บทที่ 15

2247 คำ
ตอนสายของวัน ภูวินทร์เดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เสียงหัวเราะสดใสของภาคินทร์ดังแว่วออกมาจากมุมห้องนั่งเล่น คะนึงนิจนั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านนิทานให้ลูกชายฟัง เมื่อเห็นสามีก้าวเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อนโยนตามเคย “พี่ภูกลับมาแล้วเหรอคะ นิจเป็นห่วงทั้งคืนเลย” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ภูวินทร์หลบสายตา ก่อนฝืนยิ้มตอบจาง ๆ “จ้ะ... เมื่อคืนขอโทษด้วยนะ พอดีดื่มมากไปหน่อย กลัวจะกลับมากวนทั้งนิจกับลูก พี่เลยนอนค้างที่ออฟฟิศ เพราะอยู่ใกล้กับที่จัดเลี้ยง มือถือพี่ก็ดันแบตหมด พี่ไม่ทันดูตอนเผลอหลับไปก่อนจะโทรบอกนิจ” น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ ทว่ามีบางอย่างในแววตาและท่าทางนั้น...ไม่เหมือนเดิม คล้ายคนที่กำลังปิดบังบางสิ่งไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนล้าและคำแก้ตัวที่พยายามอธิบายอย่างเบี่ยงประเด็น เขาพูดพลางย่อตัวลงจูบหน้าผากลูกน้อยเบา ๆ ภาคินทร์ยิ้มกว้าง ก่อนจะโผเข้ากอดคอพ่อแน่นด้วยความดีใจ “นิจก็เป็นห่วงอยู่พอดี โชคดีที่พี่ภูบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีงานเลี้ยง พี่ภูขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ เดี๋ยวนิจเตรียมข้าวเช้าให้” “อืม...พี่ทานมาแล้ว พอดีวิทยามาออฟฟิศแต่เช้า เลยฝากให้เขาซื้อแซนด์วิชกับกาแฟมาให้ พี่ขอขึ้นไปพักสักหน่อยนะ เมื่อคืนนอนที่ออฟฟิศไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร ยังรู้สึกมึน ๆ อยู่ กะว่าวันนี้จะทำงานที่บ้านแทน” เขาพูดเรียบ ๆ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดโดยไม่เหลียวกลับมามอง คะนึงนิจอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน มองตามแผ่นหลังของสามีที่ค่อย ๆ ลับหายไปตรงหัวบันได ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในใจ คล้ายสัญญาณเตือนแผ่วเบาที่เธอรู้สึกสะกิดใจ ท่าทีของภูวินทร์...น้ำเสียง การหลบสายตา ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจากที่เคย ไม่ใช่เพียงความเหนื่อยล้าจากงาน แต่เป็นความเย็นชาและระยะห่างบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อร่างขึ้น … หลังจากช่วงแรก ๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและการหลบเลี่ยงสายตาภรรยา ทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน ภูวินทร์มักพยายามกลบความรู้สึกผิดนั้นด้วยการทำตัวเป็นสามีและพ่อที่ดี เล่นกับลูก พาครอบครัวออกไปทานข้าว พูดจาอ่อนโยนกับคะนึงนิจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางครั้ง ชายหนุ่มก็ซื้อของขวัญให้ภรรยาสาวราวกับต้องการจะชดเชยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกผิดค่อย ๆ จางหาย เหมือนแผลที่เริ่มด้านชา เขาเริ่มชินกับการใช้ชีวิตสองด้าน ด้านหนึ่งคือชายหนุ่มผู้เป็นสามีที่อบอุ่นของคะนึงนิจและพ่อที่ดีของลูกน้อย อีกด้านคือชายคนรักที่จันทร์รวีเฝ้ารอในเงามืด ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากความผิดศีลธรรม ค่อย ๆ กลายเป็น “ความเคยชิน” ที่เขามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ภูวินทร์บอกตัวเองว่า เขาไม่ได้ทำร้ายใคร เขายังกลับบ้านทุกวัน ยังเลี้ยงดูภรรยาและลูกให้สุขสบาย และอยู่เคียงข้างครอบครัวในวันที่สำคัญ “ก็แค่มีความสุขของตัวเองบ้างเท่านั้น...” เขามักคิดเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น จันทร์รวีก็วางตัวดี...ไม่เรียกร้อง ไม่ก้าวก่าย เธอพูดน้อย ยิ้มหวาน และเข้าใจเขาในแบบที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเรียกร้องสิทธิ์หรือทำให้ยุ่งยาก เขาเลยรู้สึกว่าเธอ “พอดี” สำหรับชีวิตอีกด้านหนึ่ง ในมุมมองของภูวินทร์ ทุกอย่างกำลังลงตัว เขามีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ มีบริษัทที่เติบโตและเป็นที่ยอมรับ เขามีภรรยาและลูกเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้คนภายนอกมองเห็นและชื่นชม และมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่เขาเหนื่อยล้า ในความคิดของเขา...นี่คือ “ความสมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิต” โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ความสมบูรณ์แบบนั้น...กำลังแตกร้าวอย่างเงียบ ๆ … หลังจากดูโรงเรียนอนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่งที่ทั้งเธอและสามีตั้งใจจะส่งภาคินทร์เข้าเรียนเมื่อครบสามขวบ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้โลกนอกบ้านและมีสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน คะนึงนิจเห็นว่า เธอยังมีเวลาพอที่จะแวะไปทานข้าวกลางวันกับภูวินทร์ที่บริษัทได้ จึงตัดสินใจให้คนขับรถขับตรงไปที่บริษัท ระหว่างทาง คะนึงนิจโทรศัพท์เข้ามือถือของสามี แต่ชายหนุ่มไม่ได้รับสาย เธอคาดเดาว่า เขาอาจติดประชุมหรือธุระงานอยู่ คะนึงนิจจึงโทรหาจันทร์รวี รุ่นน้องของเธอและเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของภูวินทร์ด้วย “จันทร์จ๊ะ พอดีพี่โทรหาพี่ภูแล้วเขาไม่ได้รับสาย สงสัยคงติดงานอยู่ ตอนนี้ พี่กำลังเดินทางไปบริษัท กะว่าจะไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ฝากจันทร์บอกพี่ภูให้ด้วยนะ” “ได้ค่ะ พี่นิจ ตอนนี้ คุณภูกำลังคุยกับผู้จัดการฝ่ายขายอยู่ค่ะ เดี๋ยวจันทร์แจ้งให้นะคะ แล้วเจอกันค่ะ พี่นิจ” จันทร์รวีวางสาย พร้อมรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอเตรียมพร้อมมานานแล้วที่จะแสดงตัวตนให้ภรรยาอีกคนของ ภูวินทร์ได้รับรู้ เมื่อคะนึงนิจมาถึงหน้าห้องทำงานของสามี เธอแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็น “จันทร์รวี” เลขานุการส่วนตัวของภูวินทร์ซึ่งควรจะอยู่หน้าห้องตามปกติ จึงตัดสินใจผลักประตูห้องทำงานของสามีเข้าไป เพราะคิดว่าเธอได้โทรมาแจ้งเรื่องไว้แล้ว เสียงกระซิบกระซาบที่ได้ยินแว่ว ๆ หน้าประตูเริ่มชัดเจนขึ้น ภาพตรงหน้าที่ปรากฎแก่สายตาทำให้โลกทั้งใบของเธอแทบถล่มลง...ภูวินทร์กำลังกอดจันทร์รวีไว้แนบแน่น ริมฝีปากแนบซอกคออย่างเร่าร้อน “กรี๊ด! พี่นิจ! พี่อย่าเข้าใจผิดนะคะ!” จันทร์รวีร้องเสียงหลงเมื่อหันมาเจอเธอที่ยืนตะลึงอยู่เกือบถึงกลางห้อง ภูวินทร์สะดุ้ง รีบผละออกแล้วหันมามองภรรยาด้วยแววตาตื่นตระหนก “นิจ! มาได้ยังไง แล้วลูกล่ะ?” น้ำตาร้อนผ่าวคลอเบ้า คะนึงนิจถามเสียงสั่น “พี่ภูกับจันทร์...มีอะไรกันมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมถึงทำกับนิจแบบนี้?” เธอหันไปมองรุ่นน้องที่เคยเอ็นดูแทบเหมือนน้องสาว แท้ ๆ “แล้วเธอล่ะจันทร์...ทำไมถึงหักหลังพี่ได้ลงคอ” หัวใจเธอแทบแตกสลาย คนที่เธอรักที่สุด และคนที่เธอไว้ใจที่สุด กลับทรยศซ้ำเติมอย่างไม่อายฟ้าอายดิน คะนึงนิจวิ่งถลาออกจากห้อง “พี่ภูรีบตามพี่นิจไปเร็ว” จันทร์รวีเอ่ยอย่างรีบร้อน สีหน้าตกใจปนเปจะร้องไห้ ภูวินทร์ปิดประตูห้องดังปัง โดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของจันทร์รวี...รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสะใจและชัยชนะ ชายหนุ่มวิ่งตามภรรยาสาวตามกฎหมายจนถึงหน้าลิฟต์ เธอกดปุ่มลิฟต์ซ้ำ ๆ ด้วยมือที่สั่นระริก แต่เมื่อเห็นว่ามันมาช้าเกินไป จึงตัดสินใจกระโจนเข้าไปในบันไดหนีไฟแทน “นิจ! ฟังพี่ก่อน!” ภูวินทร์คว้าแขนเธอไว้ทันขณะที่เธอกำลังจะก้าวลง แต่คะนึงนิจสะบัดอย่างแรงเพื่อดิ้นหนี แขนที่ถูกกระชากอย่างแรงทำให้เสียหลัก เท้าพลิก ร่างทั้งร่างกลิ้งตกลงบันไดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดแล่นบาดกลางท้อง ร้าวไปถึงช่วงล่าง เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกมาอย่างน่าสยดสยอง ภูวินทร์ถลาเข้าหาร่างของภรรยาสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยความร้อนรน มือสั่นเทาประคองเธอขึ้นมาก่อนจะควานหามือถืออย่างลนลานเพื่อโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน “นิจ...ไม่ต้องกลัวนะ พี่โทรเรียกรถพยาบาลแล้ว นิจต้องไม่เป็นอะไร...” เสียงของเขาสั่นเครือแทบกลืนหายไปกับลมหายใจที่ติดขัด แต่หญิงสาวในอ้อมแขนกลับแน่นิ่ง ไม่อาจได้ยินคำปลอบโยนของเขาอีกต่อไป ... คะนึงนิจนอนอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ใกล้บริษัทของภูวินทร์ ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาแดงก่ำเอ่อคลอด้วยน้ำตา เธอร้องไห้จนหมดแรง หมดทั้งน้ำตาและความหวัง ลูกในครรภ์ที่เธอเฝ้าทะนุถนอม ความฝันที่จะได้อุ้มชูด้วยมือของตนเอง ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน และในเวลาเดียวกัน คนที่เธอรักที่สุด...ก็เหมือนตายจากชีวิตเธอไปด้วยพร้อมกัน ภูวินทร์แวะมาหาเธอเมื่อช่วงเช้า สายตาเขาว้าวุ่นเมื่อบอกว่า “พี่มีประชุมด่วนที่ต่างประเทศ อาจต้องไปสักหลายวัน พี่จะรีบกลับมา ส่วนน้องคิน ป้าสร้อยดูแลให้อยู่ นิจพักผ่อนให้สบายดีก่อนนะแล้วค่อยกลับบ้านเรา” เธอไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรพูดอะไร หรือแม้แต่จะควรร้องไห้ต่ออีกหรือไม่ เมื่อประตูปิดลง เสียงฝีเท้าของเขาค่อย ๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องที่เต้นเป็นจังหวะช้า ๆ คะนึงนิจมองเพดานนิ่ง น้ำตาอุ่นเม็ดหนึ่งกลิ้งลงข้างแก้ม ความปวดร้าวในจิตใจยากเกินจะบรรยาย โลกของเธอเงียบงัน หม่นหมอง และเต็มไปด้วยความว่างเปล่า… ความสูญเสียครั้งนี้พรากไปทั้งลูกในท้อง และสามีที่เธอเคยเชื่อมั่นหมดหัวใจ … ภูวินทร์และคะนึงนิจนั่งเงียบอยู่หน้าโต๊ะนายทะเบียน บรรยากาศในห้องสำนักงานเขตเต็มไปด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่มาติดต่อสำนักงาน บนโต๊ะมีเอกสารใบหย่าวางอยู่ตรงหน้า กระดาษแผ่นเดียวที่สามารถลบสถานะ “สามีภรรยา” ที่เคยผูกพันกันมาหลายปีได้หมดสิ้น “ตรวจดูข้อความในทะเบียนหย่าให้ครบถ้วนด้วยนะครับ” เสียงของนายทะเบียนดังขึ้น “คุณทั้งคู่ตกลงหย่า โดยให้ฝ่ายหญิงได้รับสิทธิ์เลี้ยงดูบุตร และฝ่ายหญิงไม่เรียกร้องค่าเลี้ยงดูใด ๆ ทั้งสิ้น หลังหย่าแล้ว ฝ่ายหญิงจะเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนเอง และบุตรจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของมารดา” คะนึงนิจรับเอกสารมาอ่าน มือสั่นเทาเล็กน้อย สายตาของเธอไล่อ่านทุกตัวอักษรในเอกสารอย่างรอบคอบ เธอสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งก่อนจะลงลายเซ็นตรงช่องที่เธอต้องเซ็นอย่างช้า ๆ ข้างกายเธอ ภูวินทร์นั่งนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาเย็นเฉียบและสันกรามที่ขบแน่นจนเห็นเด่นชัด ความเดือดดาลที่พยายามกลบไว้ภายใต้ท่าทีสงบ เขาเหลือบมองหญิงสาวข้างกาย ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้มให้เขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรักและศรัทธา บัดนี้กลับเย็นชาอย่างคนแปลกหน้า เขาโกรธ…โกรธที่เธอกล้าตัดสินเขาโดยไม่ฟังคำอธิบาย โกรธที่เธอเป็นฝ่ายยื่นคำขาดขอ “หย่า” โดยไม่เหลือเยื่อใย และยิ่งโกรธเมื่อรู้ว่าเธอถือไพ่เหนือกว่า ข่มขู่ว่าจะเปิดโปงทุกอย่างให้สื่อรู้ถ้าเขาไม่ตกลง เขารู้ดีว่า ตอนนี้บริษัทของเขากำลังเติบโต เป็นที่จับตามองในวงการ การตกเป็นข่าวฉาวย่อมส่งผลให้ภาพลักษณ์ที่สั่งสมมาพังทลาย สุดท้ายเขาจึงต้องจำใจ “ยอม” ไม่ใช่เพราะสำนึกผิด แต่เพราะไม่อยากให้ความลับกลายเป็นอาวุธทำลายอนาคตของตัวเอง ก็ให้มันรู้ไปสิ...ว่าเธอจะอยู่ได้แค่ไหนโดยไม่มีเขา เขาคิดในใจอย่างเย็นชา ขณะหยิบปากกามาลงลายเซ็นบนเอกสาร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่ได้ทำงาน ไม่ต้องแบกรับภาระการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เขาต่างหากที่เป็นคนเลี้ยงดูเธอและลูกให้มีชีวิตที่สุขสบายในบ้านหลังใหญ่ ใช้เงินเขาโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย อยากรู้เหมือนกัน...ว่าเธอจะเอาอะไรไปสู้กับโลกภายนอก ในวินาทีนั้น เสียงปลายปากกาที่ขีดลงบนกระดาษเสมือนกรรไกรที่ตัดขาดความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นระหว่างทั้งสอง...ให้สิ้นสุดลง “เรียบร้อยแล้วครับ ขอให้คุณทั้งสองโชคดี” คะนึงนิจรับเอกสารไว้ในมือด้วยแรงที่แทบไม่เหลือ เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แม้เพียงแวบเดียว ใบหน้าของภูวินทร์ ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งลมหายใจและศูนย์กลางในโลกของเธอ บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงภาพเลือนรางที่เธอไม่อยากจดจำอีกต่อไป ชีวิตที่เธอเคยเชื่อมั่นว่าสมบูรณ์พร้อม กลับพังทลายเหลือเพียงเศษความทรงจำที่บาดลึกในใจ จนเธอแทบไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงของวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ภูวินทร์เงยหน้าขึ้นมองเธอเพียงชั่วครู่ ก่อนเบือนสายตาออกไปอีกทาง เกิดความเงียบเย็นชาระหว่างทั้งสองเกินจะเอ่ยถ้อยคำใดออกมา ทั้งคู่เดินออกจากสำนักงานเขตไปคนละทิศ ไม่มีคำร่ำลา ไม่มีแม้แต่การหันกลับมามองกันอีกครั้ง มีเพียงใบหย่าคนละแผ่นในมือเท่านั้น...ที่ยืนยันว่า “ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยรักกันและสร้างครอบครัวร่วมกัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม