“นั่งลงสิ”
ใบหน้าร้อนวูบไปหมด แต่จะปฏิเสธยังไงในเมื่อภาพของชินจิเมื่อครู่ยังติดตา
“ต้องนานเท่าไหร่ยาถึงจะออกฤทธิ์ ทำไมฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”
กึก!
ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองจนแตก ได้ยินเสียงดังกึกและเริ่มรู้สึกได้ถึงรสชาติเฝื่อนๆ ในโพรงปาก แต่ละคำที่ไดสึเกะพูดออกมาทำให้ฉันเข้าใจความหมายของคำว่าน้ำตาท่วมอกแล้วจริงๆ หัวใจเต้นหนักมากจนฉันกลัวว่ามันจะวาย ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของไดสึเกะที่กำลังเดินเข้ามาฉันยิ่งบังคับให้ตัวเองนิ่งได้ยาก
“ยกขาขึ้น”
“นาย...”
“ชู่! ฉันเริ่มรู้สึกแล้วสิ” ไดสึเกะกระซิบบอก เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้มากจนฉันต้องรีบหลับตาลงเพราะไม่อยากจะมองหน้าเขา แต่กลับยังรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าลมหายใจของเขาเป่ากระทบอยู่ที่ผิวแก้ม มันทำให้ฉันรู้สึกว่าใบหน้าของฉันร้อนผ่าวไปหมด
“ขยับก้นเข้าไปนั่งชิดๆ หน่อย เดี๋ยวก็ตกหรอก”
นั่นไม่ใช่คำเตือนเพราะหวังดีหรอก เพราะทันทีที่เขาดันให้ฉันถอยมานั่งชิดกับพนักพิงของโซฟา เขาก็จับสองขาของฉันยกขึ้นมาตั้งบนโซฟาตามไปด้วย เขาแค่อยากให้ฉันนั่งยกขาแบบนี้ได้ถนัดเท่านั้นเอง
“แยกขาออกสินามิ” ไดสึเกะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะกดจูบตามลงมาเบาๆ สัมผัสอุ่นๆ ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสบนใบหูเร้าให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นมาจนน่าอาย
“เธอยังสวยเหมือนเดิม”
คำชมนั้นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีขึ้นมาได้หรอก ตราบใดที่สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงร่างกายของฉัน ซึ่งไม่ว่าจะตอนก่อนหน้านี้หรือว่าตอนนี้ คนอย่างเขาคงไม่เคยต้องการอย่างอื่นเลย แม้แต่ความรู้สึกดีๆ ที่ฉันคิดว่าอาจมีสักเสี้ยววินาทีที่เขาพอจะรู้สึกกับฉันบ้าง แท้จริงแล้วก็คงไม่เคย
ฉันคงบ้าไปแล้วสินะที่คิดถึงเรื่องพวกนั้น ทั้งที่รอยร้าวระหว่างเรามันลึกเกินเยียวยา
“ในเมื่อเธอยอมคุกเข่าต่อหน้าฉันเพื่อปกป้องมัน ฉันเองก็จะยอมคุกเข่าตรงหน้าเธอเหมือนกันนามิ” ไดสึเกะยังคงกระซิบพูดกับฉันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา หากแต่ครั้งนี้เมื่อพูดจบ เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าฉันจริงๆ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเลย ตรงกันข้าม การที่เขาคุกเข่าลงทั้งที่ฉันนั่งอยู่ในสภาพแบบนี้ มันกลับยิ่งทำให้ฉันสั่นไปหมด
“จำไว้ให้ดีนะนามิ ว่าทางเดียวที่เธอจะทำให้คนอย่างฉันคุกเข่าให้เธอได้ มันต้องแลกมาด้วยอะไร”
“อื้อออ”
ร่างกายกระตุกเกร็งไปหมดเมื่อไดสึเกะก้มหน้าลงไปตรงกลางหว่างขาที่เขาเพิ่งจะจับมันแยกออกจากกันเมื่อครู่ สองมือและสองเท้าของฉันจิกลงกับโซฟาแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อรู้สึกได้ถึงความหวามไหวที่ไดสึเกะเพิ่งจะส่งมอบผ่านปลายลิ้นอุ่นร้อนของเขาที่เขาเพิ่งจะลากมันผ่านจุดที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะลอยขึ้นจากโซฟา
ไม่ว่าฉันจะพยายามหุบขาลงเท่าไหร่ แต่ก็สู้แรงของไดสึเกะไม่ได้เลย เขาพยายามใช้ริมฝีปากของเขาประทับจูบลงบนต้นขาด้านในของฉันซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นเพื่อปลุกร่างกายของฉันให้ตื่นตัว ไม่กี่วินาทีฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะอ่อนแรงลงทั้งที่ยังไม่ได้ลุกจากโซฟาเลยด้วยซ้ำ
“หึ!”
เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของไดสึเกะทำให้ฉันต้องหลับตาแน่นเมื่อไม่รู้จะลืมตามองความเป็นจริงได้ยังไง สัมผัสของไดสึเกะทำให้ฉันรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เสียงลมหายใจของฉันดังจนน่าอายและคิดว่าเขาเองก็คงได้ยินและกำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่ลึกๆ
“อื้อ...พะ พอแล้ว” ฉันร้องบอกเสียงกระเส่า แหงนหน้าขึ้นพิงกับพนักพิงของโซฟาจนรู้สึกได้ว่าลำคอตึงเปรี๊ยะ หากแต่คำขอร้องของฉันกลับไม่เป็นผลเมื่อไดสึเกะยังไม่ยอมเงยหน้ากลับขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
“ดะ ไดสึเกะ อื้อออ” เสียงครางอื้ออึงอยู่ในลำคอ ร่างกายกระตุกเกร็งอยู่ตลอดเวลาอย่างที่ไม่รู้จะต้องห้ามยังไง ฉันนั่งก้นไม่ติดโซฟาเลยด้วยซ้ำเมื่อไดสึเกะยังพยายามจะตักตวงเอาทุกอย่างที่เขาต้องการไปอย่างเอาแต่ใจ
เขาพยายามรั้งฉันเอาไว้ด้วยการตรึงสะโพกของฉันเอาไว้แน่น ทั้งที่ฉันพยายามจะกระเถิบถอยให้ห่าง สองมือพยายามจะผลักไหล่กว้างออกไป แต่ยิ่งผลัก เขาก็ยิ่งโน้มลงมาราวกับอยากจะฝังใบหน้าของเขาลงไปบนร่างกายของฉัน
“อื้อออ ดะ ไดสึเกะ พะ พอแล้ว พอ”
เป็นอีกครั้งที่ฉันพยายามจะร้องบอก ซึ่งครั้งนี้ไดสึเกะก็ยอมที่จะหยุด เขาเงยหน้ามามองฉันนิดหน่อย ริมฝีปากยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะยืดลำตัวขึ้นตรงดิก ทำให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
ผู้ชายตรงหน้าฉันคือปีศาจ และเขากำลังทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าไร้ศักดิ์ศรี เพราะเพียงแค่เขาโปรยยิ้มมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของฉันเบาๆ มันก็ทำให้ก้อนเนื้อในอกที่เต้นแรงอยู่ในอกค่อยๆ สงบลงได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ฉันพยายามบังคับมันอยู่ตั้งนานสองนานแต่มันกลับไม่เคยเต้นช้าลงแบบที่เขากำลังทำได้เลย
ไม่รู้ว่าฉันฝันไปรึเปล่าที่กำลังคิดว่าดวงตาของคนตรงหน้าดูอ่อนโยนลง ไดสึเกะลูบปลายนิ้วของเขาไปตามกรอบหน้าของฉันที่ตอนนี้มันกำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะเกลี่ยลงบนริมฝีปากเบาๆ จากนั้นเขาก็จับปลายคางฉันเบาๆ เพื่อเชิดใบหน้าของฉันขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้ามาใกล้เพื่อแนบริมฝีปากของเขาลงมา
“อื้อออ” เสียงครางเบาๆ ดังอยู่ในลำคอเมื่อไดสึเกะบรรจงจูบที่กลีบปาก ร่างสูงค่อยๆ ขยับขึ้นมาแล้วทาบตัวลงมาแนบชิดกับร่างกายที่เปลือยเปล่าของฉันอย่างแยบยล ซึ่งถึงแม้ว่าสมองกำลังย้ำเตือนเหตุผลและความเลวร้ายของไดสึเกะดังเท่าไหร่ มันกลับไม่สามารถกลบเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงเพราะเขาได้เลย
สมองกับหัวใจมันสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกับสัญชาตญาณของร่างกายที่กำลังโดนปลุกเร้าจากทุกทางด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะสุดท้ายแล้วฉันก็นอนอยู่ใต้ร่างของไดสึเกะทั้งที่น้ำตากำลังไหลเป็นสาย สับสนและตื่นกลัวในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่กำลังทำให้ฉันทรมานอย่างยากที่จะอธิบาย เพราะไม่ว่าจะรู้ว่าเขาเลวร้ายแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วกลับไม่เคยลืมเศษเสี้ยวของความรู้สึกดีที่เคยมีให้เขาได้เลย
“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วของไดสึเกะกำลังจดจ่ออยู่ที่กลางลำตัว ในขณะที่มืออีกข้างของเขากำลังเคล้นคลึงหน้าอกของฉันเบาๆ ซ้ำๆ หนักบ้างเบาบ้างเหมือนกำลังหลอกล่อให้ฉันตายใจ
ไม่ได้ร้อนแรง แต่กำลังแผดเผาให้ฉันร้อนรุ่มไปทั้งตัว
“เธอจะทำเพื่อคนอื่นยังไงก็ได้นามิ แต่จะเป็นของคนอื่นไม่ได้”
“อื้อออ”
ในที่สุดฉันก็ถูกไดสึเกะลากลงไปในห้วงของความปรารถนา ไม่มีทางหนีรอดออกไปได้เลยแม้สักทางเดียวเพราะทุกสัมผัสของเขาล้วนแล้วแต่ผูกมัดจนฉันดิ้นไม่หลุด
อึก!
ฉันลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ สองมือกำแน่นอยู่ที่ไหล่กว้างทั้งสองข้างของไดสึเกะเมื่อเขากำลังทำให้ฉันหลงลืมทุกอย่างรอบกายไปสนิทด้วยการใช้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสตัวตนของฉันและกำลังจะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้แตกสลาย
ริมฝีปากอุ่นร้อนครอบครองยอดอกของฉันเอาไว้ ปลายลิ้นที่ตวัดขึ้นลงจนฉันได้ยินเสียงไดสึเกะสูดปากอยู่หลายครั้งทำให้ฉันต้องแอ่นหน้าอกขึ้นเมื่อไม่สามารถนอนนิ่งได้อย่างที่ใจคิด ร่างกายบิดเกร็งอยู่ใต้ร่างของไดสึเกะที่ยังเล่นสนุกกับร่างกายของฉันราวกับว่าเขาเพิ่งจะค้นพบของเล่นใหม่ที่ถูกใจ ปลายนิ้วที่ยังจดจ่ออยู่ที่กลางลำตัวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ค่อยๆ สอดลึกเข้ามาเรียกเสียงครางกระเส่าของฉันให้หลุดออกจากริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะพยายามสะกดกลั้นมันยังไงก็ห้ามไม่อยู่
“อ้า...”
ความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ร่างกายของฉันกระตุกเกร็งจนต้องกอดไดสึเกะเอาไว้แน่น ความวูบโหวงและมวนท้องแบบที่ฉันกำลังรู้สึกทำให้ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองจนยากจะบรรยาย วินาทีนี้คงไม่มีอะไรทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าได้เท่ากับผู้ชายบนร่างที่เพิ่งจะเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตาฉันได้อีกแล้ว
ไดสึเกะค่อยๆ ลากปลายนิ้วของเขาขึ้นมาช้าๆ ผ่านหน้าท้องที่แบนราบเพราะอาการเกร็งขึ้นมาจนกระทั่งถึงหน้าอก ลำคอ ปลายคาง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก
“อึก”
ปลายนิ้วนั้นแหย่ลึกเข้ามาในโพรงปาก ลึกไปถึงโคนลิ้นที่ทำเอาฉันเกือบจะอาเจียน ก่อนที่เขาจะดึงมือออกมาแล้วทาบริมฝีปากตามลงมาอีกครั้งทันที
“อื้อออ”
“ฉันแค่เริ่มต้นเองนามิ” ไดสึเกะกระซิบบอกอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะเหยียดแขนตึงเพื่อยันตัวเองขึ้นจากตัวของฉัน สายตาที่มองมาไม่มีความหมายอะไรซ่อนเร้นอยู่ในนั้นนอกจากความต้องการที่จะเอาชนะและทำให้ฉันรู้สึกไร้ค่า
ฉันฝืนยิ้มออกไปก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ซึ่งทันทีที่เปลือกตาปิดสนิท ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำอุ่นๆ ไหลลงไป มันเป็นเครื่องหมายของคนแพ้อย่างฉัน และระหว่างที่ฉันยังคงนอนหลับตาอยู่นั้น ฉันก็ยังคงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของไดสึเกะอยู่ตลอดเวลา ฉันรู้ว่าเขากำลังถอดเสื้อผ้าแม้จะไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง เพราะทุกอย่างมันจริงอย่างที่เขาบอก
เมื่อครู่นี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง!
หยดน้ำตาของฉันไม่ได้มีความหมายใดๆ กับไดสึเกะนอกไปจากเป็นเครื่องยืนยันชัยชนะของเขา ซึ่งเมื่อเขาทนรำคาญที่ต้องเห็นมันไม่ไหว เขาก็แค่ก้มหน้าลงมาจูบซับมันออกไปเบาๆ ก่อนจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่เขาต้องการอีกครั้งด้วยการค่อยๆ แทรกตัวเองเข้ามา
“อื้อออ” ไม่ว่าฉันจะกัดปากตัวเองแน่นแค่ไหนก็ไม่สามารถกลั้นเสียงครางเอาไว้ได้เลยสักครั้ง รู้สึกอึดอัดเมื่อร่างกายถูกกดทับจากคนที่กำลังพยายามพาตัวเองเข้ามาจนลึกสุดทางทั้งที่ความคับแน่นกลางลำตัวทำให้ฉันรู้สึกเจ็บจนต้องนิ่วหน้า
“อื้อออ” คนบนร่างหลุดเสียงครางออกมาเพียงแผ่วเบา ก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเขาดังครืดคราดขึ้นทีละนิดๆ เมื่อพยายามที่จะตอกย้ำสัมผัสนั้นเข้ามาในร่างกายของฉัน
อึก!
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ร่างกายของฉันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของไดสึเกะ รู้เพียงแต่ว่าฉันไม่อาจลืมตามองสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีกเลย ทำได้เพียงนอนนิ่งแล้วปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะสมความปรารถนา
“อ๊ะ!” ฉันหลุดปากร้องเสียงดังเมื่อไดสึเกะขบเม้มที่ยอดอกของฉันแรงๆ ราวกับต้องการจะปลุกให้ฉันลืมตาตื่น และเมื่อฉันลืมตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง ฉันก็ได้พบกับใบหน้าของไดสึเกะที่ผุดซึมไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เขากำลังขยับตัวเองขึ้นลงบนร่างกายของฉัน เสียงลมหายใจของเขาดังขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากลมหายใจของฉัน สองมือของฉันยังคงกำแน่นอยู่ข้างกายในขณะที่สองมือของไดสึเกะกลับจับแน่นอยู่ที่เอวของฉันเพื่อรั้งร่างกายของฉันเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีทุกครั้งที่แทรกตัวเองเข้ามา
ฉันนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ใต้ร่างของไดสึเกะที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงฝั่งฝันลงง่ายๆ ยิ่งปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าความต้องการของเขากลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ลดทอนลงเลย
ฟึ่บ!
“ช่วยกันหน่อยนามิ” ไดสึเกะบอกด้วยน้ำเสียงสั่นกระเส่าก่อนที่เขาจะผละตัวออกไปนั่งลงข้างๆ แล้วดึงฉันขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักของเขา ร่างกายของเขาสั่นนิดๆ สายตาคู่นั้นอ่อนลงเมื่อกำลังอ้อนขอให้ฉันช่วยเหลือ
ฉันจ้องมองไดสึเกะด้วยสองตาที่ยังคงพร่าเบลอเพราะม่านน้ำตา ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะชัดขึ้นเมื่อเขายกสองมือขึ้นมาโอบประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ แล้วจูบเบาๆ อีกครั้งที่หน้าผาก
อึก!
“อื้อออ” ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อความอ่อนโยนของไดสึเกะเมื่อครู่มันเป็นแค่หลุมพราง สุดท้ายเมื่อฉันเคลิ้มตามเขาก็ยกสะโพกขึ้นแรงๆ เพื่อฝังตัวเองเข้ามาในร่างกายของฉันอีกครั้ง
แม้จะอยากผลักไสเขาออกไป แต่สิ่งที่ฉันทำได้กลับตรงกันข้าม เพราะสองแขนของฉันกำลังโอบกอดเขาเอาไว้แน่นอย่างต้องการจะหาที่พึ่งเมื่อไม่สามารถต้านทานแรงจากสะโพกสอบนั้นได้ไหวด้วยตัวคนเดียว
“ไม่ไหว พะ พอก่อน” ฉันร้องบอกเมื่อเริ่มรู้สึกหมดแรง การปล่อยให้เขารังแกร่างกายของฉันซ้ำๆ มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างเบาลงเลย ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ดะ ไดสึเกะ” ฉันพยายามร้องเรียกเขาซ้ำๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะหยุด แต่มันก็แค่ไม่นาน เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังหลอกล่อฉันด้วยรอยยิ้มและสายตาที่ทำให้ฉันตกเป็นคนแพ้ได้เสมอ
ไดสึเกะส่งยิ้มให้ฉัน ก่อนที่เขาจะช้อนตัวฉันขึ้นจากโซฟา สองแขนสองขาของฉันอ่อนแรงไปหมดจนไม่สามารถยกมันขึ้นกอดคอเขาเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ
ฟุ่บ!
รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ไดสึเกะวางฉันลงบนเตียง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าของฉันเบาๆ ปัดปอยผมที่ชื้นเหงื่อของฉันไปทัดไว้ที่ใบหู ก่อนจะดันไหล่ฉันอีกครั้งเพื่อให้ฉันนอนคว่ำหน้าลงกับฟูกที่นอน
หัวใจของฉันเต้นดังจนน่ากลัว วินาทีนี้ฉันไม่สามารถร้องขอหรือปฏิเสธอะไรได้เลย แม้จะรู้ดีว่าไดสึเกะกำลังสอดท่อนแขนที่แข็งแรงของเขาเข้ามาที่เอวเพื่อรั้งสะโพกของฉันขึ้นไป ทั้งที่ใบหน้าของฉันยังซุกอยู่ที่หมอน สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งขึงที่กำลังจดจ่อจะแทรกเข้ามาอีกครั้ง
กึก!
ฉันกัดปากแน่นเมื่อไดสึเกะโถมตัวเองใส่ฉันอีกครั้ง สองมือดึงทึ้งผ้าปูที่นอนสุดแรงและกำมันเอาไว้แน่น เสียงหอบหายใจดังถี่ สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันกับไดสึเกะที่คุกเข่าซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของฉันแทรกตัวเองเข้ามาซ้ำๆ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ฉันทำได้เพียงปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงบนปลอกหมอนจนมันซึมลงไป ร่างกายที่ยังขยับขึ้นลงจากแรงส่งทางด้านหลังไม่อาจทำให้ฉันหลงลืมเสียงครางของตัวเองได้จนกระทั่งรู้สึกว่าแรงบีบที่เอวเริ่มมีมากขึ้น แรงกระแทกกระทั้นและเสียงของมันดังกลบเสียงหัวใจของฉันที่ยังคงเต้นอยู่ในอก ไม่นานไดสึเกะก็ตอกตรึงร่างกายของเขาลงมาอีกครั้งก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ถึงความวูบโหวงในช่องท้องไปพร้อมกัน
ทุกอย่างรอบกายเหมือนหยุดหมุนเมื่อไดสึเกะค่อยๆ ถอนตัวออกแล้วค่อยๆ ปล่อยให้ฉันนอนลงไปช้าๆ จากนั้นเขาก็ขยับตัวเองขึ้นมานอนในระดับเดียวกัน ฉันมองเห็นสายตาที่จ้องมองมาไม่ชัดนักเพราะตอนนี้ทุกอย่างถูกบดบังด้วยหยดน้ำใสๆ ที่คงจะไม่หยุดไหลไปง่ายๆ
“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ต้องวิ่งไล่จับเธอแล้วสินะนามิ”
เหมือนจะเป็นแค่ประโยคธรรมดาๆ แต่ฉันรู้ดีว่าเขากำลังเย้ยหยันฉัน เพราะถ้าดูจากสภาพของฉันตอนนี้อย่าว่าแต่เดินหนีเขาเลย แค่ลุกขึ้นฉันก็ยังไม่มีแรง แค่นอนเฉยๆ ฉันยังรู้สึกได้ว่าขาสั่น
“เอาเป็นว่าฉันจะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเธอก็แล้วกัน ฉันจะไม่ฆ่าคนของเธอ”
ฉันควรยิ้มออกไปรึเปล่านะ เพราะถึงจะไม่แน่ใจว่าไดสึเกะจะทำจริงอย่างที่พูดรึเปล่า แต่เท่าที่ผ่านมาคนอย่างเขาก็ไม่เคยโกหกให้ตัวเองดูดี
“แต่มีข้อแม้เพิ่มอีกอย่าง”
“นะ นาย...”
“ฉันยังหยุดไม่ได้นามิ”
ใจหายวาบ และคิดว่ารู้ดีว่าไดสึเกะหมายความว่ายังไง
ไดสึเกะสบตาฉันแล้วขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เขาโน้มใบหน้าลงมาราวกับต้องการจะฟังเสียงลมหายใจของฉันให้ชัดๆ
“ฉันไม่ไหว”
“แล้วฉันต้องทำยังไง”
เหมือนปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่มันอยู่ในตัวเขาต่างหาก ทั้งหมดก็เพราะไอ้ยาเม็ดสีขาวที่เขาเพิ่งจะกินมันลงไป
ฉันสบตากับไดสึเกะด้วยสองตาสั่นๆ แล้วส่ายหัวปฏิเสธเมื่อฉันไม่รู้คำตอบจริงๆ ถึงฉันจะรู้จักมันมาก่อน แต่ก็อย่างที่บอกว่าฉันไม่เคยคิดจะใช้มันกับตัวเอง เคยแต่ได้ยินพี่โยชิดะบอกเท่านั้นว่าผลของมันเป็นยังไง ไม่คิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งฉันจะต้องมาเป็นที่รองรับหรือระบายอารมณ์ของคนที่กินมันเข้าไปแบบนี้
“มีทางเลือกอยู่สองทางนามิ”
“ฉันไม่...”
“จะให้ฉันลงกับเธอ หรือจะให้ฉัน...เรียกคนอื่นมา”
แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ทั้งความรู้สึก หัวใจ ศักดิ์ศรี ไม่มีอะไรเหลือแล้วแม้แต่อย่างเดียว
“นาย...”
“หลับตาสิ”
“ฉันไม่...”
“ทีหลังช่วยระบุเอาไว้บนฉลากยาด้วยว่าให้กินทีละเม็ด”
“อื้อออ”