หลัวเผิงเผิงเฝ้ารอกระทั่งฮัวจิงอวี๋ออกจากร้านยา เฉี่ยนซือแล้วตรงไปยังโรงน้ำชาใกล้ นางรู้สึกสนใจในตัวหมอหนุ่มผู้นี้มาก บางที...นางอาจจะติดใจในรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว
นับตั้งแต่เห็นฮัวจิงอวี๋วันแรกมาถึงวันนี้ ในแต่ละวัน นางต้องหาเวลามาดูหน้าฮัวจิงอวี๋ให้ได้ พอได้เห็นหน้าท่านหมอรูปงาม นางก็จะรู้สึกเบิกบานใจไปทั้งวัน
‘ศัตรูก็คือศัตรู งดงามเพียงใดก็ไม่ควรนำมาไว้ข้างกาย ข้าต้องกำจัดเขาเพื่อให้การค้าสกุลหลัวก้าวหน้า’
หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมตนเอง นับตั้งแต่นางกลับมาจากเมืองเชียนเหยา นางก็ไม่อาจแตะต้องบุรุษผู้ใดได้ อาการป่วยประหลาดนี้ทำให้นางไม่สนใจในตัวบุรุษคนใด ในตอนที่บิดาเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานกับเตียวซืออิน นางจึงรับปากเพราะหวังว่าหลังแต่ง อาการอาจจะดีขึ้น
แต่...ก่อนแต่งงานเพียงวันเดียว นางสืบรู้ว่าว่าที่สามีเป็นต้วนซิ่ว เขาเองก็ยอมรับกับนางว่าไม่อาจจะมีสัมพันธ์บนเตียงกับนางได้เพราะเขาไม่อาจแตะต้องสตรีได้เช่นกันจากนั้นนางจึงแต่งงานเพียงในนามและแยกห้องนอนกับสามี
ทว่า...ตั้งแต่พบกับหมอฮัวใหญ่ผู้นี้ หลัวเผิงเผิงกลับรู้สึกเหมือนอยากจะผวาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอยู่ร่ำไป ช่างน่าแปลกเหลือเกิน!
“คุณชายขอรับ ดูนั่น ใต้เท้ากุ่ยเดินเข้าโรงน้ำชาไปแล้ว”
กุ่ยอี๋จือเหมือนจะรอให้ฮัวจิงอวี๋เสร็จงานเช่นกัน ขุนนางหนุ่มที่นั่งรออยู่บนรถม้า ลงจากรถแล้วเข้าไปในโรงน้ำชา ถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ ฮัวจิงอวี๋
ขุนนางหนุ่มพยายามชวนคุย แต่ท่านหมอหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานบะหมี่
หลัวเผิงเผิงที่มาแอบดูรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ “เจ้าคนแซ่กุ่ยช่างตื้อเสียจริง”
“มาทุกวันเหมือนคุณหนูเลยขอรับ” เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้น “แค่คุณหนูไม่ปรากฏตัว ส่วนใต้เท้ากุ่ย โผล่หน้ามาให้เห็น”
หลัวเผิงเผิงถลึงตาใส่บ่าวรับใช้ของตน “เจ้าพูดเรื่อยเปื่อยอันใด”
“ไม่แน่นะขอรับ หากใต้เท้ากุ่ยมาเฝ้าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หมอฮัวใหญ่อาจจะใจอ่อนก็ได้ จะว่าไปใต้เท้ากุ่ยเองก็รูปร่างบึกบึน หน้าตาหล่อเหลา เข้ากันกับรูปร่างโปร่งบางของหมอฮัวพอดี”
หลัวเผิงเผิงไม่ค่อยชอบใจความเห็นของบ่าวรับใช้ของตนนัก “หึ! เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
“เหตุใดคุณหนูจึงทำหน้าเหมือนคนดื่มน้ำส้มเล่าหรือว่า ท่านหึงหมอฮัวใหญ่ขอรับ” เสี่ยวไป๋หันไปมองเจ้านายของตน
“ข้า...ข้าหึงที่ใดกัน ข้าอยากให้พวกเขาลงเอยกันเร็วๆ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดีต่างหาก”
ฮัวจิงอวี๋พยายามข่มใจนั่งรับประทานบะหมี่จนหมดชาม วันนี้ทั้งวัน เขาต้องตรวจคนไข้จนไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน จะหยุดก็ไม่ได้เพราะบางคนมานั่งรอตั้งแต่เช้า ซ้ำยังป่วยเรื้อรังต้องรีบรักษา และพอตรวจเสร็จก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว จะรอให้กลับไปถึงคฤหาสน์สกุลฮัวก็กลัวว่าตนเองจะเป็นลมเสียก่อน จึงได้เดินข้ามถนนมานั่งที่ร้านบะหมี่
‘เคราะห์ร้ายเสียจริงที่ขุนนางเจ้าชู้ผู้นี้มาดักรอ’
กุ่ยอี๋จือที่นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยพูดนั่นพูดนี่จนท่านหมอหนุ่มรู้สึกรำคาญ เขาอดใจที่จะไม่ผลักไหล่ของกุ่ยอี๋จือให้ขยับห่างจากตน กระทั่งอิ่ม เขาก็วางเงินไว้บนโต๊ะ
“ใต้เท้ากุ่ย ข้าน้อยขอตัวก่อน วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ง่วงเต็มที หากท่านไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามาทีนี่อีกเลย”
“ข้าก็แค่มาคอยดูแลเจ้า จะเป็นไรไป”
“หากท่านมาตอนกลางวัน ข้าก็มีงานล้นมือให้ทำ หากท่านมารอข้าเลิกงาน ข้าก็เหนื่อยล้าจนตาสองข้างแทบปิดอยู่แล้ว ข้าว่าท่านอย่ามาเสียเวลาดีกว่า”
กุ่ยอี๋จือส่ายหน้า “ไม่เสียเวลาเลย ข้าเต็มใจ”
ฮัวจิงอวี๋เม้มปากแล้วประสานมือค้อมศีรษะ ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขาหันหลังเดินกลับไปยังรถม้าที่จอดรออยู่
กุ่ยอี๋จือไม่กล้ารุ่มร่ามเพราะไม่อยากขายหน้าต่อธารกำนัล ทว่าในหัวกลับครุ่นคิดแผนการที่จะได้คนงามอย่างฮัวจิงอวี๋มาครอง
‘ถ้าหากว่าเจ้านอนอยู่บนเตียงของข้า ก็ไม่เป็นเรื่องเสียเวลาแล้ว’
ฮัวหยางได้ยินญาติผู้พี่เล่าเรื่องกุ่ยอี๋จือให้ฟังก็ตกใจ “เจ้าคนเสเพลสกุลกุ่ยนี่อีกแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะกล้ามารบกวนท่านถึงร้านของเรา”
ฮัวหยางมองญาติผู้พี่ด้วยความเป็นห่วง
ฮัวจิงอวี๋รูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงาม ซ้ำไม่มีวรยุทธ์ หากถูกคนชั่วรังแกจะทำเช่นใด ชื่อเสียงในด้านเลวทรามของกุ่ยอี๋จือเป็นที่รู้กันทั่ว
“ใต้เท้ากุ่ยผู้นี้ เห็นว่าเป็นขุนนางกรมคลัง เขามีประวัติเช่นใดหรือ ”
“กุ่ยอี๋จือแต่งงานกับหลานสาวขุนนางใหญ่ผู้หนึ่ง แต่กลับรับอนุภรรยาเป็นบุรุษและยังมีชายบำเรออีกหลายคน เขาละเลยภรรยาเอก ทำให้นางตรอมใจล้มป่วย เพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี่เอง”
ฮัวจิงอวี๋พยักหน้า เขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกอีกฝ่ายตามเกี้ยวพาน “แย่นัก หากชอบบุรุษเป็นทุนเดิม ใต้เท้า กุ่ยคงชอบรูปร่างหน้าตาข้ามากเลยทีเดียว”
“ก็ดูท่านพี่สิ รูปร่างโปร่งบาง ใบหน้าก็งดงามราว อิสสตรี ดูแล้วท่านทั้งหล่อและสวยในคนเดียวกัน”
ฮัวจิงอวี๋ส่ายหน้า เขาไม่ได้ใส่ใจในรูปร่างหน้าตาของตนนัก “ข้าเจอปัญหาเช่นนี้มาหลายหนแล้ว”
“คนเดียวที่จะคุมใต้เท้ากุ่ยได้ก็คือบิดาของเขา น่าเสียดายตอนนี้ท่านผู้อาวุโสก็ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น ยามนี้กุ่ยอี๋จือจึงเที่ยวมองหาบุรุษที่ถูกใจและรังแกคนเขาไปทั่ว ด้วยความที่สกุลกุ่ยปล่อยเงินกู้จำนวนมาก หากครอบครัวใดมีบุตรชายหน้าตาดีก็จะปล่อยเงินให้มากหน่อย ล่าสุดเห็นว่าไปรังควานบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งที่มีคู่รักอยู่แล้ว พอฝ่ายชายไม่เล่นด้วยก็กลั่นแกล้งจนพวกเขาหนีไปอยู่เมืองอื่น”
“เขามีบุรุษเรือนหลังมากมายแล้ว ยังต้องการเพิ่มอีกหรือ”
“พี่จิงอวี๋ ชายบำเรอของเขาได้มาเพราะใช้สัญญาหนี้บีบบังคับ ข้าได้ยินมาว่าคนพวกนั้นอยู่ในสกุลกุ่ยอย่างไม่มีความสุข มักจะถูกกุ่ยอี๋จือตบตีรังแกอยู่เสมอๆ ข้าได้ยินว่าอนุบุรุษผู้หนึ่งของกุ่ยอี๋จือมิใช่ต้วนซิ่ว[1] จำต้องหวานอมขมกลืนปรนนิบัติกุ่ยอี๋จือ คราหนึ่งเคยกินยาฆ่าตัวตาย ท่านหมอเกาเป็นคนช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ตอนนี้ก็ล้มป่วยจนนอนติดเตียงไปแล้ว”
“หากเขามีเงินก็ซื้อบุรุษรูปงามที่หอหลบจันทร์ได้นี่ เหตุใดต้องไปบังคับคนด้วย ”
หอหลบจันทร์เป็นสถานที่รวบรวมบุรุษที่รับใช้ปรนนิบัติบนเตียงบุรุษด้วยกัน
“กุ่ยอี๋จือเป็นคนมักมาก เขาชอบไปเที่ยวที่หอหลบจันทร์ เสพสมกับบุรุษทีละสองสามคน แต่ไม่ยอมรับเอานายคณิกาเหล่านั้นไปเลี้ยงดู ข้าได้ยินว่าบางคราวเขาก็ลงไม้ลงมือจนคนพวกนั้นได้รับบาดเจ็บด้วย อาศัยการจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อปิดปากคนพวกนั้น”
ฮัวจิงอวี๋เริ่มปริวิตก “เสี่ยวหยาง งานสมาคมพ่อค้าคราวนี้ เจ้ากับจือจือ คงต้องช่วยกันระวังข้าสักหน่อยได้ยินว่าใต้เท้ากุ่ยก็จะไปร่วมด้วย เขาดูหื่นกระหายในตัวข้ายิ่ง ข้าเกรงว่าเขาอาจจะใช้ช่วงเวลานั้นวางแผนร้าย”
ฮัวจิงอวี๋มีคนในใจอยู่แล้ว ที่เขายอมลงจากเขาหลงเฟยซานตามคำชวนของญาติผู้น้อง มิใช่เพราะต้องการมาเปิดโรงหมอเพียงอย่างเดียว แท้จริงเขาต้องการตามหาคนรักที่ทิ้งบาดแผลในดวงใจ
ฮัวหยางหันไปหาภรรยา “จือจือ เจ้านัดหัวหน้าจางมาเรือนเราที”
“ท่านพี่มีธุระอันใดหรือเจ้าคะ”
“หากต้องรับมือกับใต้เท้ากุ่ย คงต้องพึ่งพาเหล่าจาง”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะนัดเขาให้”
“มารับประทานอาหารค่ำก็แล้วกันจะได้สั่งพ่อบ้านเตรียมอาหารเพิ่ม”
จางเจิ้งจีหัวหน้ามือปราบหน่วยที่สามเป็นสหายรักของฮัวหยางและเป็นผู้ที่ทำให้อู๋จือได้มาพบกับฮัวหยางแบบพิสดารจนกลายมาเป็นสามีภรรยากัน
[1] ต้วนซิ่ว หมายถึง บุรุษที่รักใคร่ชอบพอในเพศเดียวกัน
***************