ที่สวนมะพร้าวของตุลยาที่ตรัง หญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน และรวบผมมัดขึ้นหลวมๆ กำลังตรวจนับจำนวนมะพร้าวที่กำลังถูกขนขึ้นท้ายรถอย่างตั้งใจ
หลังจากเสร็จสิ้นเธอรับเงินสดอย่างเช่นเคย จ่ายค่าแรงให้คนงานทั้งหกคนด้วยเงินสด ก่อนที่เธอจะหันไปมองด้านหลังด้วยความเคยชิน
ช่วงเวลาแบบนี้ ปกติแล้วจะมีสายตาคมคู่นั้นจ้องมองเธออยู่ไม่ไกล สายตากึ่งกวนกึ่งจริงจังของเขา ที่มักจะทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจ แต่ก็แปลกที่มันทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่เงียบเหงา
เขามักจะเดินเข้ามาถามเรื่องการซื้อขายและเกร็ดความรู้ต่างๆด้วยความสนใจ แต่เธอรู้ว่านั่นเป็นเพียงการที่เขาหาเรื่องพูดคุยกับเธอเท่านั้น แต่วันนี้ไม่มีคำถามที่แฝงด้วยผลประโยชน์นั้นอีก ไม่มีแววตาซุกซน ไม่มีคนที่แกล้งพูดเย้าอะไรให้เธอโมโหเล่น
หัวใจเธอเหมือนเงียบตามสวนไปด้วย
“แปลกจัง” เธอบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วส่ายหน้าแรงๆ ไล่ความคิดไร้สาระ
“จะมาใจหายอะไร ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ที่เขากลับไปแล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง ลมอ่อนพัดผ่าน ทำให้ผมด้านข้างปรกแก้ม เธอเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขาเคยบอกว่าจะกลับมาเพื่อจีบเธอ ตอนนั้นเธอหัวเราะเยาะในใจ คิดว่าเป็นแค่คำพูดเล่นของคนเจ้าชู้ที่ปากหวานไปทั่ว
กระบี่กับตรัง ระยะทางไม่ใช่แค่ขับรถข้ามตำบล แต่เป็นข้ามจังหวัด จะให้เขามาจีบเธอถึงนี่จริงจังได้อย่างไร
“ไม่มีทางหรอก” เธอพูดกับตัวเองเสียงเบา แต่พอยิ่งพูด ก็ยิ่งรู้สึกแปลบๆ ที่อกด้านซ้าย ความเงียบที่ควรจะสบาย กลับทำให้เธอรู้สึกวูบโหวงในอก
“เพราะความเคยชินมันน่ากลัวแบบนี้สินะ” เธอสะบัดหน้าเหมือนจะปัดความคิดนั้นทิ้ง แล้วเดินกลับบ้านพักด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนผิดหวังกับอะไรบางอย่าง
**********************
เสียงเครื่องยนต์เงียบลงพร้อมกับล้อรถที่หยุดนิ่งตรงหน้ารั้วสวน ละไมที่กำลังยื่นขวดน้ำมะพร้าวให้ลูกค้าประจำชะโงกหน้าออกไปดู เห็นรถกระบะสีขาวลากพ่วงรถบ้านอยู่ท้ายกระบะ พอเห็นว่าคนขับเป็นกรวิชญ์ เธอก็หัวเราะเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปปลดกลอนรั้ว
“อ้าว พ่อวิชญ์ มาได้ยังไงล่ะ” เธอร้องถามเสียงดัง แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
กรวิชญ์ยิ้มมุมปาก พลางลดกระจกลง “สวัสดีครับน้าละไม ผมมาเยี่ยมคุณมายด์ครับ”
“เดี๋ยวน้าเปิดประตูให้” ละไมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเปิดรั้วให้รถแล่นเข้ามา
เขาขับเข้าไปจอดหน้าบ้านพักคนงานที่เขาเคยอยู่ การมาครั้งนี้เขามาในฐานะผู้ชายที่จะมาจีบตุลยา ไม่ใช่คนที่ไร้ตัวตนอย่างเคย
ไก่โต้งที่เพิ่งหิ้วบัวรดน้ำเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ยกคิ้วขึ้น สงสัยว่าใครลากรถบ้านเข้ามาจอดที่หน้าที่พัก
“อ้าว พี่วิชญ์ มาจริงเหรอเนี่ย”
กรวิชญ์เปิดประตูลงจากรถด้วยท่าทีสบายๆ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกข้างโบกทักทาย
“ก็แน่นอนสิ มาจีบพี่มายด์” เขาตอบพลางยกยิ้มและยักคิ้วเล็กน้อย
“หูย ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้ ถึงขั้นลางานมาจีบสาวเลยเหรอ” ไก่โต้งลากเสียงยาวก่อนจะหัวเราะชอบใจ
“ถ้าพูดเล่น ระวังได้ฟาดหัวด้วยพร้า คุณมายด์ไม่ใช่คนที่ใครจะมาจีบเล่นๆ นะ” โขงที่เดินตามมาสมทบหิ้วถังน้ำพอดี เสริมขึ้นทันที
“พูดจริงสิ ครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ” กรวิชญ์หัวเราะในลำคอ เสยผมขึ้นอย่างมั่นใจ
ไก่โต้งกับโขงมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะพร้อมกันเสียงดัง
“งั้นก็ขอให้รอดจากสายตาดุๆ ของพี่มายด์ด้วยแล้วกัน” ไก่โต้งยิ้มล้อ
“ไม่ใช่แค่รอด แต่จะทำให้เธอยิ้มทุกวันต่างหาก” เขายกคางขึ้นนิดๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์
ตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ตุลยาจะเดินออกมาจากบ้านในชุดเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงขายาวพับปลาย เธอหยุดยืนทันทีที่เห็นชายหนุ่มในชุดลำลองพอดีตัวยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าบ้าน
“สวัสดีตอนเช้าครับ คุณมายด์”
“มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะคุณ” ตุลยาเท้าเอว มองเขาด้วยสายตากึ่งขุ่นกึ่งยินดี
“ก็มาจีบคุณไงครับ” เขาพูดหน้าตาเฉย น้ำเสียงมั่นใจเหมือนเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลก
“ไม่มีงานทำหรือไง ถึงได้ว่างมาพูดเหลวไหลถึงนี่” เธอกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจแรง
“มีสิครับ แต่ผมได้หยุดสัปดาห์ละสองวัน สองวันนี้ผมตั้งใจจะมาอยู่ที่นี่ ช่วยงานคุณ แล้วก็จีบคุณไปด้วย” เขารีบตอบ
“ช่วยงานเหรอ ไม่ต้องหรอก ฉันมีคนงานพอแล้ว”ตุลยาเลิกคิ้วขึ้นสูง กรวิชญ์ทำหน้าละห้อยแบบเด็กถูกขัดใจ
“มีคนมาช่วยงานฟรีทั้งคน ไม่เอาเหรอครับพี่สาว พี่ใจร้ายจัง”
“ใจร้ายตรงไหน นี่เรียกว่าไม่อยากปวดหัวเพิ่มต่างหาก แล้วอีกอย่าง เรียกฉันว่าพี่อีกคำเดียว นายโดนแน่” เธอส่ายหน้า เวลาเขาเรียกเธอว่าพี่ทีไรมันรู้สึกหงุดหงิดปนใจเต้นอย่างน่าประหลาด
“ครับคุณมายด์ งั้นผมขอจอดนอนที่หน้าบ้านพักนะครับ”
“จะจอดไหนก็จอด” เธอพูดเสียงเรียบแล้วหมุนตัวจะเดินกลับเข้าบ้าน แต่ตอนหันหลังให้เขา มุมปากของเธอกลับแอบยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
กรวิชญ์มองแผ่นหลังเธอที่ห่างออกไป ยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันว่าเธอไม่ได้รำคาญจริงอย่างที่ปากว่า
“ผ่านด่านแรก ไม่ถูกไล่กลับ” เขาหันไปยิ้มให้ไก่โต้งและโขงที่ยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองยกนิ้วหัวแม่มือให้เขาเป็นทำนองว่า ‘แน่มาก’
//////////
ในตอนบ่าย กรวิชญ์เดินออกมาจากในสวนในสภาพเหงื่อท่วม เสื้อยืดสีเทาเปียกแนบไปกับแผ่นหลัง ผมที่เคยเซตอย่างดีตอนเช้าเปียกยุ่งยุ่ยไปหมด แต่ใบหน้าเขากลับยิ้มกว้าง ทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกแปลกใหม่
กลิ่นแกงใต้ลอยมาเตะจมูกแรงจนจามเกือบไม่ทัน ละไมที่กำลังตักข้าวอยู่ตรงหม้อหุงข้าวเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็หัวเราะ
“โอ้โห หน้าแดงตัวแดงเลยพ่อวิชญ์”
“ทำอะไรกินครับ หิวจะตายอยู่แล้ว” เขาหัวเราะตอบ พลางหยิบจานกับช้อน
ตรงมุมหนึ่ง นรีสาววัยรุ่นตัวเล็กที่ช่วยงานในสวนเดินถือจานอาหารเข้ามา “พี่วิชญ์ แม่ไม่รู้พี่จะมาก็เลยทำแกงเผ็ดใต้ไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว พี่น่ากินเผ็ดไม่ได้ พี่มายด์เลยให้ฉันเอาข้าวผัดมาให้”
“ขอบคุณนะ ฝากขอบคุณคุณมายด์ด้วย” กรวิชญ์รับจานข้าวผัดมา ยิ้มอบอุ่นอย่างจริงใจ
“ค่ะ” นรีรับคำแล้วเดินไปตักข้าวมานั่งกินข้างมารดา
“โห พี่วิชญ์ มาถึงวันแรกก็ได้สิทธิพิเศษแล้วนะ ข้าวผัดเดลิเวอรี่จากพี่มายด์เชียว” ไก่โต้งพูดขึ้นมา
กรวิชญ์ยกไหล่นิดๆ ไม่ตอบอะไร ยกช้อนตักข้าวเข้าปาก คำแรกยังอุ่นๆ กลิ่นหอมเรียบง่ายแต่มีอะไรบางอย่างอบอุ่นในใจแทรกขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
“น้าละไมไม่ต้องทำอะไรพิเศษเผื่อผมนะครับ ต่อไปทำอาหารเหมือนเดิมเลย จะกินได้หรือไม่ได้ ผมจะหัดกินเอง” เขาพูดขึ้นหลังจากกลืนข้าวผัดลงไป จากนั้นก็ลองตักแกงเผ็ดมาชิม แล้วหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมด้วยความเผ็ดร้อน
“พี่นี่ทุ่มเทจีบพี่มายด์ขนาดนี้เลยเหรอ” ไก่โต้งมองเขาแล้วหัวเราะหึๆ
“พี่จริงจังนะไก่โต้ง คุณมายด์คือผู้หญิงที่ต่างออกไป พี่ไม่เคยอยากหยุดที่ใครเลย จนเจอกับเธอ” เขาพูดเรียบๆ แล้วตักข้าวผัดอีกคำ
ไก่โต้งทำตาโต ยกนิ้วให้ทันที “อย่างเท่ แต่พี่นะดูจากรถบ้านเคลื่อนที่คันเบ้อเริ่มที่ลากมา ฐานะคงไม่ธรรมดาแน่เลยใช่ไหมล่ะ”
“ฉันไม่รวยหรอก คนที่รวยน่ะ คือพ่อแม่ฉันต่างหาก” กรวิชญ์พูดทีเล่นทีจริงแล้วหัวเราะเบาๆ ทำให้คนอื่นๆหัวเราะไปด้วย
เขาก้มหน้ากินต่อเงียบๆ แล้วลองชิมแกงเผ็ดอีกคำก็ไปต่อไม่ไหว รีบกินข้าวผัดตามเข้าไปเพื่อลดความเผ็ดร้อนในปาก
ในใจกลับรู้สึกแน่วแน่ขึ้นอีกนิด เขาอยากให้ที่นี่เป็นมากกว่าแค่สถานที่พักผ่อนชั่วคราว อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นของความรักที่เขาจริงจังเป็นครั้งแรก
********************