ตอนที่ 7 ขอวันหยุด

1287 คำ
กรวิชญ์ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อย ผมด้านหน้าถูกเซตขึ้นอย่างเนี้ยบ เขายืดหลังให้ตรง พยายามรักษาท่าทีมืออาชีพอย่างที่จริญญาเคยสอน “หน้าเคาน์เตอร์คือตำแหน่งแรกที่ลูกค้าเห็น ต้องนิ่ง ต้องสุภาพ และต้องยิ้ม” เสียงกระเป๋าลากดังเข้ามาใกล้ “สวัสดีค่ะ มากี่ท่านคะ” พนักงานสาวข้างๆ กล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงสดใส กรวิชญ์ยิ้มตามอย่างเก้ๆ กังๆ ลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มีทั้งคนอารมณ์ดีและคนที่ดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน หนึ่งในนั้นพูดเสียงห้วน “เราจองไว้แล้วนะครับ แต่หาอีเมลยืนยันไม่เจอ จะเข้าพักตอนนี้เลย” “รบกวนขอชื่อ นามสกุล กับบัตรประชาชนหน่อยครับ” กรวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บอกชื่อไปแล้วเมื่อกี้ ทำไมยังต้องถามอีก” ลูกค้าพูดเสียงดัง ทั้งๆที่ยังไม่ได้บอกข้อมูลอะไรด้วยซ้ำ จริญญาที่อยู่ด้านหลังส่งสายตาเตือนให้เขาใจเย็น กลัวเหลือเกินว่าลูกชายเจ้านายจะอดกลั้นไม่อยู่ แต่กรวิชญ์คุมอารมณ์ได้ดีเกินคาด เขายิ้มบางๆ ก่อนพูดช้าและชัด “ผมต้องยืนยันข้อมูลเพื่อความถูกต้องครับ จะได้เช็กอินให้เรียบร้อยไวที่สุด” “เอาไป” ลูกค้ายื่นบัตรประชาชนให้ด้วยความหงุดหงิด กรวิชญ์มองไปที่จอคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์ค้นหาอย่างที่จริญญาสอน พยายามใจเย็นแม้ลูกค้าจะเริ่มแสดงท่าทีไม่สุภาพใส่ ไม่กี่นาทีต่อมา เขาค้นเจอชื่อจองจริงๆ และรีบจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมส่งกุญแจห้องกับบัตรผ่านอย่างสุภาพ “เรียบร้อยแล้วครับ ขอให้คุณลูกค้าพักผ่อนอย่างมีความสุขนะครับ” “อืม” ลูกค้าชายที่เคยเสียงดังเมื่อครู่พยักหน้าส่งเสียงตอบรับเบาๆ แล้วลากกระเป๋าไป กรวิชญ์ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก “เป็นไงคะวิชญ์ นี่แค่เช็กอินง่ายๆ นะ บางทีลูกค้าหงุดหงิดกว่านี้ก็มี ต้องนิ่งและยิ้มเข้าไว้” จริญญาพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ผมเพิ่งรู้เลยครับ ว่าหน้าที่ตรงนี้ต้องใช้ความอดทนขนาดนี้” เขายิ้มบางๆ แต่ในใจกลับรู้สึกภูมิใจที่รับมือได้โดยไม่หลุดชักสีหน้า เข้าใจแล้วว่างานบริการไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กรวิชญ์มองเคาน์เตอร์ตรงหน้า จุดที่เขาเคยไม่สนใจมาก่อน วันนี้เขากลับรู้สึกว่างานจริง มันไม่ได้ง่ายเลย แต่เขาพร้อมจะเรียนรู้มันให้ดี ระหว่างที่กรวิชญ์กำลังตั้งใจเรียนรู้อย่างเอาจริงเอาจัง และเรียนรู้งานที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ อารียาแอบยืนอยู่มุมเสาใกล้เคาน์เตอร์ มือถืออยู่ในมือกำลังกดถ่ายรูปรัวๆ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มไม่ปกปิด เขาไม่ได้ทำตัวเหลาะแหละหรือว่าต่อต้านจริญญาที่กำลังสอนงานอยู่ แต่ให้ความเคารพผู้จัดการสาวเป็นอย่างดี อีกทั้งหน้าตาก็ดูตั้งใจและมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เธอยกกล้องขึ้นถ่ายภาพลูกชายในอิริยาบถต่างๆ แล้วส่งรูปให้สามี พร้อมข้อความสั้นๆ “คุณดูสิ ลูกเราจริงจังขนาดนี้ ฉันปลื้มใจมาก” ไม่กี่วินาทีต่อมา ประณตก็ตอบกลับมา “ดีแล้ว แต่ไม่รู้จะอดทนได้ถึงวันไหน” อารียาหัวเราะเบาๆ ขณะมองลูกชาย ที่วันนี้ไม่ได้เป็นเพลย์บอยเจ้าสำราญ แต่เป็นชายหนุ่มที่กำลังทำงานอย่างตั้งใจจริง ในตอนเย็น ประณตนั่งพิงพนักโซฟาหนังอย่างสงบนิ่ง ข้างกายคืออารียาที่กำลังจิบน้ำผลไม้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะลูกชายเพิ่งกลับจากรีสอร์ตในชุดยูนิฟอร์มพนักงาน เขาก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน “พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากขออนุญาตอะไรหน่อย”เสียงของเขามีน้ำเสียงเรียบ แต่ชัดเจน “หึ ว่าแล้วเชียว ทำตัวดีขึ้นสองสามวันนี้ ที่แท้แกก็มีผลประโยชน์ คราวนี้อยากได้อะไรอีกล่ะ วงเงินบัตรเครดิต รถยนต์รุ่นใหม่ หรือที่ดิน” ประณตเหลือบตามองเล็กน้อย พูดประชดลูกชายที่เพิ่งฝึกงานได้สองวันก็มีข้อเรียกร้องกับตนเสียแล้ว “ไม่ใช่ครับ ผมแค่จะขอวันหยุด” กรวิชญ์รีบบอกจุดประสงค์ของตนเอง “เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่วันเองนะ ไม่ไหวแล้วเหรอ หึ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าอย่างปรามาส “เปล่าครับพ่อ ผมอยากขอหยุดสองวันต่อสัปดาห์ ทุกวันพุธกับพฤหัสฯ ครับ เป็นพนักงานก็ต้องมีวันหยุดไม่ใช่เหรอครับ” เขารีบอธิบายพร้อมรอยยิ้มที่กวนเล็กน้อย “หยุดกลางสัปดาห์เหรอลูก ช่วงนั้นรีสอร์ตไม่ค่อยมีลูกค้า ก็ได้นะคะ แม่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงที่เห็นด้วย “ให้เหตุผลหน่อยสิ ว่าทำไมต้องหยุดสองวัน แกเป็นเจ้าของ เจ้าของเขาไม่หยุดพักหรอกนะ” เขาถามลูกชาย กรวิชญ์สูดหายใจลึก ก่อนจะตอบอย่างไม่ลังเล “ผมจะใช้สองวันนี้ไปจีบลูกสะใภ้มาให้พ่อกับแม่ครับ” ห้องเงียบกริบไปชั่วอึดใจ อารียาชะงัก แล้วมองหน้าลูกชายอย่างประหลาดใจ “ลูกสะใภ้ พูดแบบนี้ หมายความว่าคนนี้เอาจริงเหรอวิชญ์” เธอถามลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะอยากเชื่อนัก แต่เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นเขาพูดถึงเรื่องนี้ “จริงครับ คนนี้ผมตั้งใจจริง ผมอยากให้เธอมาเป็นภรรยาของผม เป็นแม่ของลูก” รอยยิ้มมุมปากของเขาอ่อนโยนแต่จริงจัง “ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น ผู้หญิงคนนั้นหว่านเสน่ห์อะไรใส่แก” ประณตถามเสียงเข้ม แต่แฝงด้วยความสนใจ “เธอจะหว่านเสน่ห์อะไรล่ะครับ ออกจะดูไม่ชอบหน้าผมเสียด้วยซ้ำ” เขาพูดแล้วทำหน้าเซ็ง “มีผู้หญิงที่ไหนปฏิเสธแกเหรอ” “ครับ คนที่ช่วยผมไว้น่ะ เธอเป็นเจ้าของสวนมะพร้าว สร้างธุรกิจด้วยตัวเอง เธอเก่งมากเลยนะครับพ่อ เพราะเธอทำให้ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองครับ อยากเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่ไม่ใช้ชีวิตไปวันๆ” น้ำเสียงของกรวิชญ์นิ่งเรียบ ดวงตาเต็มไปด้วยประกายบางอย่างที่ผู้เป็นพ่อแม่ไม่เคยเห็นมาก่อน อารียามองสามีแล้วอมยิ้ม “ฉันว่าให้ลูกเขาไปเถอะค่ะคุณ อย่างน้อยช่วงนี้เขาก็ทำตัวดีขึ้นมาก” “ก็ได้ แต่อย่าทำให้เสียชื่อบ้านเราล่ะ” ประณตพ่นลมหายใจยาว “ขอบคุณครับ” กรวิชญ์ยกมือไหว้ด้วยสีหน้าดีใจ ก่อนจะขออีกอย่างที่ทำเอาประณตกลั้นโมโห “ผมขอยืมรถบ้านของพ่อด้วยนะครับ” “นั่นพ่อเพิ่งถอยมา จะพาแม่แกไปเที่ยวนะ” ประณตรีบพูดแทรก “ให้ลูกไปเถอะค่ะคุณ รถบ้านนั่นฉันลองนั่งแล้วเวียนหัวจะแย่ เราอายุมากแล้วไม่เหมาะกับการออกแคมป์หรอกค่ะ” อารียาเกลี้ยกล่อมสามี เขาซื้อรถบ้านกะจะพาเธอออกทริปเที่ยวแคมป์ แต่ไม่ปรึกษาเธอก่อนเลย พ่อกับลูกเอาแต่ใจพอๆกัน “งั้นเอาไปเถอะ ใช้ถนอมๆด้วยล่ะ” ประณตบอกแล้วพ่นลมหายใจออกมา “ขอบคุณครับ” ลูกชายคนโตพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมรอยยิ้ม “เห็นไหมคะคุณ คราวนี้ลูกเราเปลี่ยนไปจริงๆ ฉันเชื่อนะคะว่าผู้หญิงคนนั้นตาวิชญ์จริงจังมาก ลูกไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีแบบนี้มาก่อนเลย” อารียาหันไปพูดกับสามีเสียงเบา “หวังว่าจะไม่ใช่ความชอบชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนทุกครั้ง” ประณตตอบพลางมองตามหลังลูกชายด้วยสายตาที่มีความหวังอยู่ลึกๆ ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม