มื่อเรื่องราวล่วงรู้ถึงเทียนจื่อ พระองค์ทรงมีพระบัญชาเด็ดขาด สั่งให้นางทาสในวังหลวงผู้มีรูปร่างแข็งแรงถึงสามคน ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าสนมกุ้ยเฟยไว้อย่างเข้มงวด มิให้พระนางทำร้ายทารกในครรภ์ได้สำเร็จ จนกว่าจะครบกำหนดคลอดจึงจะแยกทารกออกมาเลี้ยงดูต่างหาก เทียนจื่อทรงกำชับนักหนาว่า หากทารกเป็นอันตราย ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องโทษประหารไม่เว้นแม้แต่คนเดียว
ในที่สุด วันที่องค์ชายอิ้งเยว่ลืมตาดูโลกก็มาถึง เขาได้รับการดูแลจากแม่นมทั้งสามที่ได้รับพระบัญชาให้อารักขาเขามาโดยตลอด ส่วนมารดานั้นแม้คลอดเขาออกมาแล้ว ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะโอบอุ้มลูกชายเฉกเช่นแม่คนอื่น
แม้องค์ชายน้อยจะร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจที่มารดาไม่รัก ทว่าเขาก็เกิดความกังขาอยู่บ้าง เหตุผลอันใดมารดารังเกียจตนถึงเพียงนี้ ครั้นเติบโตจนรู้ความ องค์ชายอิ้งเยว่จึงได้ทราบความจริงจากแม่นมทั้งสามถึงที่มาที่ไป ว่าเหตุใดพระสนมกุ้ยเฟยจึงชิงชังเทียนจื่อ และเกลียดชังบุตรชายอย่างเขา สุดท้ายองค์ชายก็เข้าอกเข้าใจพระมารดาเป็นอย่างดี แม้มารดาจะเกลียดชัง แต่เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นต่อนางเลย
ปีนั้น องค์ชายอิ้งเยว่จำได้ว่าเทียนจื่อทรงเศร้าโศกเพียงใด เมื่อทรงทราบ พระสนมกุ้ยเฟยแอบมีใจให้บุรุษอื่น แม่นมทั้งสามเล่าว่า บุรุษแปลกหน้าผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำ ลักลอบเข้าวังหลวงมาในยามวิกาลอย่างอุกอาจ ขณะคนทั้งสองพยายามจะหลบหนีไปด้วยกัน ก็ถูกขัดขวางโดยอัครมเหสีลู่เสียน ที่บังเอิญผ่านมาพบเข้าพอดี
อัครมเหสีร้องโวยวายเสียงดังเรียกหาคนช่วย ทำให้ทั้งสองหนีไม่พ้น ถูกทหารในวังจับตัวไว้ได้ทันเวลา ภายหลังจึงทราบว่า แท้จริงแล้วบุรุษชุดดำคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเผ่าเฉวี่ยนหรง ในศึกสงครามเมื่อหลายปีก่อน และที่เขาลักลอบเข้าเขตพระราชฐานอย่างไม่กลัวตายนั้น เพียงเพื่อพาหญิงคนรักกลับออกไปให้จงได้
ผลสรุปคอ บุรุษเผ่าเฉวี่ยนหรงได้รับโทษประหารทันที ส่วนพระสนมกุ้ยเฟยถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็น
เทียนจื่อมีพระบัญชาให้ทหารลงดาลประตูจากด้านนอกอย่างแน่นหนา ห้ามมิให้นางหลบหนีไปได้ ทั้งยังจำกัดอาหาร โดยให้คนส่งอาหารไปให้อดีตสนมเอกกินเพียงครั้งเดียวในทุกสามวัน จนกว่านางจะสำนึกผิด
ฝ่ายอัครมเหสีลู่เสียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พระนางโวยวายลั่นตำหนักแทบแตก ไฉนสตรีคบชู้สู่ชายจึงได้รับโทษเบาดุจปุยนุ่นเช่นนี้ หากเป็นนางสนมอื่นเล่า ที่มันบังอาจกระทำผิดมหันต์ จะมิถูกสั่งตัดหัวไปพร้อมกับชู้รักของมันแล้วหรอกหรือ
ตอนพระมารดาถูกกักขังอยู่ในตำหนักเย็น องค์ชายอิ้งเยว่ลอบเข้าไปเยี่ยมหลายครั้ง เขาได้เห็นร่างกายของมารดาทรุดโทรมลงมากจนผิดตา นางเอาแต่นั่งร้องไห้คร่ำครวญถึงบุรุษคนรัก ความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อเทียนจื่อ ยิ่งเพิ่มทวีคูณยิ่งกว่าแต่ก่อนหลายเท่า องค์ชายน้อยอุตส่าห์หลบสายตาผู้อื่นเพื่อนำอาหารบำรุงไปฝากมารดา เขาใช้ช่องเล็กแคบข้างตำหนักเย็นนั้นเป็นทางผ่าน หากแต่อาหารเหล่านั้นมารดากลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง เขาได้แต่เฝ้าดูความทุกข์ทรมานของนางอยู่ห่าง ๆ เพราะเกรงว่าหากเข้าใกล้แม้เพียงนิด ตนอาจถูกทำร้ายเอาได้
วันหนึ่ง องค์ชายอิ้งเยว่ในวัยเยาว์เข้าไปหามารดาเฉกเช่นทุกวัน ทว่ามารดากลับเอาแต่นิ่งเฉย ดวงตาเหม่อลอย ไม่มีคำด่าทอเขาอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ ทั้งอาหารที่ทหารส่งมาให้เมื่อครบกำหนดสามวันต่อหนึ่งมื้อ ข้าวหนึ่งชามกับข้าวสองอย่างยังคงอยู่ครบ ไม่พร่องไปแม้แต่น้อย ทั้งที่มารดาไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว จนกระทั่งวันสุดท้าย องค์ชายอิ้งเยว่เข้าไปหานางในตำหนักเย็นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ทุกอย่างกลับเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใด ๆ องค์ชายน้อยตกใจสุดขีด เมื่อเขาเห็นร่างผอมของมารดานอนนิ่งราบอยู่กับพื้น เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ และได้เห็นใบหน้านางในตอนนี้ ช่างดูผิดจากเมื่อก่อน ไร้ความงดงาม ดูน่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ดวงตาของนางมีโลหิตไหลออกมาทั้งสองข้าง อีกทั้งปากและจมูกก็มีโลหิตสีแดงไหลเถือก
“ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”
องค์ชายน้อยลืมความกลัวหมดสิ้น รีบเข้าประคองร่างของนางไว้ในอ้อมแขนเล็กๆ มือที่อ่อนแรงเต็มทีของพระมารดาพยายามผลักไสเขา ดวงตาที่เหลือกโปนจับจ้องใบหน้าองค์ชายอิ้งเยว่ หากแต่ไม่สามารถขยับปากพูดอะไรออกมาได้ ก่อนจะสิ้นใจ นางเพียงคว้าคอเสื้อของบุตรชายไว้แน่น ราวกับอยากจะบอกอะไรเขาสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด พระมารดาสิ้นใจไปก่อน เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนป่านนี้ องค์ชายอิ้งเยว่ยังเดาไม่ออกเลยว่า ที่แท้นางต้องการจพูดอะไรกันแน่ หรือว่า หากนางพูดได้ ก็เพียงอยากย้ำเตือนว่านางเกลียด เกลียดทุกคนที่อยู่ในวังแห่งนี้ใช่หรือไม่ เมื่อคิดขึ้นมาได้ เขาจึงอยากไปเยือนตำหนักเย็นที่ถูกปล่อยร้างไว้หลายปีสักครั้ง เพื่อรำลึกถึงมารดา เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ถึงท่านแม่จะเกลียดเขา แต่เขาก็ไม่เคยคิดเกลียดท่านแม้แต่น้อย
องค์ชายอิ้งเยว่ไม่เพียงแค่คิด แต่เขาลุกขึ้นยืนทันที ทว่าหากคิดจะไปเยือนในที่ต้องห้ามเช่นนั้น เขาควรผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาผู้อื่น พลางชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง “ทหาร เจ้าเข้ามา” เขาเรียกหาทหารผู้หนึ่งที่ยืนเฝ้ายามอยู่บริเวณนั้นพอดี
รอไม่นาน คนที่ถูกเรียกหาก็ก้าวเข้ามา เขาประสานมือคารวะ “องค์ชาย เรียกหากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายอิ้งเยว่กวาดตาสำรวจรูปร่างทหารตรงหน้าคร่าวๆ แล้วพุดว่า “รูปร่างเจ้าถือว่าใช้ได้ทีเดียว ดูไม่ต่างจากข้าไปสักเท่าไร อาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของเจ้า ข้าต้องสวมใส่ได้พอดีแน่ ทหาร..”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“รีบส่งอาภรณ์ของเจ้า มาให้ข้าตอนนี้”
ทหารยามหน้าตาแตกตื่น “กะ...กระหม่อม?” จู่ ๆ เขาก็ถูกสั่งให้เปลื้องผ้าต่อหน้าพระพักตร์หรือนี่ แม้ตกใจและแปลกใจ อีกทั้งเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าทูลถามให้มากความ รีบทำตามพระบัญชาทันที หากมัวช้า เกรงว่าตนอาจต้องโทษฐานไม่ทำตามรับสั่งผู้เป็นนายก็เป็นได้
เมื่อทหารส่งเครื่องแบบมาให้ องค์ชายอิ้งเยว่จึงออกคำสั่งอีกว่า “เจ้าไปเถอะ”
ทหารที่เหลือเพียงชุดอ่อนสีขาวห่อหุ้มกายชั้นใน รีบตอบรับทันที “พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ชุดทหารเฝ้ายามมาแล้ว ก็ยิ้มอย่างพอใจ เขารีบจัดแจงถอดอาภรณ์หรูหราออกทีละชิ้น ก่อนจะสวมใส่ชุดทหารเฝ้ายามแทน เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาเดินไปยืนอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลือง สำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า “เช่นนี้ ข้าก็ตบตาผู้คนได้แล้วสินะ”