่นก็เสียมารยาทในการทานอาหารร่วมโต๊ะด้วยแล้ว คุณลุกออกไปจากโต๊ะก่อนผมทุกครั้งผมก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้นะรู้ไหม”
เพนพูดออกไปขณะสบตากับอีกฝ่ายราวกับเขาเองก็สามารถแสดงความไม่พอใจที่เจ้าตัวทำแบบนั้นเช่นกัน ก่อนจะเดินออกไปเพื่อหลีกหนีจากบรรยากาศอันแสนอึดอัด
“เดี๋ยวนี้กล้ายอกย้อนแล้วหรือไง นี่!! ฟังที่คนอื่นพูดบ้างสิวะ!”
“โครม!”
ในห้องทานอาหารเกิดเสียงโครมครามตามมาหลังจากนั้น ดูเหมือนคำพูดและพฤติกรรมดังกล่าวของเพนจะทำให้ฟิลิปส์ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้นไปอีก ระหว่างที่เขาเดินออกมาจากห้องและกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
“คุณหนูคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? ฉันได้ยินเสียงดังมาจากด้านล่าง”
“แมรี ตั้งแต่นี้ช่วยบอกให้คนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารของผม ยกอาหารทุกมื้อมาไว้บนห้องผมทุกวันทีนะครับ”
“จะไม่ทานข้าวกับคุณฟิลิปส์แล้วเหรอคะ?”
“ไม่ล่ะครับ ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ผมทานอะไรไม่ลงเวลาเห็นหน้าเขาน่ะ แล้วก็..ผมว่าผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ไปด้วยกันไหมครับ?”
หลังเดินเข้ามาในห้อง เพนก็เปิดตู้เสื้อผ้าของเขาแล้วเลือกชุดสำหรับใส่ออกไปข้างนอกเพื่อหวังเปลี่ยนบรรยากาศของตัวเอง
“อยู่ ๆ ทำไมถึงอยากไปข้างนอกล่ะคะ?”
“เพราะอยู่ในบ้านมันน่าเบื่อน่ะ จะให้นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อปรออีเมลประกาศผลเข้าเรียนมหาลัยก็คงจะน่าเบื่อ...” แต่ในตอนนั้น เพนก็มาสังเกตเห็นสีหน้าของแมรีที่ดูจะลำบากใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเขาจะออกไปเที่ยวข้างนอก
“แมรี? มี..อะไรหรือเปล่าครับ?”
“เอ๊ะ คะ? เปล่า ๆ ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่.. ฉันว่าห้ามคุณหนูไปยังไงคุณหนูก็คงจะอยากไปอยู่ดี เพราะงั้นฉันจะอยู่ข้างคุณหนูเองค่ะ”
แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น แต่ไม่นานเมื่อออกมาจากบ้านด้วยรถส่วนตัวโดยมีคนขับรถขับพามาส่งที่ห้างสรรพสินค้า เพนก็เข้าใจในทันทีว่าเพราะอะไร
ทันทีที่ฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้างทุกอย่างก็กลายเป็นความกดดัน สายตานับสิบจ้องมองมาทางเขากันหมด มันไม่ใช่สายตาของความเอ็นดู ชื่นชมหรืออะไรอย่างที่เพนเคยเจอกับโลกที่เขาจากมา แต่มันคือสายตาของความระแวดระวังและไม่พอใจอย่างแรงเสียมากกว่า
“ทำไม...ถึงรู้สึกเหมือนจะตายเพราะถูกจ้องเลยนะ”
แค่ไล่สายตาไปยังร้านค้าสักร้านหนึ่งภายในห้าง พนักงานที่มองมาก็รีบหลบสายตาในทันทีราวกับหวาดกลัว
“แมรี..ผมถามคุณจริง ๆ เถอะนะ ที่คุณว่าผมเมื่อก่อนเป็นคนเอาแต่ใจแล้วก็ดื้อมาก ๆ คงไม่ใช่ว่า..ดื้อจนอาละวาดคนในห้างหรอกนะครับ?”
“เอ๊ะ? คะ? อ่า ฮ่าฮ่าฮ่า”
‘หัวเราะแบบนั้นคงใช่สินะ..’
แค่เห็นท่าทางหัวเราะกลบเกลื่อนก็รู้ได้ทันทีว่าเพนที่อยู่ในโลกนี้คงเคยก่อวีรกรรมเอาไว้ไม่ใช่น้อย ก่อนจะถูกฟิลิปส์กำราบด้วยคำพูดแย่ ๆ จนทำให้ซึมเศร้าแล้วฆ่าตัวตายโดยการจมน้ำ
‘เท่าที่แมรีเล่า เธอบอกว่าเราไปเรียนที่ต่างประเทศ พอกลับมาก็เปลี่ยนไปสินะ ถ้างั้น..แล้วเราไปเจออะไรจากที่นั่นมาล่ะ?’
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ผมอยากมาซื้อชุดเสื้อผ้าเพิ่มน่ะ มีร้านประจำร้านนึงที่ผมชอบไปบ่อย ๆ ตามมาสิ”
“อะ..ค่ะ!”
พยายามไม่แคร์สายตาแล้วเดินไปยังร้านชุดเสื้อผ้าร้านประจำที่เคยมาบ่อย ๆ แต่เมื่อเดินเข้าไปถึง...บรรยากาศของร้านก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนแต่ก่อน เพียงจ้องมองพนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาและพวกเขาก็มักจะส่งยิ้มมาให้ แต่กลับตอนนี้สายตาพวกนั้นดันมองด้วยความไม่ชอบใจแถมยังหวาดกลัวยังกับเจอสัตว์ประหลาด
‘ทั้งที่ปกติเวลาเข้ามาในร้านพวกเขาก็จะกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มแล้วเข้ามาช่วยเลือกเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ แต่ดูตอนนี้สิ พวกเขาแทบไม่อยากจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ เลยด้วยซ้ำ’
เพนทำได้เพียงเดินเลือกเสื้อผ้าของตัวเองพร้อมคุณแมรีผู้คอยยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างไปไหน แม้เธอจะไม่ค่อยมีทักษะในการเลือกชุดเป็นเพื่อนกับเขา แต่มันก็ยังดีกว่าต้องมาเดินอยู่คนเดียวเหงา ๆ ท่ามกลางสายตาดูแคลนนั่นแหละนะ
“ผมว่าชุดนี้สวยดีนะครับ คุณว่าไหม? ใส่ไปเที่ยวหรือใส่ออกงานเลี้ยงทางการก็น่าจะเหมาะ”
“ฉันว่าคุณหนูใส่อะไรก็สวยทั้งนั้นแหละค่ะ ก็คุณหนูของแมรีเป็นโอเมก้าที่สวยที่สุดเลยนี่คะ”
“ฮ่าฮ่า ชมเกินไปแล้วครับ มาเถอะ ผมเอาชุดนี้นี่แหละ เสร็จแล้วเราออกไปเดินหาอะไรทานกันดีกว่า”
ไม่นานก็เดินตรงมายังเคาน์เตอร์ของร้านพร้อมกับชุดเสื้อผ้าที่ตนเองได้เลือก แน่นอนว่าพนักงานผู้ยืนประจำอยู่ตรงหน้าก็ได้แต่ทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าสบตาเขาด้วย
“ช่วยคิดเงินด้วยครับ”
“เอ่อ..คุณลูกค้าคะ ชุดนี้เหลือเพียงชุดสุดท้าย ถ้าอยากได้ชุดที่เป็นชุดใหม่ยังไม่ผ่านมือลูกค้าท่านอื่นอาจจะต้องรอ..”
“ครับ? ของแบบนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ ผมเอาชุดนี้แหละครับ ใส่ถุงให้ก็พอ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พนักงานที่อยู่ในร้านหลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของเขา ก็พากันจ้องมองด้วยความประหลาดใจก่อนจะถามซ้ำอีกครั้ง
“แน่ใจนะคะ?”
“ครับแน่ใจสิ”
“ปกติ...คุณลูกค้ามักจะขอเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่ยังไม่ผ่านมือของลูกค้าท่านอื่นมาก่อนทุกครั้งเลย”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องทำแล้วล่ะครับ ผมใส่ชุดไหนก็ได้ ไม่ต้องเอาของใหม่มาเปลี่ยนให้ผมหรอก มันก็ชุดเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ยังไงก็ต้องเอาไปซักอยู่ดี”
“เอ่อ..ถ้างั้นรอสักครู่นะคะ” ไม่นานพนักงานสาวก็รีบจัดแจงหยิบเสื้อผ้าตัวดังกล่าวของเพนใส่ลงไปในกล่องใบสวยพร้อมคิดเงินจากบัตรของเขา แล้วรีบส่งถุงใบใหญ่ที่มีกล่องเสื้อผ้าบรรจุอยู่ด้านใน ส่งมาให้เพนแม้จะยังคงมีท่าทางหวาดระแวงอยู่ก็ตาม
“ขอบคุณครับ”
“มาค่ะคุณหนู ฉันถือให้เอง”
“ฮ่าฮ่า ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย ผมถือเองได้” ชายหนุ่มรับถุงดังกล่าวมาถือเอาไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนเดินออกมาจากร้าน ทว่าเมื่อประตูอัตโนมัติเปิดออก เขาก็หันกลับมาหาพนักงานในร้านดังกล่าวแล้วก้มหัวลงไป “ผมขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมานะครับ ผมรู้ว่าสร้างความลำบากใจให้พวกคุณอยู่ไม่น้อยเลย ขอโทษจริง ๆ ครับ”
“ค..คุณหนูคะ?!” แมรีตะโกนเสียงลั่นด้วยความตกใจ ซึ่งมันก็พอ ๆ กับพนักงานที่อยู่ในร้านผู้ประหลาดใจไม่แพ้กัน ก่อนเพนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวขอโทษซ้ำอีกครั้งก่อนเดินออกไป
ไม่ใช่แค่นั้นซะทีเดียว เพราะหลังเดินออกมาจากร้านเสื้อผ้า เขาก็เลือกตระเวนไปตามร้านต่าง ๆ เพื่อเข้าไปขอโทษพนักงานทุกคนกับเรื่องในอดีต แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม
“แมรี ขอโทษนะ”
“คะ? อะไรกันขอโทษฉันทำไมคะ วันนี้คุณหนูเดินขอโทษพนักงานทุกคนในร้านแทบจะทั่วทั้งห้างแล้วนะคะ”
“ผมคิดว่าคนที่ผมควรจะขอโทษจริง ๆ ก็คือคุณนี่แหละ ทั้ง ๆ ที่ผมเคยทำตัวไม่ดีกับแมรีมาก่อน แต่คุณก็ยังจะอยู่คอยดูแลผมตลอดเวลาไม่ว่าอะไรเลยสักครั้ง ขอโทษนะ”
“โถ่คุณหนู ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากคุณหนูหรอกนะคะ แค่ได้เห็นคุณหนูมีความสุขมาก ๆ แมรีก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ คุณหญิง...แม่ของคุณหนูท่านมีพระคุณกับแมรีนะคะ และฉันก็เลี้ยงคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ดูการเติบโตมาเรื่อย ๆ จะไม่รู้จักคนน่ารักแบบคุณหนูเพนได้ยังไง” หญิงสาวเรือนผมสีดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอยื่นมือเข้ามาจับมือของเพนแล้วลูบอย่างอ่อนโยนเมื่อได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ขอบคุณที่อยู่ข้าง ๆ ผมมาตลอดนะ ผมรักแมรีมาก ๆ เลย ตั้งแต่นี้ก็จะไม่ทำตัวดื้อไปมากกว่านี้แล้ว โอ๊ะจริงสิ ที่บ้านของเรามีคนงานกี่คนเหรอครับ?” ระหว่างเดินเที่ยวในห้างไปเรื่อย ชายหนุ่มก็ได้ถามกับแม่บ้านของเขาก่อนกลับ
“อืม คนสวนสองคน แม่บ้านอีกสี่คน แม่ครัวอีกสองก็รวมเป็นแปดค่ะ”
“รวมแมรีเป็นเก้า ถ้างั้นผมซื้อของหวานอร่อย ๆ จากร้านตรงนั้นไปฝากด้วยดีกว่า สั่งสักสิบแปดชิ้นก็น่าจะดี”
“ส..สิบแปดชิ้นเหรอคะ แค่ชิ้นเดียวก็พอแล้วค่ะคุณหนู ขนมที่ร้านนั้นราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ ด้วย”
“ไม่เป็นไรน่า นาน ๆ ทีจะได้กินของอร่อย ๆ มาเถอะ ร้านนี้ยิ่งของหมดเร็วอยู่ด้วย”