บทที่ 3 (2)

2149 คำ
เพนกับแมรีออกไปเที่ยวด้านนอกด้วยกันตั้งแต่เช้าและกลับมาที่นี่ก็เป็นเวลาบ่ายพอดี พวกเขาเดินเข้ามาในบ้านหลังโตด้วยสภาพที่มีถุงขนมมากมายกับของใช้ส่วนตัวสะพายอยู่บนแขน เมื่อเดินมาที่ห้องรับแขกซึ่งเป็นจุดที่แม่บ้านและคนอื่น ๆ จะเดินผ่านกันเป็นประจำ ทั้งสองก็วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ ส่วนคุณแมรีก็อาสาออกไปตามคนงานในบ้านให้มารวมตัวกันในห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวฉันไปตามทุกคนมาให้เองค่ะ คุณหนูรออยู่ที่นี่นะคะ” “ครับ ผมฝากด้วยนะ” ระหว่างรอคุณแม่บ้านออกไปตามคนอื่น ๆ ร่างสันทัดก็ฟุบกายลงมานั่งบนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้องนั่งเล่น แล้วเปิดดูห่อขนมที่ซื้อมาด้วยท่าทีมีความสุข “น่ากินจัง... ถึงแม้ตอนสั่งจะลืมสั่งของตัวเองมาด้วยก็เถอะ” “ซื้ออะไรมา?” “....” ใบหน้าเปี่ยมสุขหายไปในทันที แค่เพียงได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำอันแสนคุ้นเคยที่พึ่งจะทะเลาะกันเมื่อเช้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเพนก็หายไป ก่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฟิลิปส์ที่สวมชุดสูทสีไวน์เข้ม ๆ คงกำลังจะออกไปทำธุระด้านนอก “ถามทำไมครับ?” “แล้วคิดว่าฉันถามทำไมล่ะ?” เพนไม่ตอบอะไรนอกจากกลับมาสนใจถุงขนมตรงหน้า แต่แล้วอีกฝ่ายก็ยื่นมือเข้ามาหยิบขนมกล่องหนึ่งออกไปจากถุง “นี่! ทำอะไร!” ชายหนุ่มรีบลุกจากโซฟา เขาพยายามเอื้อมมือเข้าไปหยิบขนมที่อยู่บนมือของฟิลิปส์คืนมา แต่มันก็ถูกยกขึ้นไปสูง ๆ จนเอื้อมไม่ถึง “ถามแล้วไม่ตอบว่ามันคืออะไร ก็แค่จะดู” “มันก็แค่ขนมจะอยากดูไปทำไม เอาคืนมาได้แล้วครับ!” เพนตัดสินใจกระโดดเข้าไปหยิบกล่องขนมที่อยู่บนมือของฟิลิปส์ แม้จะจับมันได้แต่สภาพของกล่องก็เริ่มปี้บุบจากการยื้อแย่งมันอยู่สักพัก “ปล่อยสิ!” “แล้วทำไมฉันต้องปล่อย” “ก็มันไม่ใช่ของคุณ หวะ?!” ยิ่งดึงกล่องกลับเข้าตัวมากเท่าไหร่ แรงต้านจากอัลฟ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็จะมีแต่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะทั้งคู่เอาแต่ยื้อแย่งกันไปมาไม่จบสักที กล่องที่สภาพไม่อาจเก็บของหวานไว้ด้านในอีกต่อไปได้ถึงได้ฉีกออกจากกันจนเค้กช็อกโกแลตชิ้นเล็กป้ายลงไปบนเสื้อของฟิลิปส์เต็ม ๆ “...ขะ ขอโทษ” เพนยืนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วรีบหยิบทิชชูเปียกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดเสื้อที่เปื้อนเค้กให้อย่างระวัง “ขอโทษนะ ผมไม่ตั้งจะทำชุดคุณเปื้อ-” “ตุบ!” ร่างสันทัดตั้งหน้าตั้งตาเช็ดเสื้อของคนตรงหน้าจากรอยเปื้อนโดยไม่ทันมอง แต่แล้วเค้กช็อกโกแลตที่บรรจุในกล่องบู้บี้บนมือของฟิลิปส์ ก็ฟาดลงมายังแก้มของชายหนุ่มจนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเค้กช็อกโกแลตชิ้นน้อยและเปื้อนไปหมด “...?!” “คุณหนูคะ!” “ขอโทษแล้วชุดฉันกลับมาสะอาดเหมือนเดิมไหมล่ะ?! คิดว่าแค่เช็ด ๆ แล้วมันจะหายหรือไง!!” แมรีที่พึ่งกลับมาหลังตามคนงานที่ทำงานอยู่ในบ้านมาจนหมดก็หลุดตะโกนออกไปด้วยความตกใจ เธอพยายามจะเข้ามาขวางเอาไว้ แต่เมื่ออัลฟ่ายีนเด่นเจ้าของบ้านจ้องมองหล่อน ร่างกายมันก็ขยับไปไหนไม่ได้ราวกับถูกล่ามโซ่ให้ขาติดกับพื้น “ฟิลิปส์ผม..” “รู้ไหมว่าฉันต้องออกไปทำงานข้างนอกด้วยชุดนี้ แล้วมันก็เป็นชุดออกงานตัวเก่งของฉัน จะให้ฉันออกไปทำงานสภาพที่มีกลิ่นสกปรก ๆ แบบนี้เนี่ยนะ?!” “ขอโทษครับ คุณ..ช่วยขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วเอาชุดนี้มาให้ผม ผมจะเอาไปซักให้ อึก!” ร่างหนาคว้ามือของชายหนุ่มเข้ามาจับเอาไว้จนแน่น ว่าแล้วก็ใช้ปลายเล็บจิกลงไปบนแผลที่ฝ่ามือเมื่อครั้งโดนแก้วบาดในหลายวันก่อนจนเลือดไหลออกมา “อ..โอ๊ย!” “คุณฟิลิปส์คะ! ทำแบบนั้นคุณหนูเจ็บนะคะ!” “ไหนล่ะ! เมื่อเช้ายังปากดีอยู่เลยนี่ ทำไมไม่ปากดีต่อไปล่ะ! พูดขอโทษเป็นอย่างเดียวหรือไง? เลิกทำตัวสำออยอิดออดน่ารำคาญสักที ทุกทีก็ชอบเขวี้ยงข้าวของใส่คนอื่นเขาไปทั่วไม่ใช่หรือไง?!” “ฟิลิปส์.. ฮึก รุ่น..รุ่นพี่ครับ ผมเจ็บ” ใบหน้าพริ้มเพราพยายามดึงมือของเขาออกมา น้ำตาเริ่มไหลนองจนตาแดงก่ำ แค่เพียงจ้องหน้าอีกฝ่ายก็ขนลุกซู่ไปหมด แต่เพราะคนตรงหน้ายิ่งแผ่รังสีโดยการขู่จากฟีโรโมนแรง ๆ ร่างกายมันก็ขยับไปไหนไม่ได้อยู่ดี “ขอร้อง..ผมเจ็บ ปล่อยเถอะนะ” “พอได้แล้วฟิลิปส์” ท่ามกลางความตึงเครียดที่มีแต่จะทวีคูณ เพียงไม่นานบรรยากาศก็เริ่มเบาบางลงเมื่อกลิ่นฟีโรโมนอ่อน ๆ เหมือนกับกลิ่นของหยาดฝนเย็น ๆ ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา กระทั่งเจ้าของเสียงอันแสนอ่อนโยนได้ว่ากล่าว...เขาก็ยื่นมือไปจับแขนของฟิลิปส์เอาไว้ “พอได้แล้ว นายรีบกลับห้องไปเปลี่ยนชุดจะดีกว่านะ” “โจ...” นัยน์ตาสองสีจ้องมองเพื่อนสนิทของเขาเช่นโจเซฟผู้เดินเข้ามาหยุดยั้งบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพียงไม่นานรังสีความกดดันที่ฟิลิปส์ปล่อยออกมาก็เบาบางลงจนเพนดึงมือออกมาได้สำเร็จ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยน้ำตาอันไหลอาบแก้ม เช่นเดียวกับเลือดที่หยดลงบนพื้นตามทางไปถึงประตูทางออกพร้อมกับแมรีผู้วิ่งตามออกไป “รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องงานกัน” “...เฮ่อ” เขาสะบัดแขนที่โจเซฟจับเอาไว้เบา ๆ จ้องมองแม่บ้านผู้ยืนมุงดูสถานการณ์ด้วยอารมณ์หงุดหงิด “มองห่าอะไร? รีบเข้ามาเก็บกวาดของพวกนี้ไปสิ!” “ค..ค่ะ!” “ฮึก... ฮือออ~” ภายในสวนสวย ๆ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่ระบายแห่งเดียวของเพนเมื่อมีความทุกข์ เขาวิ่งออกมาจากบ้านแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เล็ก ๆ ภายในสวนเพียงลำพัง ปล่อยเสียงโฮออกมาพร้อมกับกำมือของตัวเองจนแน่นด้วยความเจ็บ “ไม่อยากอยู่ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮึก.. ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย ฉัน..ฉันทำอะไรผิดถึงต้องมาอยู่ที่นี่..” “คุณหนูคะ” แม่บ้านผู้วิ่งตามมาถึงสวนรีบเข้ามาดูมือทั้งสองข้างที่มีรอยแผลของอีกฝ่าย ไม่นานสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความกังวล “เดี๋ยวฉันจะไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้นะคะ” “แมรี ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากกลับบ้านเรา พาผมกลับบ้านได้ไหม ผมอยากไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน” “แน่นอนค่ะ ไว้เรากลับไปหาคุณหญิงกับคุณท่านกันนะคะ คุณหนูของฉัน... ขอโทษนะคะที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย” “คุณไม่ผิดหรอก ก็เขาปล่อยฟีโรโมนกดดันทุกคนนี่ครับ” “...ตาย ๆ เลือดไหลไม่หยุดเลย ฉันจะรีบไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้นะคะ อยู่คนเดียวได้ไหม?” เธอมองผ้าพันแผลที่เต็มไปด้วยเลือดก็ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ “ผมอยู่คนเดียวได้ครับ คุณรีบไปเถอะ” “ฉันจะรีบมานะคะ” ไม่นานแม่บ้านก็รีบวิ่งไปจากสวนเพื่อหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่เก็บอยู่ในครัวด้านหลังของบ้านหลังโต ขณะเดียวกันร่างที่เอาแต่นั่งตัวสั่นอยู่ในสวนก็กลับมาร้องไห้อีกครั้งด้วยความเหนื่อยกับการอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อันไร้ความสุข “ทั้ง ๆ ที่เขาใจร้ายขนาดนี้แต่ตัวเราที่นี่ก็ยังเลือกจะอยู่ต่อ...” ปลายนิ้วเรียวสวยยกขึ้นมาสัมผัสบริเวณหลังคอของตัวเอง “แต่งงานอยู่ด้วยกันมาสามปี.. พันธะก็ไม่มี..ไม่อยากนึกสภาพตอนที่เข้าหอด้วยกันหลังแต่งงานเลย” “ดูเหมือน...เรามาเจอกันจังหวะไม่ดีอีกแล้วนะ” “...?” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของเสียงพูดดังกล่าวผู้ยืนห่างกันไม่ไกล ไม่นานก็รีบเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว “คุณโจเซฟ?” “เดี๋ยว ๆ อย่าเช็ดแบบนั้นสิ!” พอเห็นชายหนุ่มกำลังเช็ดจนเลือดเปื้อนหน้าแทน ชายร่างสูงก็รีบเดินเข้ามาแล้วย่อตัวลงไปอยู่ตรงหน้าเพื่อจับมือนั้นเอาไว้หวังห้ามปราม “อย่าเอามือที่เปื้อนเช็ดสิ หน้าเปื้อนหมดแล้ว อะ..เวรกรรม รอบนี้ไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้ามาด้วยแฮะ” นัยน์ตาสีเทาอ่อนกวาดตามองไปรอบ ๆ สวน แต่สุดท้ายก็ถอดเสื้อสูทสีครีมของตัวเองออกมา แล้วใช้เสื้อกดแผลที่มือทั้งสองข้างเอาไว้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เลือดไหลไปมากกว่านี้ “เดี๋ยวสิครับ นั่นมันเสื้อของคุณ” “ไม่เป็นไร เสื้อตัวนี้มันคับอยู่แล้ว คิดว่าใส่รอบนี้ก็ว่าจะทิ้งอยู่พอดีน่ะ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือเข้าไปเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือด แต่ดูเหมือนยิ่งเช็ดจะยิ่งเลอะหนักกว่าเดิมจนต้องหยุดชะงักมันไว้แค่นั้น “โทษที..เหมือนยิ่งเช็ดยิ่งเลอะหนักกว่าเดิม” “....ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” “หื้ม? เรื่องแค่นี้เองไม่จำเป็นหรอก” เพนผู้เอาแต่นั่งก้มหน้าค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ ใจหนึ่งก็อยากจะไว้ใจโจเซฟให้มากขึ้น แต่เพราะระแวงต่อการกระทำที่เคยเจอเมื่ออยู่ในโลกของตัวเอง มันจึงยากที่เขาจะไว้ใจ “อย่างร้องไห้เลยนะ พี่บอกแล้วใช่ไหม หน้าสวย ๆ ของเราเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า” “...ผมจะยิ้มเยอะ ๆ” “เฮ่อ...แต่ฟิลิปส์มันก็ทำเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ ถามได้ไหมว่าทำไมถึงยังทนอยู่กับเจ้านี่ต่อ” เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองจึงได้ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย มันยากที่จะพูดออกมา เพราะในตอนนี้เพนเองก็ไม่อาจแน่ใจ ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฟิลิปส์คนนี้แล้วเขารู้สึกยังไงกันแน่ ทุกครั้งเมื่อสบตาก็จะรู้สึกใจสั่น แต่มันก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อแววตาที่มองตอบกลับมาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรอย่างเมื่อก่อน ทุกอย่างมันตีวนกันไปหมด เพนยังไม่อาจจัดการกับความรู้สึกของเขาได้ในตอนนี้ “เพราะ...รักมั้งครับ” “งั้นเหรอ...” ไม่นานโจเซฟก็ยื่นมือเข้ามาลูบหัวของเพนอย่างแผ่วเบา “แต่ถ้ารักมันทำให้เจ็บมากขนาดนี้ บางทีเราก็ต้องมองย้อนกลับมารักตัวเองด้วยนะ” “คุณหนูคะ ฉันมาแล้วค่ะ” ผ่านไปสักพักไม่นานแมรีก็วิ่งมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล ในขณะเดียวกันเมื่อมีคนเข้ามา โจเซฟผู้คอยอยู่เป็นเพื่อนก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วปล่อยมือที่จับเสื้อของเขาเพื่อห้ามเลือดออกช้า ๆ “งั้นพี่ไปก่อนนะ ต้องไปคุยงานกับฟิลิปส์น่ะ” “ครับ อ๋อใช่ ผ้าเช็ดหน้า..คุณแมรีครับ ผมรบกวนช่วย..” “ฮ่าฮ่า ยังไม่ต้องเอามาคืนก็ได้ ทำแผลก่อนเถอะ” “แต่ไหน ๆ คุณก็มาแล้ว” “จะได้เป็นข้ออ้างมาเที่ยวที่บ้านนี้วันหลังเพราะงั้นยังไม่ต้องคืนหรอก โอ๊ะ...สายแล้ว เดี๋ยวเจ้านั่นอารมณ์เสียอีก พี่ไปก่อนนะ” เมื่อจ้องมองนาฬิกาข้อมือก็สายมากแล้วที่เขาต้องรีบไปหาฟิลิปส์ในห้องทำงาน ไม่นานอัลฟ่าร่างสูงผู้แสนใจดีจึงขอแยกตัวเดินออกไปจากสวน “....” “คุณโจเซฟน่ะ ใจดีมากเลยนะคะ” “ครับ? งั้นเหรอ?” “อื้ม รู้ไหมคะ วันที่คุณหนูจมน้ำในสระ ก็ได้คุณโจเซฟเป็นคนเข้ามาช่วยไว้นะคะ” ระหว่างจ้องมองแผ่นหลังกว้าง ๆ เดินจากไป คุณแมรีก็ได้พูดเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขณะทำแผลให้เพนอย่างระมัดระวัง “งั้นเหรอครับ..” ชายหนุ่มก้มมองเสื้อสูทสีครีมของโจเซฟที่ทิ้งเอาไว้ระหว่างอุดแผลไม่ให้เลือดไหลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานจึงได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่ด้านบน “ก็คง..จะเป็นคนดีแหละมั้ง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม