อุ่นไอฟ้าใจหายวาบเมื่อเห็นร่างของบุตรชายแน่นิ่งไปอีก หญิงสาวสั่นสะท้านกลัวว่าคราวนี้บุตรชายของเธอจะไม่ฟื้นคืนอีกหน เพียงแค่เห็นแววตาที่มองเธอราวกับคนแปลกหน้า หัวใจของคนเป็นแม่ก็แทบจะขาดรอน และเธอก็ไม่อาจตั้งรับความสูญเสียที่มากกว่านี้
“หมอมาแล้วอุ่น”
อุ่นไอฟ้าหันไปตามเสียงจึงเห็นรามที่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับหมอและพยาบาล
“อาทิตย์หลับไปอีกแล้วค่ะ คุณหมอช่วยหน่อยนะคะ” อุ่นไอฟ้าเสียงเครือ ก่อนจะยอมปล่อยมืออกจากร่างของบุตรชายเพื่อให้แพทย์ได้เข้ามาดูอาการ รามโอบหญิงสาวพลางลูบไหล่บอบบางอย่างปลอบโยน
นายแพทย์วัยกลางคนตรวจดูอาการของอาทิตย์ ถอนหายใจออกมา
“ร่างกายปกติดีครับ” คุณหมอสบตากับอุ่นไอฟ้า “แต่เห็นคุณรามบอกว่าตอนที่เด็กฟื้นขึ้นมา เขาจำชื่อของตัวเองไม่ได้และก็จำคุณไม่ได้ใช่ไหมครับ”
อุ่นไอฟ้าพยักหน้ารัว
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเช็คอย่างละเอียดอีกที ไม่แน่ว่าการที่ศีรษะถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงอาจจะทำให้ความทรงจำเกิดความสับสนหรือสูญเสียไปชั่วคราว”
“อะ...อะไรนะคะ”
“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยครับ นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่มาพาตัวเด็กไปเช็คสมองอีกครั้งนะครับ”
อุ่นไอฟ้าพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ไม่มีแรงจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ รามกล่าวขอบคุณหมอ หันกลับมาปลอบใจร่างบอบบางที่เขายังคงประคองไว้ในวงแขน
“ไม่เป็นไรนะอุ่น ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
อุ่นไอฟ้าสะอื้นไห้ ในใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นตามที่รามบอกกับเธอ
อาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินในตอนนี้ยังมีคนไม่มากนักเพราะเป็นเวลาเช้าตรู่ หลังจากที่รู้เรื่องของตะวันเมื่อคืนวาน อินทัชก็รีบเคลียร์ตารางเวลางานและให้คนของเขาจองตั๋วเครื่องบินในรอบเช้าที่สุดของวันถัดมาทันที รวมถึงเช่ารถที่เชียงใหม่เตรียมไว้ให้เขาด้วย เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ปทุมวดี เพราะอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วยตัวเองเสียก่อน
อินทัชมองหาที่นั่งในห้องรับรองพิเศษที่มีความเป็นส่วนตัวสูง จากนั้นจึงติดต่อหาชญช์
“ฉันกำลังจะขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่ ตะวันฟื้นหรือยัง” อินทัชพูดธุระทันทีที่ปลายสายก็ตอบรับ
“ยังเลยครับคุณอิน เมื่อวานหลังจากวางสายคุณตะวันเพ้อบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาครับ”
อินทัชสบถเมื่ออาการของตะวันยังคงไม่ดีขึ้น
“ฉันจะย้ายตะวันเข้ากรุงเทพฯ บอกที่โรงพยาบาลให้เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ พอฉันไปถึงจะได้ทำเรื่องเลย”
“ครับ คุณอิน”
“ว่าแต่ตะวันขับรถชนได้ยังไง แกยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยนะ”
“มีเด็กวิ่งออกมาตัดหน้ารถครับ คุณตะวันก็เลยหักหลบจนรถไปชนเข้ากับต้นไม้ เหมือนเด็กจะวิ่งมาดูลูกหมาที่อยู่กลางถนนครับ”
“ลูกหมาอย่างนั้นเหรอ” อินทัชทวนคำ
“ใช่ครับ ตอนนี้พ่อเด็กเป็นคนประสานงานเกี่ยวกับเรื่องคดีและก็ทางเรา ส่วนแม่เด็กก็เฝ้าลูกอยู่ เพราะที่ผมได้ยินมาเด็กคนนั้นก็ยังไม่ฟื้นครับ” ชญช์บอกเล่าและพูดถึงสถานะของรามไปตามความคิดของเขา
“อืม...ฉันเข้าใจแล้ว แค่นี้นะ” อินทัชกดวางโทรศัพท์ เอนตัวพิงกับพนักที่นั่ง เขาหลับตาลง เมื่อเรื่องเล่าที่เพิ่งได้ยินดึงเขาไปสู่ความทรงจำครั้งเก่า
ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งออกมาช่วยลูกหมาที่นั่งอยู่กลางถนน จนเกือบถูกรถของเขาชนแต่เขาหยุดรถได้ทัน เนื้อตัวของเธอเปียกปอน เพราะวันนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาจึงต้องลงจากรถเพื่อไปช่วยลูกหมาจรจัดรวมถึงหญิงสาวที่กอดมันเอาไว้จนแน่น
อินทัชคิดถึงร่างบอบบางที่แม้เนื้อตัวจะกำลังสั่นด้วยความเหน็บหนาวแต่ก็ยังเอาแต่ห่วงลูกหมาในมือ ดวงตาหวานซึ้งที่ถูกส่งมาอย่างร้องขอให้เขาช่วยเหลือเจ้าลูกหมาตัวนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา
ตอนนี้เธอกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนนะ...อุ่น
อินทัชส่ายหน้าที่เผลอตั้งคำถามไม่เข้าท่ากับตัวเองอีกครั้ง
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ยังตกค้าง...ทำให้เขาไม่สามารถทำใจลืมอีกฝ่ายได้เสียที