Disuke’s Part :
“คุณไดสึเกะจะให้ผมปลุกคุณนามิกี่โมงดีครับ” ยูสึถามระหว่างที่ผมกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ คำถามของเขาทำให้ผมเหลือบสายตามองกลับไปที่ชั้นสองของตัวบ้านก่อนจะต้องถอนหายใจทิ้งออกมาหนักๆ
“ไม่ต้องปลุก แค่คอยจับตาดูเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน โทรรายงานฉันเป็นระยะ” ผมสั่งแค่นั้นก่อนจะก้าวผ่านหน้ายูสึเข้าไปนั่งที่เบาะรถทางด้านหลัง
“ไปเซฟเฮ้าส์เสือขาว” เมื่อขึ้นรถมาได้ผมก็ผมสั่งไซโตะที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ผม ก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา
ตอนนี้เกือบเก้าโมงแล้ว นามิยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง และผมคิดว่าเธอคงยังไม่ตื่นง่ายๆ หรอก ขนาดตัวผมเองยังไม่อยากจะลุกขึ้นจากที่นอนเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องสำคัญให้ต้องรีบจัดการให้เสร็จ ผมก็อาจจะยังนอนอยู่บนที่นอนเหมือนกันกับเธอก็ได้
นับตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่าต้องแต่งงานกับนามิ อะไรๆ ก็ดูวุ่นวายไปหมด ไม่มีอะไรง่ายเลยถ้าทั้งหมดนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากเสือตัวเมียตัวนี้
“เรื่องคนของเสือขาวเป็นยังไงบ้าง”
คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงข่าวคราวของเสือขาวจากไซโตะสักหน่อย
“อยู่ในความควบคุมของเราเกือบทั้งหมดแล้วครับ”
“แล้วไอ้ชินจิล่ะ ได้เรื่องอะไรจากมันบ้าง”
“รายนั้นไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ ปิดปากเงียบสนิท คนของแบล็กทาวน์จะมารับตัวช่วงบ่ายครับ”
ก็ไม่ได้ผิดจากที่ผมคิดเอาไว้ ถ้ามันยอมเปิดปากคายความลับง่ายๆ คงไม่ใช่มือหนึ่งของไอ้โยชิดะ
คงต้องบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นความโชคดีของผมที่บังเอิญได้ตัวไอ้ชินจิมาจากการที่ผมสะกดรอยตามนามิไป
เมื่อวันก่อนผมรู้สึกเฉลียวใจตั้งแต่ตอนที่นามิมีท่าทางแปลกๆ ตอนขอเข้าห้องน้ำ ผมก็เลยสั่งให้คนของผมจับตาดูเธอเอาไว้เป็นพิเศษ เพราะผมรู้ว่ายังไงเธอก็คงไม่ยอมแต่งงานกับผมง่ายๆ แน่ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนเท่านั้น และผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ ว่าเธอกำลังจะต้องพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับผม เพียงแต่ผมคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เธอเลือกทำจะเป็นการพยายามหนี
นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเธอกล้าหาญที่เลือกหนีออกไปทั้งที่รู้ว่ามีคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนเฝ้าอยู่เต็มโรงพยาบาล มิหนำซ้ำยังเป็นการหนีไปแบบไม่มีเป้าหมายด้วยซ้ำ ก็ต้องเป็นเพราะว่าเธอบ้าแน่ๆ
นี่ถ้าผมจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แล้วปล่อยให้เธอหนีไปได้ ป่านนี้ผมคงปวดหัวกับปัญหาที่เธอทิ้งเอาไว้ ไหนยังจะต้องมาสู้รบตบมือกับไอ้โอยามะอีกล่ะ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไปที่โกดัง ฉันจะไปง้างปากไอ้ชินจิ”
แต่แล้วผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายการเดินทาง นาทีนี้ผมต้องการข้อมูลของเสือขาวจากปากของไอ้ชินจิให้ได้มากที่สุดก่อนที่ไอ้โอยามะจะได้ตัวมันไป
ก่อนหน้านี้หลังจากที่คนของผมรายงานมาว่านามิหนีออกจากโรงพยาบาล ไอ้โอยามะเองก็รู้เรื่องนี้จากคนของผมด้วยเหมือนกัน ผมก็เลยจำเป็นต้องตกลงกับมันว่าผมจะเป็นคนตามตัวเธอกลับมาเอง โดยมีเงื่อนไขว่าไม่ว่าจะยังไงนามิจะต้องยังอยู่กับผม ผมจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอง แลกกับการที่มันจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ เพราะถ้าหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณลุงโอซึนซึเกะแล้วละก็ ผมต้องลำบากแน่ๆ มันเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ผมต้องยอมแต่งงานกับนามินั่นแหละ
ส่วนไอ้ชินจิที่เพิ่งจะโผล่หัวออกมาไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขตั้งแต่แรก ดังนั้นผมจะต้องส่งตัวให้ไอ้โอยามะเป็นคนจัดการต่อ เพราะฉะนั้นผมถึงได้กล้ารับปากนามิว่าผมจะไม่ฆ่าไอ้ชินจิ เพราะถ้าหากไอ้โอยามะจะฆ่า ผมก็ไม่ได้ผิดอะไร
Rrrr~
แล้วระหว่างที่ผมกำลังคิดหาวิธีเค้นเอาข้อมูลของเสือขาวจากปากของไอ้ชินจิ โทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นขึ้นมา ซึ่งทันทีที่ผมเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากยูสึ ก็เดาได้ว่าคงมีเรื่องให้ผมต้องปวดหัวอีกแน่ๆ ไม่มากก็น้อยนั่นแหละ
เมื่อไหร่ปัญหาบ้าบอนี่มันจะจบลงสักที ผมไม่เคยต้องเหนื่อยกับเรื่องอะไรมากเท่ากับเรื่องของผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ว่าไง”
[คุณนามิตื่นแล้วครับคุณไดสึเกะ ตอนนี้เหมือนจะกำลังอาบน้ำ]
ตื่นเร็วกว่าที่ผมคิดไว้แฮะ
“อืม ฉันฝากด้วยก็แล้วกัน อย่าปล่อยให้อดตายล่ะ ช่วงบ่ายฉันจะกลับ”
[ครับคุณไดสึเกะ แล้วนี่…]
ตุ้บ!
เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากปลายสาย ซึ่งสัญชาตญาณของผมบอกว่ามันไม่ใช่เสียงสัญญาณที่ดี
“เสียงอะไรยูสึ” ผมรีบถาม แต่ปลายสายกลับเงียบสนิท ไม่มีเสียงของยูสึตอบกลับมา
“กลับ!” ผมสั่งออกไปในทันทีที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ มือขวากำโทรศัพท์ในมือแน่นมากเมื่อความอดทนของผมมันกำลังดิ่งลงเรื่อยๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละว่าเราจะอดทนได้มากที่สุดก็ตอนที่ความอดทนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราต้องทำ
ผมอยากจะฆ่าเธอนัก!
รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเมื่อไซโตะรับรู้ได้ถึงความร้อนใจของผมผ่านทางน้ำเสียง เขาเหลือบมองผมเป็นระยะๆ เหมือนกันกับที่ผมเองก็มองเขาสลับกับเส้นทางที่จะพาผมย้อนกลับไปที่บ้าน
เอี๊ยดดด
ปัง!
ผมกระชากประตูรถให้เปิดออกเพราะไม่มีเวลารอให้ไซโตะมาเปิดให้ ก่อนจะเหวี่ยงมันปิดลงในทันที สองเท้าก้าวกลับเข้าไปในบ้านที่ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะตกใจกับการกลับมาของผมกันหมด เพราะคงยังไม่มีใครรู้ว่าข้างบนกำลังมีปัญหา
“นามิ!” ผมตะโกนเรียกชื่อต้นตอของปัญหาเมื่อผลักประตูห้องนอนของผมเข้าไป ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คิดหรอกว่าเธอคงไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว ส่วนคนที่อยู่ก็คือยูสึ เพราะเขานอนหมดสติอยู่ที่ปลายเตียงนี่เอง ที่หัวเหมือนจะมีเลือดออกเพราะคงถูกกระแทกจากของแข็งซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร พยายามจะมองไปรอบๆ แล้วแต่ก็ยังไม่พบอะไรสักอย่างที่คิดว่านามิจะใช้เป็นอาวุธทำให้ยูสึหมดสติได้
“ให้คนมาปฐมพยาบาลยูสึ ส่วนที่เหลือให้ค้นที่นี่ให้ทั่ว” ผมสั่งด้วยความรวดเร็ว สองมือของผมกำแน่น ความรู้สึกในอกมันเดือดปุดๆ จนยากจะทำให้มันสงบลง สมองกำลังพยายามคาดเดาความคิดของนามิ เผื่อว่ามันจะทำให้ผมรู้ว่าเธอหนีไปซ่อนอยู่ที่ไหน เพราะมันแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เธอจะหนีออกไปจากที่นี่ทั้งที่มีเวลาก่อนที่ผมจะกลับมาถึงเพียงแค่ไม่กี่นาที มิหนำซ้ำการจะหนีออกไปจากที่นี่ทั้งที่คนของผมแน่นหนาขนาดนี้ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
“สั่งคนของเราส่วนหนึ่งออกไปตามหาด้านนอกด้วย ถ้าออกไปได้คงยังไปได้ไม่ไกล พบเบาะแสอะไรให้รีบรายงานฉันทันที”
“ครับคุณไดสึเกะ” ไซโตะรับคำสั่งก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อสั่งการลงไปถึงคนที่อยู่ที่ชั้นล่าง ส่วนผมก็เดินมาสำรวจในห้องน้ำ รวมไปถึงค้นหาเบาะแสภายในห้องด้วยตัวเอง ผู้หญิงอย่างนามิอันตรายเกินกว่าที่ผมจะปล่อยให้หลุดออกไป เพราะในขณะที่ผมมีความโกรธเธออยู่แน่นคับอก ผมก็รู้ว่าเธอเองก็คงรู้สึกอย่างนั้นกับผมไม่ต่างกัน
ปั้ก!
“ยัยตัวแสบ!” ผมกัดฟันกรอดเมื่อค้นดูจนทั่วแล้วพบว่ามีปืนที่ผมซ่อนเอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานหายไปหนึ่งกระบอก และเดาว่ามันน่าจะเป็นอาวุธที่นามิใช้ทำให้ยูสึหมดสติ กับอีแค่การทุบท้ายทอยผู้ชายที่ถึงแม้จะตัวใหญ่กว่าเธอสักสองเท่าด้วยด้ามปืน มันไม่ยากเกินความสามารถของรองประธานเสือขาวหรอก
“บอกคนของเราว่านามิมีอาวุธ”
“ครับ”
“เดี๋ยวไซโตะ ห้ามยัยนั่นเป็นอะไรไปก่อนจะถึงมือฉัน” ผมสบตากับไซโตะเพื่อกำชับคำสั่งนั้นกับเขา
“ครับ คุณไดสึเกะ ผมจะกำชับทุกคนให้พาตัวคุณนามิกลับมาอย่างปลอดภัย” ไซโตะรับคำสั่งของผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง ก่อนจะรีบถ่ายทอดคำสั่งของผมกับคนอื่นๆ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันเพื่อตามหาตัวนามิ
ถ้าพูดกันถึงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตเธอ ผมรับรองว่าเธอจะต้องปลอดภัยแน่นอน เพราะหน้าที่ผมคือการดูแลเธออย่างดีจนกว่าเราจะได้แต่งงานกัน ซึ่งนั่นหมายถึงการที่เสือขาวจะตกอยู่ในมือของผมเรียบร้อย แต่ที่ผมไม่รับรองก็คือผมจะใจดีปล่อยให้เธอก่อปัญหาให้ผมวุ่นวายซ้ำๆ หรอก บางทีผมก็ควรจะเด็ดขาดกับเธอสักครั้ง ซึ่งถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผมจะคิดว่าผมไม่เคยใจดีกับเธอแล้วก็ตาม แต่ก็เหมือนว่ามันจะยังไม่พอ
“แล้วอย่ามาหาว่าฉันใจร้าย” ผมรำพึงรำพันกับตัวเองก่อนจะกระชากผ้าห่มบนเตียงแรงๆ แล้วเหวี่ยงมันลงกับพื้นด้วยความหงุดหงิด
คิดแล้วเสียดายเวลาที่เมื่อเช้าผมอุตส่าห์ตั้งใจห่มผ้าให้เธอเพราะหลงคิดไปว่าเหตุการณ์เมื่อวานน่าจะทำให้เธอกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ได้สักสองสามวัน วินาทีนี้ผมรู้แล้วว่าผมประมาทเสืออย่างเธอมากเกินไป
ระหว่างที่ผมกำลังรอความคืบหน้าจากไซโตะ เขาก็กลับขึ้นมาพร้อมกับคนของผมอีกสองคนที่ช่วยกันปฐมพยาบาลยูสึเพราะยูสึเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่อาจทำให้ผมได้เบาะแสของนามิ
“พบรอยเท้าของคุณนามิที่สนามหลังบ้านครับ คิดว่าเธอน่าจะพยายามหาทางหนีออกไปจากทางด้านหลัง คนของเราส่วนหนึ่งกำลังแยกย้ายกันตามหาด้านใน กับอีกส่วนออกไปตามหาจากด้านหลังกำแพงครับ” ไซโตะเดินเข้ามารายงานผม ในขณะที่ผมกำลังรอให้ยูสึฟื้น
“เป็นไปไม่ได้ที่นามิจะข้ามกำแพงออกไปได้” ผมบอกออกไปอย่างมั่นใจ เพราะกำแพงที่สวนด้านหลังนั่นสูงสี่เมตร มิหนำซ้ำยังไม่มีอะไรที่เธอจะใช้สำหรับปีนขึ้นไปเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ปีนข้ามไปเลย แค่ขึ้นไปยืนอยู่เหนือกำแพงก็ลำบากแล้ว เธอไม่มีทางทำได้แน่ๆ
“ถ้ายูสึฟื้นแล้วให้ลองเช็กดูว่าเขาโอเครึเปล่า ถ้าไม่โอเคให้รีบพาส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าโอเค ให้เขาโทรหาฉันทันที ฉันจะไปรอฟังข่าวที่แบล็กซิโน” ผมสั่งด้วยความร้อนใจเมื่อคิดว่ายูสึคงไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาภายในห้านาทีนี้แน่ๆ จากเดิมที่คิดว่าเขาน่าจะแค่หมดสติ ตอนนี้ก็เริ่มกังวลว่าเขาอาจจะอาการแย่กว่าที่คิด ซึ่งผมรอไม่ได้ ผมต้องเจอตัวนามิด่วนที่สุดก่อนที่เธอจะสร้างปัญหาให้ผม
“ได้ครับคุณไดสึเกะ”
“อ้อ สั่งให้คนของเราพาตัวไอ้ชินจิไปรอฉันที่นั่นด้วย แล้วก็ปิดเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด อย่าให้กลิ่นลอยไปเตะจมูกไอ้โอยามะเด็ดขาด” ผมสั่งทิ้งท้ายพร้อมกับเดินแยกออกมาจากไซโตะทันที
บรื้นนน~
เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์นับสิบคันดังออกไปทางหน้าประตูรั้วดังขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้านระหว่างที่ผมเองก็กำลังจะเดินกลับลงไปที่ชั้นล่าง ทุกคนกำลังแยกย้ายกันตามหาผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเจ็บใจในความประมาทของตัวเองจริงๆ
“ยูสึฟื้นแล้วครับคุณไดสึเกะ”
เสียงของไซโตะที่ตะโกนบอกทำให้ผมต้องหันกลับไปมองที่ยูสึอีกครั้ง เขาฟื้นแล้วจริงๆ และท่าทางจะไม่ได้เป็นอะไรมากแบบที่เมื่อครู่ผมแอบกังวล
“คะ คุณไดสึเกะ” ยูสึละล่ำละลักเรียกผมทันทีที่เขาเห็นว่าผมกำลังเดินกลับไปที่เขา สีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไหร่คงเพราะรู้ว่าตัวเองทำงานพลาด
“ฉันฝากให้นายจับตาดูผู้หญิงตัวเล็กๆ แค่คนเดียว แต่นายดันปล่อยให้เธอหนีไปได้ ไหนนายลองบอกฉันมาทีว่าฉันสมควรเลี้ยงนายไว้รึเปล่ายูสึ” ผมถามเสียงเข้มแล้วจ้องมองยูสึที่ถึงกับตัวสั่นงันงก เขาพยายามลุกขึ้นเพื่อคุกเข่าลงตรงหน้าผมทั้งที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา แต่ทั้งหมดนั่นมันไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกสงสารเขาได้หรอก สำหรับผม...ทำงานพลาดก็คือพลาดอยู่วันยังค่ำ
“ผมขอโทษครับ”
คำขอโทษของยูสึทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ เพราะต่อให้ผมจะโกรธเขามากแค่ไหน แต่อีกใจก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเองก็แสบไม่ใช่เล่น ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงบนเตียงของผม ยูสึเองก็คงวางตัวลำบาก
“ฉันจะยกโทษให้นายก็ต่อเมื่อได้ตัวนามิกลับมาเท่านั้น” ผมยื่นคำขาดออกไปอย่างนั้น ก่อนจะจ้องมองยูสึที่รีบทบทวนความจำขึ้นมาอย่างรู้หน้าที่ เขารู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดคือเบาะแสที่จะทำให้ผมได้ตัวเธอกลับมา
“ผม...ผม...ผมถูกคุณนามิทุบที่ท้ายทอยครับ ครั้งแรกผมยังไม่หมดสติทันที”
“ครั้งแรก?” ผมย้อนถามเสียงสูงเมื่อรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ครับ คุณนามิทุบผมสองครั้ง อาจเป็นเพราะครั้งแรกน้ำหนักมือของเธอเบาเกินกว่าที่จะทำให้ผมหมดสติ ก็เลยมีครั้งสอง คุณนามิพยายามค้นตัวผมเหมือนจะหาอาวุธ แต่เพราะผมไม่มีอาวุธติดตัวเธอก็เลยหยุด ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของคุณไดสึเกะครับ” ยูสึเล่า เขาขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับจะปวดหัว แต่ก็ยังพยายามจะพูดทุกอย่างที่นึกขึ้นได้ออกมา
“แปลว่าตอนนั้นนามิยังไม่รู้ว่านายไม่ได้หมดสติ” ไซโตะช่วยผมถามอีกแรง ซึ่งผมเองก็กำลังสงสัยข้อนั้นอยู่เหมือนกัน
“ครับ ผมตั้งใจแกล้งหมดสติ เพราะยังไงซะผมก็มั่นใจว่าถ้าเธอหนีออกไปจากห้อง ผมก็สามารถแจ้งเตือนคนข้างนอกได้ทัน”
“นายเสียรู้เธอ” ไซโตะต่อว่ายูสึแทนผมอีกเหมือนเคย แต่ผมรู้ดีว่ายูสึเองก็ทำเต็มที่แล้ว เพราะหากเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ แผนการของยูสึฉลาดมากทีเดียวที่จะหลอกทำให้เธอหลงคิดว่าตัวเองสามารถหนีไปได้ และถ้าทุกอย่างเป็นแบบที่ยูสึพูด ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวถึงชั้นล่าง ก็ต้องถูกคนของผมจับได้แน่นอน
แต่เพราะเธอคือนามิ ผู้หญิงที่ได้รับการฝึกมาให้เป็นเสือ การรู้จักเอาตัวรอดเป็นสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้ ยิ่งบวกประสบการณ์ของความล้มเหลวจากการหนีครั้งก่อน เธอยิ่งต้องระวัง
“ไม่หรอก นามิฉลาด ต่อให้ยูสึจะหมดสติไปจริงๆ เธอก็จะเดินกลับมาซ้ำเพื่อความมั่นใจว่ายูสึจะไม่ฟื้นขึ้นมาในระหว่างที่เธอต้องการเวลาหนีอยู่ดี” ผมพูดพลางถอนหายใจ
“ครับ ผมเห็นว่าเธอเดินย้อนกลับมาหาผม ก่อนจะยกบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจทุบที่ต้นคอของผมอีกรอบ”
มันคือปืนที่เธอได้มาจากโต๊ะของผมแบบที่ไม่ต้องสงสัยเลย
ผมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่ทุกคนกำลังมองหน้าผมเพื่อรอให้ผมตัดสินใจ แต่ในเมื่อสิ่งที่ยูสึพูด มันไม่ได้ช่วยให้เบาะแสอะไรกับผมเลย ดังนั้นผมก็ยังต้องตัดสินใจแบบเดิมนั่นแหละ
“ไซโตะไปเตรียมรถ ฉันจะไปแบล็กซิโน ส่วนนายพายูสึไปโรงพยาบาล ที่เหลือตรวจทุกตารางนิ้วของที่นี่ให้ดีอีกรอบ” ผมย้ำคำสั่งเดิมออกไปเพราะคิดว่าบางทีเธออาจจะยังซ่อนอยู่ใต้จมูกผมก็ได้
ผมยังมั่นใจอยู่ว่าการที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงแค่คนเดียวจะหนีออกไปจากที่นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เธอจะเก่งกาจมาจากไหน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นผู้หญิง ที่สำคัญ เธอจะไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้งที่ครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะปล่อยให้เธอนอนพัก แม้แต่เสียงลมหายใจของเธอยังรวยรินจนผมแอบสงสารอยู่เลย เหอะ!
ผมเดินนำไซโตะมาที่รถซึ่งยังคงจอดอยู่ที่หน้าบ้าน เขาวิ่งตามผมมา ก่อนจะเลยผมไปเพื่อเปิดประตูให้ผมตามหน้าที่
“คุณไดสึเกะครับ”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถก็เหมือนว่ายูสึจะนึกอะไรดีๆ ออก เขาถึงได้วิ่งกระหืดกระหอบตามผมลงมาทั้งที่มือขวาของเขายังคงกุมต้นคออยู่ตลอดเวลาเหมือนจะปวดคออยู่มาก
“มีอะไร” ผมถามแล้วมองเขาเพื่อรอคอยคำตอบที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์
“กุญแจรถของผมหายไปครับ” ยูสึบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี และคำบอกเล่าของเขาก็ทำให้ผมกำหมัดแน่นอย่างนึกโมโห สายตากวาดมองไปที่รถของยูสึที่ปกติแล้วมันจะจอดอยู่ที่โรงรถฝั่งทิศเหนือของตัวบ้าน แล้วก็พบว่ามันหายไปด้วยเหมือนกัน
ผมหันกลับไปมองไซโตะอีกครั้งซึ่งเขาก็กำลังโทรศัพท์เพื่อกระจายคำสั่งให้ออกตามหารถของยูสึทันทีโดยไม่ต้องรอให้ผมออกคำสั่ง