องค์ชายอิ้งเยว่ยังคงรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้

1242 คำ
องค์ชายอิ้งเยว่รับสั่งอย่างเข้าใจ “สถานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ผู้มาใหม่ย่อมไม่คุ้นชิน นางพลัดหลงก็เป็นเรื่องธรรมดา... อาเหล่ย” “พ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าแน่ใจหรือ..มิใช่ว่า นางถูกอัครมเหสี ส่งนางเข้ามาสอดแนมข้า” “ดูจากลักษณะเซ่อซ่าของนาง ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” “อืม เช่นนั้นก็ช่างเถอะ... นางเป็นคนของผู้ใดรึ?” หวังเหล่ยรีบประสานมือ แล้วกล่าว “ทูลองค์ชาย กระหม่อมสะเพร่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ ขอองค์ชายทรงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “ช่างเถอะๆ เป็นเพียงแม่นางน้อย แค่ไล่ไปก็พอ” “กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” มือหนาวางจอกกระเบื้องลงบนโต๊ะไม้จื่อถานแกะสลักลายกิเลน แล้วจับพวยการินชาอีกครั้ง “อาเหล่ย” “พ่ะย่ะค่ะ” “ชายาของข้า ฉีเยี่ยนฟาง ตอนนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง? ข้าได้ยินว่าสุขภาพนางมิสู้ดีนัก” นับตั้งแต่วันส่งตัวเข้าหอ หลังจากเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวองค์ชายอิ้งเยว่กลับไม่สนพิธีดื่มเหล้ามงคลร่วมกับนาง หากแต่เลือกแยกมาอยู่ในตำหนักนี้มาตลอด ทั้งไม่เคยคิดแตะต้องร่างกายชายาแม้แต่ปลายก้อย มิใช่ว่านางไม่งดงาม เพียงแต่ความรู้สึกปรารถนาเช่นบุรุษพึงมีต่อสตรีนั้น สำหรับองค์ชายอิ้งเยว่ กลับไม่มีให้ฉีเยี่ยนฟางแม้แต่น้อย ลึกๆ ในใจเขา ใช่ว่าจะไม่สงสัยตั้งแต่แรก หากแต่ไม่รู้จะเอาปัญหาความผิดปกติในร่างกายไปปรึกษาใครดี เจ้าหมอหลวงหรือ! ไม่แคล้วต้มยาหม้อบ้าบอมาให้ ดื่มกินจนท้องอืดบวมอยู่หลายวันก็ไม่เห็นมีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า อาการตายด้านของเขาทั้งที่ยังหนุ่มแน่น อาจเป็นเพราะตนคิดเสมอว่า สตรีเหล่านั้นล้วนเป็นอัครมเหสีลู่เสียนจัดหามาให้ เขาจึงมิอาจวางใจ... และเมื่อไม่สะดวกใจ ย่อมไม่มีอารมณ์อยากร่วมหอกับพวกนางเช่นกัน แม้คิดเช่นนั้น แต่ส่วนลึกก็ยังคงสงสัยอยู่ดี เขาคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง หอดอกไม้แดง อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็ได้ เพื่อพิสูจน์ความเป็นชาย องครักษ์หวังเหล่ยเรียกนางโลมที่ว่าสดใหม่ มีความงามเป็นที่หนึ่งมาบริการเรื่องอย่างว่าให้ถึงห้อง ซึ่งห้องดังกล่าวเจ้าของสถานที่ได้จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับแขกผู้สูงศักดิ์... เพียงนางโลมสดใหม่ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน เปลื้องผ้า เผยร่างกายเปลือยเปล่าต่อหน้าองค์ชายอิ้งเยว่ เขาถึงกับคันคะเยอไปทั้งตัว ครั้งแรกเป็นเช่นนี้ ครั้งที่สอง ที่สามก็มิได้แตกต่างกัน… ผ่านมาหลายฤดูกาลทั้งร้อนทั้งหนาว ตอนนี้บุตรชายของสนมเอกอายุครบยี่สิบสองแล้ว นับเป็นบุรุษวัยเจริญพันธุ์แท้ ๆ ท่ามกลางเหล่าสนมหน้าตาดีวัยกำลังน่าขบเคี้ยวล้อมหน้าล้อมหลัง องค์ชายอิ้งเยว่กลับยังคงรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ คนนอกไม่รู้ ต่างเล่าลือไปต่างๆ นานา กล่าวหาว่าเขาเจ้าชู้บ้างล่ะ ชอบกินของสดใหม่บ้างล่ะ เปลี่ยนสตรีคู่นอนเป็นว่าเล่น ที่แท้คนเหล่านั้นหาได้รู้ความจริงไม่ หลายปีมานี้ไม่เคยมีสตรีนางใดเคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาแม้แต่คนเดียว ความลับนี้มีเพียงองครักษ์หวังเหล่ยเท่านั้นที่รู้ เพียงได้ยินชื่อของพระชายา หวังเหล่ยเผลอยิ้มอย่างลืมตัว เพียงเวลาสั้นๆ รอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีก็เลือนหายไป ก่อนทูลว่า “สุขภาพกายของชายาเยี่ยนฟางไม่มีสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ แต่สุขภาพใจของนาง กระหม่อมไม่แน่ใจนักพ่ะย่ะค่ะ” นับตั้งแต่ฉีเยี่ยนฟางมาอาศัยอยู่เรือนหมู่ต่านฮวา มีเพียงหวังเหล่ยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ตามคำสั่งของเจ้านาย “ทำไมรึ?” เขาเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพียงแต่กระหม่อม เห็นควรว่า องค์ชายเสด็จไปเยือนเรือนหมู่ต่านฮวาของนางสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ” “หือ?” องค์ชายอิ้งเยว่มีท่าทีแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมา เจ้าหวังเหล่ยไม่เคยสนใจคนรอบกาย อีกทั้งไม่เคยพูดแทนสนมนางใดของเขามาก่อน ทว่าบัดนี้กลับออกหน้าพูดแทนฉีเยี่ยนฟาง ช่างเป็นเรื่องยากจะพบเห็นโดยแท้ “เจ้าบอกว่า ข้าควรไปหานางอย่างนั้นรึ?” “สมควรเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เขายืนกรานอย่างหนักแน่น “เหตุใดเจ้าอยากให้ข้าไป?” “กระหม่อมเห็นว่าชายาเป็นเพียงสตรีอ่อนแอมาอยู่ผิดที่ผิดทาง อีกทั้งนางไม่เหมือนคนของอัครมเหสีลู่เสียนส่งมา หากปล่อยนางไว้ลำพัง พระองค์ไม่เหลียวแล บางทีองค์ชายอาจถูกเทียนจื่อตำหนิเอาได้พ่ะย่ะค่ะ” “ไฉนเจ้าแน่ใจถึงเพียงนี้ ฉีเยี่ยนฟาง นางไม่ใช่คนของอัครมเหสีลู่เสียน” หวังเหล่ยก้มหน้ากราบทูลในสิ่งที่ตนคิด “ทูลองค์ชาย ชายาเยี่ยนฟางนางดูไร้เดียงสาเกินไป นางไม่เหมาะใช้งานพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในอาณาเขตตำหนักไฉ่หง ชายาไม่เคยไปมาหาสู่ผู้ใด ทั้งไม่มีผู้ใดมาหานาง นางสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แต่ในเรือนหมู่ต่านฮวากับสาวใช้ เช่นนี้ พระชายาไม่มีทางทำร้ายผู้ใดได้แน่ ยิ่งทำร้ายองค์ชาย เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” “อืม ฟังที่เจ้าพูดมา ก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง เอาเถอะ คราวหน้าข้าจะไปดูนางสักครั้ง ข้าพูดเช่นนี้ หวังว่าเจ้าจะพอใจนะ” คำพูดนี้แฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงแดกดันอยู่ในที ทว่าก็มิได้จริงจังนัก มิสู้เรียกว่าเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ระหว่างคนคุ้นเคย น่าจะเหมาะกว่า หวังเหล่ยรีบคุกเข่า ประสานมือคารวะ “กระหม่อม ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าออกไปเถอะ” “รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หวังเหล่ยถอยออกไปแล้ว องค์ชายอิ้งเยว่นั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม เขาคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อครั้งมารดายังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นองค์ชายยังอ่อนชันษานัก เขาไม่เคยลืมความเกลียดชังที่ส่งมาถึงบุตรชายทางสายตาของผู้ให้กำเนิด ก่อนที่นางจะสิ้นใจ... สิบปีก่อน เทียนจื่อทรงขังพระมารดาขององค์ชายอิ้งเยว่ไว้ในตำหนักเย็น โทษฐานคบชู้สู่ชาย ทั้งที่เป็นที่รักของสามีแท้ ๆ ทรงยิ่งรักสตรีผู้นั้นมากเท่าใด ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น... เดิมทีพระสนมกุ้ยเฟยก็มิได้รักเทียนจื่ออยู่แล้ว เป็นเทียนจื่อเองที่หลงรักนางฝ่ายเดียว แถมยกย่องให้ตำแหน่งสนมเอกกับนาง ทั้งที่นางมิได้ร้องขอแม้แต่น้อย เทียนจื่อพยายามหลายครั้งที่จะเอาชนะหัวใจอีกฝ่าย แต่พระสนมกุ้ยเฟยหรือแม่นางกุ้ยในอดีต กลับไม่เคยใจอ่อน ในที่สุดเป็นเขาที่ใช้กำลังบุกเข้าห้องขืนใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า พอพระสนมกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ ก็พยายามหลายครั้งที่จะทำร้ายลูกในอุทร... เจ้ามารหัวขนช่างดื้อด้านนัก ไม่ว่านางใช้มือทุบตีเท่าใด ทารกน้อยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กลับแข็งแรงเกินกว่ามารดาจะทำร้ายให้ถึงตายได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม